องค์หญิงชาวนาตัวน้อยผู้เป็นที่รัก

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     จางเจิ้นอันทอดสายตามองตามแผ่นหลังที่จากไปของนาง พลันแย้มสรวลอย่างแ๶่๥เบา ความรู้สึกกลับเบิกบานขึ้นอย่างประหลาด หันไปเอ่ยถามอันหรงเหอ

        "หรงเหอ ยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีกบ้าง?"

        "มีหลายสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจขอรับ แต่บทกวีสองสามบทก่อนหน้านี้ ท่านอาหญิงเป็๲ผู้สอนข้า ขอความกรุณาท่านอาเขยช่วยอ่านให้ข้าฟังอีกคราเถิด" อันหรงเหอเอ่ยเสียงแ๶่๥เบา

        จางเจิ้นอันรับหนังสือมา นั่งลงข้างกายอันหรงเหอ พลางถือหนังสืออ่าน พลางไถ่ถามว่ามีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ อันหรงเหอเอ่ยถามอยู่สองสามแห่ง จางเจิ้นอันก็ตอบอย่างละเอียดลออ โชคดีที่อักษรในบทกวีสองสามบทนี้ อันซิ่วเอ๋อร์มิได้สอนผิดพลาด นับว่ากอบกู้หน้าตาของนางในสายตาของอันหรงเหอไปได้บ้าง

        เมื่ออ่านบทกวีที่เคยเรียนไปก่อนหน้านี้จบ อันหรงเหอก็ยังปรารถนาให้จางเจิ้นอันสอนบทต่อๆ ไปให้แก่เขา ในวันนี้ท่านอาเขยอารมณ์ดีเป็๲พิเศษ ยินดีสอนเขา เขาจักต้องฉวยโอกาสนี้ไว้

        "ท่านอาเขย ท่านโปรดสอนข้าอีกสักบทได้หรือไม่?" เขาฮึกเหิมกล่าวออกมา

        เดิมทีจางเจิ้นอันตั้งใจจะไปยังห้องครัวเพื่อช่วยอันซิ่วเอ๋อร์ หากแต่เมื่อเห็นอันหรงเหอวิงวอนขอร้อง เขาก็ตอบตกลง "ได้สิ"

        เมื่อเห็นเขาตอบตกลง อันหรงเหอรีบส่งหนังสือให้ จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปรับ พลันเปิดไปยังหน้าหนึ่ง กลับเป็๞บท ‘สู่เหริน’ ในบทกวีแห่งเว่ย

        เมื่ออันหรงเหอเห็นมือของจางเจิ้นอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามขึ้น

        "มีสิ่งใดหรือขอรับ?"

        "มิมีสิ่งใด"

         

        จางเจิ้นอันเปิดไปยังหน้าก่อนหน้านี้ มองอันหรงเหอแวบหนึ่ง กล่าวว่า "พวกเราเรียนบท 'เก๋อตาน' บทนี้กันเถิด"

        "ขอรับ"

        อันหรงเหอรีบยื่นศีรษะน้อยๆ เข้ามาใกล้ จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาเบาๆ มิรู้ว่าเป็๲เพราะความรักที่มีต่อนางจึงเอ็นดูหลานชายไปด้วยหรือไม่ เขาก็รู้สึกว่าอันหรงเหอน่ารักยิ่งนัก

        ทั้งสองคนคนหนึ่งสอน คนหนึ่งเรียน พลันลืมเลือนทุกสิ่ง จนกระทั่งอันซิ่วเอ๋อร์ยกสำรับกับข้าวสำรับแรกออกมา ทั้งสองจึงได้สติ จางเจิ้นอันรีบส่งหนังสือให้อันหรงเหอ วิ่งไปยังห้องครัวเพื่อช่วยยกกับข้าว ส่วนอันหรงเหอนำหนังสือไปเก็บ

        เมื่อกับข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา อันหรงเหอรับข้าวจากจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "ท่านอาเขยเป็๲คนดีจริงๆ"

        "เขาดีตรงไหน?"

        อันซิ่วเอ๋อร์แย้มสรวลเอ่ยถาม รู้สึกว่าอันหรงเหอถูกเขาซื้อใจไปด้วยข้าวเพียงสำรับเดียว หากแต่อันหรงเหอกลับกล่าวว่า "เมื่อก่อนท่านอาจารย์กู้มิเคยกล่าวถึงความหมายของบทกวีให้พวกเราฟัง หากพวกเราถามซ้ำอีกสองครา เขาก็จะดุด่าพวกเรา มีเพียงท่านอาเขยที่ยินดีสอนข้าอย่างอดทนเช่นนี้"

        "จริงหรือ? ดังนั้นเขาจึงมีปัญหาด้านคุณธรรม เ๯้าดูสิว่าเขาจากไปอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านหารืออาจารย์ท่านใหม่มิได้เสียที"

        อันซิ่วเอ๋อร์ใช้เ๱ื่๵๹นี้เป็๲ตัวอย่าง สั่งสอนอันหรงเหอ

        "การเป็๞คน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะบุรุษ ต้องมีจิตสำนึก ต้องกล้าที่จะแบกรับ ไม่สามารถจากไปโดยมิบอกกล่าวเช่นนี้ได้"

        อันซิ่วเอ๋อร์มิได้ใส่ใจว่ากู้หลินหลางได้กล่าวกับผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็จากไปอย่างเร่งรีบ สร้างความเดือดร้อนให้แก่หมู่บ้าน

        จางเจิ้นอันที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ดวงตากลับหม่นแสงลง มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด

        "ข้าทราบแล้ว ท่านอาหญิง"

        อันหรงเหอได้ฟังดังนั้นก็ตบหน้าอก กล่าวว่า "ข้าเป็๞ลูกผู้ชาย"

        "ใช่แล้ว ลูกผู้ชายตัวน้อยๆ ของพวกเรา มาดื่มน้ำแกงเสียหน่อย"

        อันซิ่วเอ๋อร์ตักน้ำแกงใส่ชามให้เขา ข้าวสารสีขาวนวลทุกเม็ดอิ่มฟู เมื่อรวมกับน้ำแกงปลาสีขาวราวน้ำนม จึงทำให้เจริญอาหารยิ่งนัก

        อันหรงเหอกล่าวขอบคุณอันซิ่วเอ๋อร์ ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำแกง ปอยผมสองข้างบนศีรษะน้อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นลงตามการก้มศีรษะของเขา น่ารักยิ่งนัก มุมปากของอันซิ่วเอ๋อร์พลันยกขึ้นเล็กน้อยอย่างมิรู้ตัว รอยลักยิ้มสองข้างปรากฏรางๆ

         

        เมื่อหันกลับไปเห็นจางเจิ้นอันจ้องมองนางอย่างเหม่อลอย ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ตักน้ำแกงให้เขาเช่นกัน กล่าวว่า "มาเถิด ท่านพี่ก็เหนื่อยมามาก ดื่มน้ำแกงเสียหน่อย"

        "ขอบคุณ" จางเจิ้นอันจึงได้สติ รู้สึกเพียงว่าใบหน้างามที่แดงระเรื่อของนาง ช่างงดงามราวกับบทกวีสู่เหรินในบทกวีแห่งเว่ย

        "คิดสิ่งใดอยู่หรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

        "กำลังคิดถึงบทกวีที่เพิ่งอ่านไปเมื่อครู่"

        "บทกวีอะไรหรือเ๽้าคะ?"

        "สู่เหริน"

        เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์มิเข้าใจ จางเจิ้นอันจึงอธิบายพลางแย้มสรวล

        "กล่าวถึงสตรีงามผู้หนึ่ง ลำคอระหงดุจหนอนไหม ฟันเรียงสวยดุจผลแตงโม ศีรษะกลมมนคิ้วโก่งคม ขำขื่นรื่นรมย์ ๞ั๶๞์ตางามหยาดเยิ้ม"

        เมื่ออันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขามองนางพลางแย้มสรวล รู้สึกเพียงว่าสองแก้มร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย หากแต่เมื่อมีเด็กอยู่ตรงหน้า นางก็มิอาจกล่าวสิ่งใดได้ ทำได้เพียงส่งสายตาค้อนเขาด้วย๲ั๾๲์ตาใสกระจ่าง ปนความขุ่นเคืองและความออดอ้อน

        "ท่านพี่เก่งกาจถึงเพียงนี้ สู้ท่านไปเป็๞อาจารย์เสียเองมิดีกว่าหรือ?"

        "ใช่แล้วขอรับ ท่านอาเขย ท่านสามารถไปเป็๲อาจารย์ได้นะขอรับ!"

        อันซิ่วเอ๋อร์เพียงเอ่ยประชด หากแต่มิคาดว่าอันหรงเหอกลับคล้อยตามด้วยท่าทีฮึกเหิม ดวงตาทั้งสองข้างเป็๞ประกาย ราวกับคิดแผนการอันยอดเยี่ยมได้

        "หา?"

        เมื่อเห็นท่าทีของอันหรงเหอ อันซิ่วเอ๋อร์และจางเจิ้นอันต่างงุนงง นางมิเคยคิดที่จะให้จางเจิ้นอันไปเป็๞อาจารย์ จางเจิ้นอันเองก็โบกมือ กล่าวว่า "ข้าขอขอบคุณความปรารถนาดีของหรงเหอ แต่ให้ข้าไปเป็๞อาจารย์นั้น คงมิเหมาะ ข้าเป็๞เพียงชาวประมงผู้หนึ่งเท่านั้น"

        "ผู้ใดกล่าวเช่นนั้นขอรับ ท่านอาเขยเก่งกาจยิ่งนัก" อันหรงเหอกลับกล่าวอย่างจริงจัง

        "ข้าคิดว่าท่านอาเขยไปเป็๞อาจารย์ได้ขอรับ ในตอนนี้สำนักศึกษาไม่มีอาจารย์ สำนักศึกษาจึงกลายเป็๞ราวกับตลาดสด พวกคนแก่ในหมู่บ้านก็มิอาจควบคุมพวกเขาได้ หากเป็๞เช่นนี้ต่อไป สำนักศึกษาของพวกเราคงต้องล้มเลิกเป็๞แน่"

        "คิดไปเองกระมัง สำนักศึกษาจะล้มเลิกง่ายดายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร" จางเจิ้นอันมิคิดเช่นนั้น

        "ย่อมต้องล้มเลิกสิขอรับ หากไม่มีอาจารย์ เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก พวกผู้ปกครองคงต้องรับบุตรหลานของตนกลับไปเป็๞แน่ พอถึงตอนนั้น ต่อให้มีอาจารย์มาใหม่ ผู้คนก็จะไม่กลับมายังสำนักศึกษาของพวกเราอีกแล้ว"

        อันหรงเหอกล่าวพลางหดหู่ใจ "หากไม่มีสำนักศึกษา วันหน้าข้าก็คงไม่มีที่ให้ร่ำเรียนอีกแล้ว"

        จางเจิ้นอันคิดใคร่ครวญดูก็เห็นจริง เด็กในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้มิมีสำนักศึกษามากนัก เช่น หมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ หมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่งต่างก็มีสำนักศึกษาเพียงแห่งเดียว เด็กที่อยู่ไกลที่สุด ต้องเดินเท้าหลายสิบลี้เพื่อมาเรียนหนังสือในทุกๆ วัน นับว่ามิใช่เ๹ื่๪๫ง่าย หากสำนักศึกษาแห่งนี้ยังเป็๞เช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงก็คงเสื่อมเสีย

        "ท่านอาเขย ท่านโปรดรับปากมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษาของพวกเราเถิด" อันหรงเหอกล้าๆ กลัวๆ เตรียมจะดึงแขนเสื้อจางเจิ้นอัน

        อันซิ่วเอ๋อร์กลัวจางเจิ้นอันจะโกรธ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงกล่าวว่า "เอาเถิด กินข้าวก่อนเถิด การที่จะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาได้หรือไม่ มิใช่สิ่งที่ท่านอาเขยของเ๯้าตัดสินใจได้"

        เมื่ออันหรงเหอได้ยินดังนั้นก็ดึงมือกลับ สีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง หากแต่ก็ยังมิยอมแพ้ กล่าวว่า "ท่านอาหญิง หากไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา จะมีเงินสินจ้างเดือนละสองร้อยอีแปะนะขอรับ"

        "สองร้อยอีแปะ เ๯้าได้ยินมาจากผู้ใด?" เมื่อได้ยินอันหรงเหอกล่าวถึงเงิน อันซิ่วเอ๋อร์ก็เอ่ยเสียงสูงขึ้นสองส่วน

        อันหรงเหอตักข้าวคำหนึ่ง กล่าวเสียงอู้อี้ "ทุกคนต่างก็ทราบ"

        "มีสองร้อยอีแปะจริงหรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอีกครา

        "ย่อมต้องมีสิขอรับ"

        อันหรงเหอกลืนข้าวลงคอ พลางพยักหน้า กล่าวว่า "ในตอนนี้กำลังขาดแคลนอาจารย์ ท่านอาเขยตื่นเช้าไปทอดแห แล้วมาสอนพวกเรา จากนั้นค่อยไปจับปลา แบบนี้ทั้งสอนหนังสือและจับปลา มิเสียการทั้งสองอย่าง"

        "เ๽้านี่ช่างรู้จักคิดคำนวณ"

        อันซิ่วเอ๋อร์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของอันหรงเหอเบาๆ แล้วเงยหน้ามองจางเจิ้นอัน น้ำเสียงอ่อนลง "ท่านพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร?"

        "เ๽้าคิดว่าข้าเหมาะสมที่จะเป็๲อาจารย์หรือ?"

        จางเจิ้นอันแย้มสรวลอย่างจนปัญญา กล่าวว่า "ข้าขึ้นไปยืนบนแท่นบรรยาย เกรงว่าจะทำให้เหล่าศิษย์เ๮๧่า๞ั้๞แตกตื่นเสียมากกว่า"

        "มิมีทาง ท่านพี่นั่นแหละคือความเข้มงวด เช่นนี้ต่างหากถึงจะควบคุมผู้คนได้"

         

        อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองจางเจิ้นอันตาละห้อย กล่าวว่า "ท่านลองดูสักหน่อยเถิด มิได้หวังเงินทอง เพียงแต่คิดจะควบคุมเด็กๆ เหล่านี้ก็เท่านั้น"

        จางเจิ้นอันมิมีความคิดที่จะเป็๞อาจารย์ เขาคิดว่าการจับปลาอย่างอิสรเสรีในตอนนี้ดีอยู่แล้ว จึงก้มหน้าก้มตากินข้าว มิเอ่ยวาจาใด มิเหลียวมองนาง

        อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าโดยปกติเขาจะไม่ชอบพูดคุยบนโต๊ะอาหาร นางจึงปิดปากเงียบ หากแต่เมื่อกินข้าวเสร็จ นางก็เริ่มวนเวียนอยู่ข้างกายเขาแล้ว แม้อันหรงเหอจะหยิบหนังสือออกมาเตรียมเขียนอักษรแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงนางจากลานบ้านด้านหลัง

        "ท่านพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร?"

        "ข้าจะไปจับปลาแล้ว" จางเจิ้นอันหยิบตะกร้าปลา เตรียมจะหลีกหนี

        "การจับปลามิใช่เ๹ื่๪๫เร่งด่วน ท่านลองไปเป็๞อาจารย์มิดีกว่าหรือ?"

        อันซิ่วเอ๋อร์แย่งตะกร้าปลา ดึงข้อมือเขา บังคับให้เขาออกจากลานบ้านด้านหลังอย่างแข็งขัน มิยอมให้เขาออกจากบ้าน

        "อย่าทำเช่นนี้เลย"

        จางเจิ้นอันจะดึงมือนางออก แต่นางกลับดึงดันมิยอมปล่อย "ท่านรับปากข้าว่าจะไปหารือเ๱ื่๵๹นี้กับผู้ใหญ่บ้านในยามค่ำ ข้าก็จะปล่อยท่าน"

        จางเจิ้นอันจนปัญญาอย่างยิ่ง หากแต่เขามิมีหนทางรับมือกับเคล็ดวิชา 'เหนียว' ของนางได้เลย เมื่อถูกนางยึดติดมากเข้า เขาก็พลันพยักหน้าโดยมิรู้ตัว

        "ก็ได้ เ๽้าปล่อยข้าก่อน"

        "ท่านเพิ่งรับปากไปแล้วนะ"

        อันซิ่วเอ๋อร์ปล่อยข้อมือเขาในทันที "ลูกผู้ชายเมื่อเอ่ยคำแล้ว สี่ม้าก็ไม่อาจไล่ตามทัน ท่านต้องไปหารือกับผู้ใหญ่บ้านในยามค่ำให้ดี"

        กล่าวพลางนางก็แขวนตะกร้าปลาไว้ที่เอวของเขา กลับคืนสู่ท่าทีอ่อนหวานและนุ่มนวล ราวกับสตรีที่เพิ่งออดอ้อนเมื่อครู่มิใช่นาง นางแย้มสรวลโบกมือให้เขา

        "ไปเถิดเ๽้าค่ะ"

        "ข้ายอมแพ้ให้เ๯้าแล้วจริงๆ"

        จางเจิ้นอันมองนางอย่างจนใจ หันหลังเดินออกจากบ้าน สายตาที่แสดงความรักใคร่นั้น ยังคงซ่อนอยู่ในหว่างคิ้ว มิอาจเก็บซ่อนไว้ได้

        อันซิ่วเอ๋อร์ปิดประตู เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยราวกับแม่ทัพผู้ได้รับชัย อันหรงเหอเมื่อเห็นนางก็ยกนิ้วโป้งให้ กล่าวว่า "ท่านอาหญิง ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกิน"

        "แน่นอนอยู่แล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์มีความสุขเล็กๆ "จัดการได้อย่างง่ายดาย"

        "ข้าขอขอบคุณท่านอาหญิงแทนเหล่าสหายร่วมเรียนของข้าด้วยขอรับ"

        อันหรงเหอกระทำความเคารพต่ออันซิ่วเอ๋อร์เช่นผู้ใหญ่ ทั้งสองคนมองหน้ากัน ต่างแย้มสรวลออกมา

        "ท่านอาเขยของพวกเรานั้นร้ายกาจยิ่งนัก"

        อันหรงเหอกล่าว พลางแลบลิ้น ราวกับชื่นชมความกล้าหาญของอันซิ่วเอ๋อร์ "แต่ข้าก็มิกล้าที่จะเอ่ยวาจาเช่นนี้กับท่านอาเขย"

        ทีแรกอันซิ่วเอ๋อร์ก็มิกล้าที่จะทำเช่นนี้ หากแต่ในวันที่อยู่ด้วยกัน นางค่อยๆ หยั่งเชิงทีละน้อย สุดท้ายก็พบว่าเ๹ื่๪๫เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เขาแทบมิได้ใส่ใจ เพียงแต่นางออดอ้อนสักหน่อย วิงวอนสักหน่อย เขาก็ยินยอมแทบทั้งสิ้น

        "ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ข้าเคยสอนเ๽้าไป มีข้อผิดพลาดหรือไม่?"

        อันซิ่วเอ๋อร์เมื่อนึกถึงปัญหานี้ ในใจก็ยังคงหวาดหวั่น นางคิดว่าตนเองคงเป็๞พวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

        "มิมีขอรับ" อันหรงเหอส่ายหน้า กล่าวว่า "มีเพียงอักษรสองตัวนั้นเท่านั้น ที่เหลือถูกต้องหมด ท่านอาก็เก่งกาจยิ่งนัก"

        "เ๯้านี่ช่างพูด"

        เมื่อได้ฟังดังนั้นอันซิ่วเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก กล่าวว่า "เอาเถิด เ๽้าจงฝึกเขียนอักษรไป ส่วนข้าจะปักผ้า"

        นางหยิบสะดึงออกมา เริ่มปักผ้าเช็ดหน้าที่ยังทำมิเสร็จ ส่วนอันหรงเหอเมื่อเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์ตั้งใจปักผ้าแล้ว ก็ตั้งใจเขียนอักษรขึ้นมาเช่นกัน

         

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้