“ไก่ดำนี่ก็ด้วย ข้าไปยืนรอซื้ออยู่ตั้งนาน กว่าจะได้มาไม่ง่ายเลย” เสี่ยวเฟยเลื่อนถ้วยไก่ดำให้หญิงชราแล้วโน้มน้าวอีกครั้ง หญิงชราที่ผ่านโลกมามากเห็นถึงความตั้งใจของหญิงสาว จึงตัดสินใจตักกิน พร้อมรอยยิ้มดีใจของเสี่ยวเฟยจะเผยออกมา ท่ามกลางสายตาโม่โฉวที่มองการกระทำของนางอย่างเงียบ ๆ
“เช่นนั้น พวกข้ากลับก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาพาท่านไปอยู่ที่จวนของเรา” เสี่ยวเฟยลุกขึ้นยืนข้างโม่โฉว เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนหญิงชราจะวางช้อนลงแล้วบึ้งหน้า
“ข้าไม่ไป”
“หากท่านไม่ไป ข้าจะให้เจ่าเจาไปเป็ทหารเฝ้าหน้าจวน ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ยืนทั้งวันตากแดดตากฝน ไม่มีใครสนใจ” โม่โฉวหลุดยิ้ม แต่ก็ฟังเล่ห์เหลี่ยมของหญิงสาวเงียบ ๆ ไม่พูดแทรก
“ฮูหยินเสี่ยวเฟย ท่านทำเช่นนั้น ลูกข้าก็เหนื่อยแย่สิ”
“หากไม่อยากให้เขาเหนื่อย ท่านก็ต้องเชื่อฟังข้า รู้หรือไม่ ว่าท่านทำเช่นนี้ไม่เป็ผลดีต่อเจ่าเจา หากท่านไม่ยอมไปอยู่ที่จวน เจ่าเจาบอกข้าว่าจะเลิกเป็ทหาร แล้วกลับมาดูแลท่าน เช่นนี้แล้วอนาคตของเจ่าเจาจะเป็เช่นไร ข้าอยากให้ท่านทบทวนดูดี ๆ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาพาตัวท่านไปอยู่ด้วยที่จวน” หญิงชราชะงักนิ่ง นางไม่เคยรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียว คิดละทิ้งอาชีพทหารเพื่อมาดูแลนาง ก่อนร่างของเสี่ยวเฟยและโม่โฉวจะเดินลับหายออกไปจากเรือน เหลือทิ้งไว้เพียงอาหารบำรุงที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ไม่น่าเชื่อ ว่าความอดทนเ้าสูงมากเพียงนี้” โม่โฉวเอ่ยขึ้น ก่อนเสี่ยวเฟยจะยิ้มกว้างพร้อมสายลมพัดมาปะทะกาย
“ถึงแม้ข้าจะเรียนไม่เก่ง เป็เด็กหลังห้องที่ชอบลอกการบ้านเพื่อนเสมอ ๆ แต่ข้าก็มีข้อดีเหมือนกันใช่หรือไม่”
“เ้าหรือเรียนไม่เก่ง ข้าเคยได้ยินท่านม่อยวนพูดเสมอ ๆ ว่าเ้าเรียนตำราเก่งกว่าผู้ใดในรุ่น” เสี่ยวเฟยชะงักนิ่ง แล้วยิ้มกลบเกลื่อนเช่นเคย
“จริงด้วย ๆ ข้าอาจลืมไป” ว่าแล้วนางก็เดินนำหน้าเขาไปยังตลาด ก่อนสายตาสัดส่ายของนาง จะมองสิ่งของรอบกายด้วยความอยากรู้ อยากเห็นเหมือนเคย
“พุทราเชื่อม น่ากินจัง” เพียงแค่นางเอ่ยปาก เขาก็ก้มหยิบเงินแล้วยื่นให้เ้าของร้าน
“เอาพุทราเชื่อมให้นางหนึ่งไม้”
“ได้ขอรับนายท่าน” เ้าของร้านรับเงินแล้วยื่นพุทธาเชื่อมให้หญิงสาว ก่อนนางจะยิ้มกว้าง แล้วรับพุทธามากินในทันที
“อร่อยจัง” นางเผลออุทาน ก่อนเขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“ทำราวกับไม่เคยได้กิน” จริง ๆ แล้วนางไม่เคยกินพุทธาเชื่อมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน แต่หากพูดไปจะกลายเป็ต้องอธิบายใหญ่โต หญิงสาวจึงทำได้แต่นิ่งเงียบ กัดพุทธาเชื่อมไปพลาง ๆ
ก่อนสายตาหวานจะเลื่อนไปเห็นร้านเหล้า นางรีบหันมาจูงมือโม่โฉวไปในทันที
“จะพาข้าไปที่ใด” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ทว่าสองเท้าก็ยอมตามนางไปแต่โดยดีไม่มีขัดขืน เดินมาไม่นานนักก็หยุดอยู่ที่ร้านเหล้า เถ้าแก่ร้านหันมาทักในทันที
“แม่นางนั่นเอง วันนี้จะเอาเหล้าอีกหนึ่งไหหรือ” เสี่ยวเฟยส่ายศีรษะ
“ลูกสาวท่านที่ชื่อเมี่ยวซื่อไม่มาด้วยรึ” นางถามพลางทำตาแป๋ว ก่อนเถ้าร้านจะหัวเราะ แล้วพูดขึ้น
“นางออกไปซักผ้าที่ลำธารั้แ่ฟ้ายังไม่สาง ข้าจึงไม่ได้ชวนนางมาด้วยน่ะ” เสี่ยวเฟยยู่หน้าเล็กน้อย นึกเสียดายที่โม่โฉวไม่มีโอกาสเห็นหน้าเมี่ยวซื่อ
“วันนี้แม่นาง จะเอาเหล้าติดมือกลับไปด้วยหรือไม่” สิ้นเสียงเถ้าแก่ร้าน โม่โฉวที่ยืนฟังอยู่ตัดสินใจโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ นับจากนี้นางจะไม่กินเหล้า” เขาพูดจบ จึงตัดสินใจดึงมือหญิงสาวออกจากร้านเหล้าทันที
“ข้ายังคุยกับเถ้าแก่ร้านไม่เสร็จเลย” นางเอ่ยท้วง ขณะที่สองเท้าของโม่โฉวเดินฉับ ๆ ออกจากตลาด
“เราออกจากจวนมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องกลับ ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นอย่างอื่น” เขาให้เหตุผล ก่อนนางจะเผลอบ่นพึมพำตามประสา
“ช่างน่าเสียดาย ที่ท่านไม่มีโอกาสได้เจอกับแม่นางเมี่ยวซื่อ” โม่โฉวได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมายังเสี่ยวเฟย
“แล้วแม่นางเมี่ยวซื่อเกี่ยวอันใดกับข้า เหตุใดข้าต้องเจอกับนาง” หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่าย แสดงท่าทีสนใจ
“แม่นางเมี่ยวซื่อเป็ลูกสาวของเถ้าแก่ร้านขายเหล้า นางอายุราวสิบเก้าปี ผิวพรรณสะอาด หน้าตางดงาม ใครได้เป็ภรรยาถือว่าโชคดีมาก”
“เ้าคิดจะทำอันใด” เขาหรี่ตาถาม ก่อนหญิงสาวจะเม้มปากแน่น แล้วเอื้อมไปจับแขนชายหนุ่มเบา ๆ
“ถึงเวลาท่านจะรู้เอง ข้าเชื่อว่าท่านต้องพอใจกับสิ่งที่ข้าทำให้” สายตาคมจับจ้องไปยังดวงหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนรอยยิ้มของเสี่ยวเฟยจะทำให้เขาใจอ่อน แล้วเอ่ยขึ้น
