จางเจิ้นอันทอดสายตามองตามแผ่นหลังที่จากไปของนาง พลันแย้มสรวลอย่างแ่เบา ความรู้สึกกลับเบิกบานขึ้นอย่างประหลาด หันไปเอ่ยถามอันหรงเหอ
"หรงเหอ ยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีกบ้าง?"
"มีหลายสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจขอรับ แต่บทกวีสองสามบทก่อนหน้านี้ ท่านอาหญิงเป็ผู้สอนข้า ขอความกรุณาท่านอาเขยช่วยอ่านให้ข้าฟังอีกคราเถิด" อันหรงเหอเอ่ยเสียงแ่เบา
จางเจิ้นอันรับหนังสือมา นั่งลงข้างกายอันหรงเหอ พลางถือหนังสืออ่าน พลางไถ่ถามว่ามีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ อันหรงเหอเอ่ยถามอยู่สองสามแห่ง จางเจิ้นอันก็ตอบอย่างละเอียดลออ โชคดีที่อักษรในบทกวีสองสามบทนี้ อันซิ่วเอ๋อร์มิได้สอนผิดพลาด นับว่ากอบกู้หน้าตาของนางในสายตาของอันหรงเหอไปได้บ้าง
เมื่ออ่านบทกวีที่เคยเรียนไปก่อนหน้านี้จบ อันหรงเหอก็ยังปรารถนาให้จางเจิ้นอันสอนบทต่อๆ ไปให้แก่เขา ในวันนี้ท่านอาเขยอารมณ์ดีเป็พิเศษ ยินดีสอนเขา เขาจักต้องฉวยโอกาสนี้ไว้
"ท่านอาเขย ท่านโปรดสอนข้าอีกสักบทได้หรือไม่?" เขาฮึกเหิมกล่าวออกมา
เดิมทีจางเจิ้นอันตั้งใจจะไปยังห้องครัวเพื่อช่วยอันซิ่วเอ๋อร์ หากแต่เมื่อเห็นอันหรงเหอวิงวอนขอร้อง เขาก็ตอบตกลง "ได้สิ"
เมื่อเห็นเขาตอบตกลง อันหรงเหอรีบส่งหนังสือให้ จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปรับ พลันเปิดไปยังหน้าหนึ่ง กลับเป็บท ‘สู่เหริน’ ในบทกวีแห่งเว่ย
เมื่ออันหรงเหอเห็นมือของจางเจิ้นอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามขึ้น
"มีสิ่งใดหรือขอรับ?"
"มิมีสิ่งใด"
จางเจิ้นอันเปิดไปยังหน้าก่อนหน้านี้ มองอันหรงเหอแวบหนึ่ง กล่าวว่า "พวกเราเรียนบท 'เก๋อตาน' บทนี้กันเถิด"
"ขอรับ"
อันหรงเหอรีบยื่นศีรษะน้อยๆ เข้ามาใกล้ จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาเบาๆ มิรู้ว่าเป็เพราะความรักที่มีต่อนางจึงเอ็นดูหลานชายไปด้วยหรือไม่ เขาก็รู้สึกว่าอันหรงเหอน่ารักยิ่งนัก
ทั้งสองคนคนหนึ่งสอน คนหนึ่งเรียน พลันลืมเลือนทุกสิ่ง จนกระทั่งอันซิ่วเอ๋อร์ยกสำรับกับข้าวสำรับแรกออกมา ทั้งสองจึงได้สติ จางเจิ้นอันรีบส่งหนังสือให้อันหรงเหอ วิ่งไปยังห้องครัวเพื่อช่วยยกกับข้าว ส่วนอันหรงเหอนำหนังสือไปเก็บ
เมื่อกับข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา อันหรงเหอรับข้าวจากจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "ท่านอาเขยเป็คนดีจริงๆ"
"เขาดีตรงไหน?"
อันซิ่วเอ๋อร์แย้มสรวลเอ่ยถาม รู้สึกว่าอันหรงเหอถูกเขาซื้อใจไปด้วยข้าวเพียงสำรับเดียว หากแต่อันหรงเหอกลับกล่าวว่า "เมื่อก่อนท่านอาจารย์กู้มิเคยกล่าวถึงความหมายของบทกวีให้พวกเราฟัง หากพวกเราถามซ้ำอีกสองครา เขาก็จะดุด่าพวกเรา มีเพียงท่านอาเขยที่ยินดีสอนข้าอย่างอดทนเช่นนี้"
"จริงหรือ? ดังนั้นเขาจึงมีปัญหาด้านคุณธรรม เ้าดูสิว่าเขาจากไปอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านหารืออาจารย์ท่านใหม่มิได้เสียที"
อันซิ่วเอ๋อร์ใช้เื่นี้เป็ตัวอย่าง สั่งสอนอันหรงเหอ
"การเป็คน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะบุรุษ ต้องมีจิตสำนึก ต้องกล้าที่จะแบกรับ ไม่สามารถจากไปโดยมิบอกกล่าวเช่นนี้ได้"
อันซิ่วเอ๋อร์มิได้ใส่ใจว่ากู้หลินหลางได้กล่าวกับผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็จากไปอย่างเร่งรีบ สร้างความเดือดร้อนให้แก่หมู่บ้าน
จางเจิ้นอันที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ดวงตากลับหม่นแสงลง มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
"ข้าทราบแล้ว ท่านอาหญิง"
อันหรงเหอได้ฟังดังนั้นก็ตบหน้าอก กล่าวว่า "ข้าเป็ลูกผู้ชาย"
"ใช่แล้ว ลูกผู้ชายตัวน้อยๆ ของพวกเรา มาดื่มน้ำแกงเสียหน่อย"
อันซิ่วเอ๋อร์ตักน้ำแกงใส่ชามให้เขา ข้าวสารสีขาวนวลทุกเม็ดอิ่มฟู เมื่อรวมกับน้ำแกงปลาสีขาวราวน้ำนม จึงทำให้เจริญอาหารยิ่งนัก
อันหรงเหอกล่าวขอบคุณอันซิ่วเอ๋อร์ ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำแกง ปอยผมสองข้างบนศีรษะน้อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นลงตามการก้มศีรษะของเขา น่ารักยิ่งนัก มุมปากของอันซิ่วเอ๋อร์พลันยกขึ้นเล็กน้อยอย่างมิรู้ตัว รอยลักยิ้มสองข้างปรากฏรางๆ
เมื่อหันกลับไปเห็นจางเจิ้นอันจ้องมองนางอย่างเหม่อลอย ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ตักน้ำแกงให้เขาเช่นกัน กล่าวว่า "มาเถิด ท่านพี่ก็เหนื่อยมามาก ดื่มน้ำแกงเสียหน่อย"
"ขอบคุณ" จางเจิ้นอันจึงได้สติ รู้สึกเพียงว่าใบหน้างามที่แดงระเรื่อของนาง ช่างงดงามราวกับบทกวีสู่เหรินในบทกวีแห่งเว่ย
"คิดสิ่งใดอยู่หรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
"กำลังคิดถึงบทกวีที่เพิ่งอ่านไปเมื่อครู่"
"บทกวีอะไรหรือเ้าคะ?"
"สู่เหริน"
เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์มิเข้าใจ จางเจิ้นอันจึงอธิบายพลางแย้มสรวล
"กล่าวถึงสตรีงามผู้หนึ่ง ลำคอระหงดุจหนอนไหม ฟันเรียงสวยดุจผลแตงโม ศีรษะกลมมนคิ้วโก่งคม ขำขื่นรื่นรมย์ ั์ตางามหยาดเยิ้ม"
เมื่ออันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขามองนางพลางแย้มสรวล รู้สึกเพียงว่าสองแก้มร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย หากแต่เมื่อมีเด็กอยู่ตรงหน้า นางก็มิอาจกล่าวสิ่งใดได้ ทำได้เพียงส่งสายตาค้อนเขาด้วยั์ตาใสกระจ่าง ปนความขุ่นเคืองและความออดอ้อน
"ท่านพี่เก่งกาจถึงเพียงนี้ สู้ท่านไปเป็อาจารย์เสียเองมิดีกว่าหรือ?"
"ใช่แล้วขอรับ ท่านอาเขย ท่านสามารถไปเป็อาจารย์ได้นะขอรับ!"
อันซิ่วเอ๋อร์เพียงเอ่ยประชด หากแต่มิคาดว่าอันหรงเหอกลับคล้อยตามด้วยท่าทีฮึกเหิม ดวงตาทั้งสองข้างเป็ประกาย ราวกับคิดแผนการอันยอดเยี่ยมได้
"หา?"
เมื่อเห็นท่าทีของอันหรงเหอ อันซิ่วเอ๋อร์และจางเจิ้นอันต่างงุนงง นางมิเคยคิดที่จะให้จางเจิ้นอันไปเป็อาจารย์ จางเจิ้นอันเองก็โบกมือ กล่าวว่า "ข้าขอขอบคุณความปรารถนาดีของหรงเหอ แต่ให้ข้าไปเป็อาจารย์นั้น คงมิเหมาะ ข้าเป็เพียงชาวประมงผู้หนึ่งเท่านั้น"
"ผู้ใดกล่าวเช่นนั้นขอรับ ท่านอาเขยเก่งกาจยิ่งนัก" อันหรงเหอกลับกล่าวอย่างจริงจัง
"ข้าคิดว่าท่านอาเขยไปเป็อาจารย์ได้ขอรับ ในตอนนี้สำนักศึกษาไม่มีอาจารย์ สำนักศึกษาจึงกลายเป็ราวกับตลาดสด พวกคนแก่ในหมู่บ้านก็มิอาจควบคุมพวกเขาได้ หากเป็เช่นนี้ต่อไป สำนักศึกษาของพวกเราคงต้องล้มเลิกเป็แน่"
"คิดไปเองกระมัง สำนักศึกษาจะล้มเลิกง่ายดายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร" จางเจิ้นอันมิคิดเช่นนั้น
"ย่อมต้องล้มเลิกสิขอรับ หากไม่มีอาจารย์ เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก พวกผู้ปกครองคงต้องรับบุตรหลานของตนกลับไปเป็แน่ พอถึงตอนนั้น ต่อให้มีอาจารย์มาใหม่ ผู้คนก็จะไม่กลับมายังสำนักศึกษาของพวกเราอีกแล้ว"
อันหรงเหอกล่าวพลางหดหู่ใจ "หากไม่มีสำนักศึกษา วันหน้าข้าก็คงไม่มีที่ให้ร่ำเรียนอีกแล้ว"
จางเจิ้นอันคิดใคร่ครวญดูก็เห็นจริง เด็กในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้มิมีสำนักศึกษามากนัก เช่น หมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ หมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่งต่างก็มีสำนักศึกษาเพียงแห่งเดียว เด็กที่อยู่ไกลที่สุด ต้องเดินเท้าหลายสิบลี้เพื่อมาเรียนหนังสือในทุกๆ วัน นับว่ามิใช่เื่ง่าย หากสำนักศึกษาแห่งนี้ยังเป็เช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงก็คงเสื่อมเสีย
"ท่านอาเขย ท่านโปรดรับปากมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษาของพวกเราเถิด" อันหรงเหอกล้าๆ กลัวๆ เตรียมจะดึงแขนเสื้อจางเจิ้นอัน
อันซิ่วเอ๋อร์กลัวจางเจิ้นอันจะโกรธ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงกล่าวว่า "เอาเถิด กินข้าวก่อนเถิด การที่จะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาได้หรือไม่ มิใช่สิ่งที่ท่านอาเขยของเ้าตัดสินใจได้"
เมื่ออันหรงเหอได้ยินดังนั้นก็ดึงมือกลับ สีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง หากแต่ก็ยังมิยอมแพ้ กล่าวว่า "ท่านอาหญิง หากไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา จะมีเงินสินจ้างเดือนละสองร้อยอีแปะนะขอรับ"
"สองร้อยอีแปะ เ้าได้ยินมาจากผู้ใด?" เมื่อได้ยินอันหรงเหอกล่าวถึงเงิน อันซิ่วเอ๋อร์ก็เอ่ยเสียงสูงขึ้นสองส่วน
อันหรงเหอตักข้าวคำหนึ่ง กล่าวเสียงอู้อี้ "ทุกคนต่างก็ทราบ"
"มีสองร้อยอีแปะจริงหรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอีกครา
"ย่อมต้องมีสิขอรับ"
อันหรงเหอกลืนข้าวลงคอ พลางพยักหน้า กล่าวว่า "ในตอนนี้กำลังขาดแคลนอาจารย์ ท่านอาเขยตื่นเช้าไปทอดแห แล้วมาสอนพวกเรา จากนั้นค่อยไปจับปลา แบบนี้ทั้งสอนหนังสือและจับปลา มิเสียการทั้งสองอย่าง"
"เ้านี่ช่างรู้จักคิดคำนวณ"
อันซิ่วเอ๋อร์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของอันหรงเหอเบาๆ แล้วเงยหน้ามองจางเจิ้นอัน น้ำเสียงอ่อนลง "ท่านพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร?"
"เ้าคิดว่าข้าเหมาะสมที่จะเป็อาจารย์หรือ?"
จางเจิ้นอันแย้มสรวลอย่างจนปัญญา กล่าวว่า "ข้าขึ้นไปยืนบนแท่นบรรยาย เกรงว่าจะทำให้เหล่าศิษย์เ่าั้แตกตื่นเสียมากกว่า"
"มิมีทาง ท่านพี่นั่นแหละคือความเข้มงวด เช่นนี้ต่างหากถึงจะควบคุมผู้คนได้"
อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองจางเจิ้นอันตาละห้อย กล่าวว่า "ท่านลองดูสักหน่อยเถิด มิได้หวังเงินทอง เพียงแต่คิดจะควบคุมเด็กๆ เหล่านี้ก็เท่านั้น"
จางเจิ้นอันมิมีความคิดที่จะเป็อาจารย์ เขาคิดว่าการจับปลาอย่างอิสรเสรีในตอนนี้ดีอยู่แล้ว จึงก้มหน้าก้มตากินข้าว มิเอ่ยวาจาใด มิเหลียวมองนาง
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าโดยปกติเขาจะไม่ชอบพูดคุยบนโต๊ะอาหาร นางจึงปิดปากเงียบ หากแต่เมื่อกินข้าวเสร็จ นางก็เริ่มวนเวียนอยู่ข้างกายเขาแล้ว แม้อันหรงเหอจะหยิบหนังสือออกมาเตรียมเขียนอักษรแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงนางจากลานบ้านด้านหลัง
"ท่านพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร?"
"ข้าจะไปจับปลาแล้ว" จางเจิ้นอันหยิบตะกร้าปลา เตรียมจะหลีกหนี
"การจับปลามิใช่เื่เร่งด่วน ท่านลองไปเป็อาจารย์มิดีกว่าหรือ?"
อันซิ่วเอ๋อร์แย่งตะกร้าปลา ดึงข้อมือเขา บังคับให้เขาออกจากลานบ้านด้านหลังอย่างแข็งขัน มิยอมให้เขาออกจากบ้าน
"อย่าทำเช่นนี้เลย"
จางเจิ้นอันจะดึงมือนางออก แต่นางกลับดึงดันมิยอมปล่อย "ท่านรับปากข้าว่าจะไปหารือเื่นี้กับผู้ใหญ่บ้านในยามค่ำ ข้าก็จะปล่อยท่าน"
จางเจิ้นอันจนปัญญาอย่างยิ่ง หากแต่เขามิมีหนทางรับมือกับเคล็ดวิชา 'เหนียว' ของนางได้เลย เมื่อถูกนางยึดติดมากเข้า เขาก็พลันพยักหน้าโดยมิรู้ตัว
"ก็ได้ เ้าปล่อยข้าก่อน"
"ท่านเพิ่งรับปากไปแล้วนะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ปล่อยข้อมือเขาในทันที "ลูกผู้ชายเมื่อเอ่ยคำแล้ว สี่ม้าก็ไม่อาจไล่ตามทัน ท่านต้องไปหารือกับผู้ใหญ่บ้านในยามค่ำให้ดี"
กล่าวพลางนางก็แขวนตะกร้าปลาไว้ที่เอวของเขา กลับคืนสู่ท่าทีอ่อนหวานและนุ่มนวล ราวกับสตรีที่เพิ่งออดอ้อนเมื่อครู่มิใช่นาง นางแย้มสรวลโบกมือให้เขา
"ไปเถิดเ้าค่ะ"
"ข้ายอมแพ้ให้เ้าแล้วจริงๆ"
จางเจิ้นอันมองนางอย่างจนใจ หันหลังเดินออกจากบ้าน สายตาที่แสดงความรักใคร่นั้น ยังคงซ่อนอยู่ในหว่างคิ้ว มิอาจเก็บซ่อนไว้ได้
อันซิ่วเอ๋อร์ปิดประตู เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยราวกับแม่ทัพผู้ได้รับชัย อันหรงเหอเมื่อเห็นนางก็ยกนิ้วโป้งให้ กล่าวว่า "ท่านอาหญิง ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกิน"
"แน่นอนอยู่แล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์มีความสุขเล็กๆ "จัดการได้อย่างง่ายดาย"
"ข้าขอขอบคุณท่านอาหญิงแทนเหล่าสหายร่วมเรียนของข้าด้วยขอรับ"
อันหรงเหอกระทำความเคารพต่ออันซิ่วเอ๋อร์เช่นผู้ใหญ่ ทั้งสองคนมองหน้ากัน ต่างแย้มสรวลออกมา
"ท่านอาเขยของพวกเรานั้นร้ายกาจยิ่งนัก"
อันหรงเหอกล่าว พลางแลบลิ้น ราวกับชื่นชมความกล้าหาญของอันซิ่วเอ๋อร์ "แต่ข้าก็มิกล้าที่จะเอ่ยวาจาเช่นนี้กับท่านอาเขย"
ทีแรกอันซิ่วเอ๋อร์ก็มิกล้าที่จะทำเช่นนี้ หากแต่ในวันที่อยู่ด้วยกัน นางค่อยๆ หยั่งเชิงทีละน้อย สุดท้ายก็พบว่าเื่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เขาแทบมิได้ใส่ใจ เพียงแต่นางออดอ้อนสักหน่อย วิงวอนสักหน่อย เขาก็ยินยอมแทบทั้งสิ้น
"ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ข้าเคยสอนเ้าไป มีข้อผิดพลาดหรือไม่?"
อันซิ่วเอ๋อร์เมื่อนึกถึงปัญหานี้ ในใจก็ยังคงหวาดหวั่น นางคิดว่าตนเองคงเป็พวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
"มิมีขอรับ" อันหรงเหอส่ายหน้า กล่าวว่า "มีเพียงอักษรสองตัวนั้นเท่านั้น ที่เหลือถูกต้องหมด ท่านอาก็เก่งกาจยิ่งนัก"
"เ้านี่ช่างพูด"
เมื่อได้ฟังดังนั้นอันซิ่วเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก กล่าวว่า "เอาเถิด เ้าจงฝึกเขียนอักษรไป ส่วนข้าจะปักผ้า"
นางหยิบสะดึงออกมา เริ่มปักผ้าเช็ดหน้าที่ยังทำมิเสร็จ ส่วนอันหรงเหอเมื่อเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์ตั้งใจปักผ้าแล้ว ก็ตั้งใจเขียนอักษรขึ้นมาเช่นกัน
