พริกถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว ทั้งเรือนที่ตากล้วนเป็พริกเม็ดแดงๆ สวี่ตี้เองก็ไม่ได้จ้างคนด้านนอกมา แต่พาจ้าวจวงโถวแล้วก็ลุงๆ ทหารที่เกษียณมาช่วยกันเอาพริกไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นเอาเมล็ดด้านในออกมา พริกที่ตากแห้งแล้วจะถูกเก็บเอาไว้ในถุง กว่าร้านหม้อไฟจะเปิดยังต้องใช้เวลาอีก่หนึ่ง ตอนนี้วัตถุดิบยังทำไม่เสร็จ สวี่ตี้จึงวางเื่นั้นไว้ด้านข้างก่อน เื่ที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือการเก็บเกี่ยวข้าวฮ่านต่าว
เพราะว่าอยู่ใกล้กับแม่น้ำ บวกกับปีนี้ฝนตกมาในปริมาณที่พอดี ข้าวจึงเติบโตได้ดีมาก ไม่เพียงแค่สวี่ตี้ที่ดีใจ แม้แต่เหล่าบุรุษของหมู่บ้านสกุลจางก็ดีใจมากเช่นกัน ถ้าหากคุณชายปลูกข้าวได้ดีแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าตนเองก็สามารถที่จะปลูกข้าวสาลีและข้าวขาวด้วยกันกับคุณชายได้ คิดไม่ถึงว่าสถานที่ทางเหนือที่ไกลขนาดนี้ก็สามารถมีของที่ราคาแพงเช่นนี้ได้
ข้าวธัญพืชโอ๊ตยังเหลือเวลาอีกหน่อยถึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ คนในไร่ก็มาช่วยสวี่ตี้เกี่ยวข้าวดังเดิม
สวี่ตี้จ้างอาจารย์จากทางใต้มาสอนทุกคนเก็บข้าว อุปกรณ์ง่ายๆ พวกนั้นก็ทำออกมานานแล้ว เหล่าบุรุษหนุ่มในไร่ต่างคว้าข้าวกันคนละกำตามอาจารย์ แล้วเอาไปตีในกล่องไม้ใบใหญ่ จากนั้นก็เอาข้าวเปลือกมาวางตากแดดบนพื้นเรียบๆ
ข้าวเปลือกค่อนข้างจะเก็บได้ง่าย ตอนที่จะทานก็ค่อยเอาเปลือกออก ท่านอาจารย์ได้ทำอุปกรณ์แยกเปลือกข้าวออกมาแล้ว ที่โม่แป้งที่ทำจากหินหนึ่งอัน แล้วก็ไม้ขนาดหนาๆ วางเอาไว้ในเรือนฝั่งตะวันออก
หลังจากตากข้าวไว้หลายวันจนแห้งสนิทก็เก็บขึ้นมา สวี่ตี้ใช้ที่โม่แป้งมาโม่ข้าวหลายสิบจิน แล้วส่งไปให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ให้เขาเอาไปแบ่งกับคนในหมู่บ้าน
ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในหมู่บ้านก็ครึกครื้นกันมาก สวี่เหรากับจางจ้าวฉือพาลูกสองคนไปฉลองเทศกาลกันในสวน เพราะว่าเป็เทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ในมือของทุกคนมีเงินมีอาหาร ดังนั้นจึงฉลองเทศกาลนี้กันอย่างชื่นมื่น
หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิกันเสร็จแล้ว ที่ดินยามนี้จึงว่างเปล่า สวี่ตี้พาคนมาจัดการหน้าดิน เตรียมตัวที่จะปลูกข้าวสาลี คนของหมู่บ้านสกุลจางหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวสาลีกันแล้ว ก็พากันมาจัดการหน้าดิน สวี่ตี้จึงพาคนมาร่วมด้วย หลังจากปล่อยน้ำเข้ามาแล้ว ก็วางแผนใหม่ จากนั้นก็เอาปุ๋ยในโรงงานปุ๋ยของตนเองออกมาใช้
ปุ๋ยที่ผลิตในโรงงานปุ๋ยล้วนให้สวี่ตี้ใช้เอง แต่ว่าหลังจากที่คนของกระทรวงพลเรือนมาเยี่ยมชมโรงงานปุ๋ยก็ให้ความสนใจมาก ไม่พูดถึงอย่างอื่น พูดแค่ว่าในสวนของราชวงศ์หลายร้อยไร่นั้น ถ้าหากใช้ปุ๋ยเช่นนี้ เช่นนั้นก็ประหยัดปัญหาไปเยอะมาก ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีก
ตอนที่คนของกระทรวงพลเรือนกลับไปรายงาน ก็ได้พูดถึงเื่นี้ ฝ่าาก็เป็ฮ่องเต้ที่ทรงรักประชาชน ทั้งยังใส่ใจเื่เกษตรกรรมเป็อย่างยิ่ง จึงได้ส่งผู้ดูแลของสวนหลวงไปเรียนรู้วิธีการทำปุ๋ย สวี่ตี้กับสวี่เหราแน่นอนว่าเมื่อมีการขอมาก็ต้องตอบรับ อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็อะไรที่จะต้องปกปิดวิธีการ ไม่เพียงจะมอบให้ทุกอย่างแล้ว ยังให้ผู้ดูแลในโรงงานปุ๋ยตามไปเมืองหลวงเพื่อชี้แนะการสร้างโรงงานอีกด้วย
หลายวันต่อมา ผู้ดูแลโรงงานปุ๋ยกลับมาที่เหอซีแล้ว ตอนนี้เื่ที่ชอบมากที่สุดก็คือสหายในโรงงานจะมาล้อมรอบตนเองตอนเวลาพัก เพื่อฟังเขาเล่าเื่ที่ได้ไปเยือนเมืองหลวง
ที่ดินในแปลง สวี่ตี้ใช้ปุ๋ยเช่นนี้มาตลอด ทั้งสะอาด ถูกสุขอนามัย ประเด็นคือใช้สะดวกมาก คนในหมู่บ้านจางเคยเห็นแล้ว ตอนแรกรู้สึกว่าปุ๋ยเช่นนี้ใช้แล้วคงจะสู้ปุ๋ยของชาวนาไม่ได้ แต่ว่าธัญพืชในที่ดินเติบโตได้ดีจริงๆ ก็รู้แล้วว่าปุ๋ยของเขานั้นดี พอไปสอบถามมาอีก ปุ๋ยราคาก็ไม่ได้แพงมาก บางคนไปซื้อมาใช้กับดินของตนเอง จะปลูกข้าวสาลีแล้ว หากธัญพืชในครั้งนี้ปลูกได้ดีแล้ว ไม่ใช่แค่อาหารในครอบครัวจะมากขึ้น ข้าวสาลีเอาไปบดเป็แป้งราคาก็สูง หากขายออกไปในเรือนก็มีเงินไปซื้อเกลือแล้ว ทั้งยังสามารถซื้อผ้ามาทำชุดตัวใหม่ให้กับบุตรธิดาได้
ฟ้าสูงเมฆบางๆ สายลมก็พัดพาอากาศเย็นๆ มา คนที่ทำงานในแปลงกลับยุ่งจนเหงื่อโซมกาย บางคนถึงขั้นถอดเสื้อตัวบนของตนเองออก แล้วเปลือยท่อนบนทำงานต่อไป
ตอนนี้สวี่ตี้คิดถึงเครื่องจักรที่ใช้ในการเกษตรพวกนั้นมาก ที่นาหลายร้อยไร่ ใช้เครื่องโปรยเมล็ดหนึ่งคันสองวันก็ทำเสร็จแล้ว มีหรือจะเหมือนตอนนี้ หลังจากโปรยปุ๋ยแล้วก็ใช้คราดมาไถดินให้ดินพลิกขึ้นมารอบหนึ่ง แล้วค่อยทำให้หน้าดินกลับมาเรียบ เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ เอาเมล็ดข้าวสาลีลงไปในดินทีละเม็ดๆ คนทั้งหมู่บ้านลงมือช่วยกันอย่างแข็งขัน งานยุ่งอยู่หลายวันถึงจะทำเสร็จ
หลังจากปลูกข้าวสาลีเสร็จแล้ว สวี่ตี้ก็กลับไปที่เรือนหลังสำนักงานเขตที่เหอซี แล้วจัดการกับเรือนเพาะชำอีกครั้ง เตรียมตัวปลูกผักรอบใหม่
คนในจวนจิ้งเป่ยโหวมีจำนวนมาก จิ้งเป่ยโหวเย่เว่ยเฉิงเป็บุตรชายคนโตจากภรรยาหลวงภายในเรือน ต่อมายังมีน้องชายที่เกิดจากภรรยาหลวงและจากอนุอีกหลายคน เพราะว่ามารดาของจิ้งเป่ยโหวเย่ยังแข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ได้แบ่งเรือน เมื่อคนในตระกูลเยอะ เื่ก็เยอะตาม โดยเฉพาะเื่แต่งงานของเหล่าหลานชาย ซึ่งล้วนจะต้องเอาเงินจ่ายค่าสินสอดหรือทำเป็สินเดิมของหลานสาว
จิ้งเป่ยโหวก่อร่างสร้างตัวมาจากการเป็ทหาร เมื่อก่อนก็ได้หาเงินมาสะสมเอาไว้ แต่ว่าคนในครอบครัวไม่มีคนที่มีพร์ด้านการค้าขาย จึงจ้างคนดูแลร้านหลายคนมาช่วยดูร้านให้เท่านั้น หลายปีมานี้ ถึงแม้จิ้งเป่ยโหวเย่จะยังมีซื่อจื่อสร้างผลงานทางทหารเอาไว้ แต่พูดโดยสรุปแล้วสมบัติในครอบครัวก็ถึงก้นหีบแล้ว
ตอนที่สวี่เหราไปหาเว่ยหลางเพื่อปรึกษาเื่เปิดร้านหม้อไฟ ก็เพราะรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของสกุลเว่ยใกล้จะถึงวิกฤติ ความจริงแล้วไม่ใช่แค่สกุลเว่ย สกุลสวี่ก็เช่นกัน เบื้องหน้าดูดี แล้วก็จวนกงโหวทั้งหลายในเมืองหลวง ต่างกินเงินเก่าเก็บกันอยู่ แน่นอนว่าเว่ยหลางรู้ว่าเปิดร้านหม้อไฟนั้นเป็เงินที่ได้มาจากการค้าขาย ดังนั้นหลังจากปรึกษากับคนในครอบครัวแล้ว ก็ตัดสินใจว่าไม่สามารถส่งคนอื่นๆ ในเรือนออกมาทำได้ จึงส่งพี่ใหญ่เว่ยเจวียนที่แต่งงานออกไปแล้วมาเป็ตัวแทนของสกุลเว่ย
หลายปีก่อนที่จิ้งเป่ยโหวเย่คุ้มกันที่นี่ ฮูหยินของตนเองก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอด จวนแม่ทัพที่เว่ยหลางอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็คือสถานที่ที่จิ้งเป่ยโหวเย่และฮูหยินเคยพักอยู่ พี่น้องของเว่ยหลางกี่คนๆ ก็ต่างเติบโตที่นี่ ต่อมาเพราะว่าจิ้งเป่ยโหวเย่ได้รับาเ็จึงแขวนเกราะแล้วกลับเมืองหลวงไป จากนั้นจึงให้บุตรชายของตนเองมาคุ้มกันที่นี่แทน
บิดามารดาของเว่ยหลางก็มีเขาคนเดียวที่เป็บุตรชาย ก่อนหน้านี้ยังมีพี่สาวอีกสามคน เว่ยหลางเป็ลูกหลงของบิดามารดา พี่สาวทั้งสามคนต่างแก่กว่าเว่ยหลางมาก ั้แ่เด็กเว่ยหลางก็ถูกพี่สาวทั้งสามคนเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ร่วมมือเปิดร้านหม้อไฟในครั้งนี้ เว่ยหลางจึงคิดที่จะมอบเงินส่วนแบ่งจากการทำร้านหม้อไฟครึ่งหนึ่งให้กับพี่สาวทั้งสามคน เป็เงินค่าเครื่องประทินผิวทั้งหลายของพี่สาวทั้งสาม
เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็ลูกของตน จิ้งเป่ยโหวกับฮูหยินของตนจึงไม่มีความคิดเห็นอะไร ตอนที่ปรึกษากันคนอื่นๆ ในจวน ทุกคนก็ต่างรู้สึกว่าก็แค่เปิดร้านอาหารร้านหนึ่งเท่านั้น หนึ่งปีจะหาเงินมาได้เท่าไหร่กันเชียว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เว่ยหลางจึงให้คนในครอบครัวประทับลายนิ้วมือ ยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องมีลายลักษณ์อักษรเป็การยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วม
ทุกคนในครอบครัวรู้สึกว่าเว่ยหลางทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ ไม่มีเื่อะไรก็ทำให้เป็เื่ขึ้นมา แต่ว่ารอจนกระทั่งร้านอาหารเล็กๆ อย่างร้านหม้อไฟเปิดไปทั่วทั้งแคว้นต้าเหลียง จนไปถึงแคว้นเพื่อนบ้านที่อยู่ทางใต้ เงินทองไหลมาเทมา คนในสกุลเว่ยก็รู้สึกเสียใจภายหลัง แต่ว่าเพราะตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้ในกระดาษแผ่นนั้น อิจฉาตาร้อนแล้วจะทำอันใดได้?
จดหมายส่งมาจากเมืองหลวง การต่อเติมร้านหม้อไฟได้ดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะต้องทำเครื่องแกงและฝึกอบรมพนักงาน
การทำเครื่องแกงหม้อไฟ สวี่ตี้อยากจะฝึกอบรมพนักงานที่พึ่งพาได้และมีความซื่อสัตย์เอาไว้สักคนสองคน หลังจากปรึกษากับเว่ยหลางแล้ว เว่ยหลางก็หาทหารเก่าที่ออกจากกองทัพเพราะว่าได้รับาเ็มาหลายคน หลังจากสวี่ตี้ทำสัญญากับคนพวกนี้เื่เก็บความลับเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เริ่มการฝึกอบรม
ผู้ใดก็ต่างรู้ว่ากระดาษแผ่นบางๆ นั้นยากที่จะผูกมัดผู้อื่น ดังนั้นสวี่ตี้จึงอยากจะควบคุมในด้านวัตถุดิบ การปลูกพริกเขาก็ไม่อยากจะเผยแพร่ออกไป อยากจะรับประทานพริกนั้นได้ ไปซื้อของสำเร็จรูปมาก็พอ สวี่ตี้สามารถเอาพริกของเรือนตนเองมาทำเป็เครื่องแกงหม้อไฟ มาทำเป็พริกแกง แต่หากอยากจะซื้อพริกที่มีเมล็ดติดไปด้วยนั้นไม่ได้
เื่นี้สวี่ตี้ยืนยันหนักแน่น พริกจะปลูกอยู่ในสวนของตนเท่านั้น เขาได้พิจารณาถึงเื่ที่จะเจอในอนาคต สวี่ตี้รู้สึกว่าสามารถยืนหยัดได้นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น ตอนที่ยังหาเงินได้ไม่มากพอ ก็แค่ดูว่าตนเองจะสามารถผูกขาดเมล็ดพริกได้นานเท่าไหร่
อากาศที่เหอซีนั้นหนาวไว แต่ละครอบครัวต่างจุดไฟอุ่นตั่งกันไว้แล้ว ครอบครัวสวี่เองก็ไม่ยกเว้น
สวี่เหรางานยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ตอนกลางคืนกลับมามีบางครั้งสวี่ตี้ก็นอนหลับไปแล้ว จางจ้าวฉือก็รอให้สวี่เหรากลับมา จากนั้นก็ใช้เตาเล็กๆ ในห้องมาต้มน้ำแกงให้สวี่เหรา หลังจากกินของร้อนๆ และใช้น้ำร้อนมาแช่เท้า อากาศหนาวเกินไป เรือนของสำนักงานเขตก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจ ไม่สามารถอาบน้ำได้ทุกวัน
หลังจากสวี่ตี้ทำเื่ในไร่จนเรียบร้อยแล้ว ก็นำพริกแห้งกลับมาหลายสิบกระสอบ ตอนกลางคืนก็ใช้กรรไกรตัดพริกแล้วเอาเมล็ดออกมา
สวี่ตี้จัดการกับพริก ทั้งสองมือก็รู้สึกแสบร้อนไปหมด สูดปากไปก็ใช้กรรไกรตัดไป
สวี่เหราเอ่ย “เ้าให้คนอื่นช่วยเ้าไม่เป็หรือไร? อะไรๆ เ้าก็ทำเองไปเสียหมด ไม่ว่าจะเื่เล็กเื่ใหญ่ เ้าทำไหวหรืออย่างไร?”
สวี่ตี้ตอบ “ทำได้นานเท่าไหร่ก็เท่านั้นขอรับ ข้าจะบอกกับพวกท่านให้นะ ตอนนี้พริกคืออาวุธใหญ่ของพวกเรา สามารถทำให้มันอยู่ในมือของเรานานเท่าไหร่ก็ให้มันอยู่นานเท่านั้น อย่างน้อยที่สุด วิธีปลูกข้าก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว จับเ้านี่อยู่หมัดแล้วก็จะจับเงินในมือได้ ข้าคิดเอาไว้แล้ว นอกจากทำเครื่องแกงหม้อไฟแล้ว ข้าจะทำน้ำพริกเนื้อสักหน่อย อย่างน้ำพริกเนื้อวัว น้ำพริกเนื้อหมู อย่างน้อยพวกเรากินเองก็ยังสะดวก”
จางจ้าวฉือเอ่ย “แต่ก่อนทำไมข้าถึงได้ไม่รู้สึกเ้ารักเงินขนาดนี้? เ้าดูเ้าในตอนนี้สิ ยังอายุเท่าเมล็ดถั่ว ก็เอาแต่คิดว่าจะหาเงินอย่างไรทั้งวัน”
สวี่ตี้ยกมือขึ้นมาโบกให้กับจางจ้าวฉือ “ผิดแล้วท่านแม่ ั้แ่ไหนแต่ไรข้าก็รักเงินขนาดนี้แหละขอรับ แต่ก่อนไม่ได้ชัดเจน นั่นก็เพราะว่าข้ายังไม่ได้เรียนจบจากมหาลัย พวกท่านไม่เห็นข้าทุ่มเทกับการเรียนหรือ? ข้าทุ่มเทกับการเรียนเพื่ออะไร? เพื่อจะได้เรียนรู้ความสามารถออกมา หลังจากเรียนจบแล้วก็หางานที่ได้เงินเดือนเยอะ เพียงแต่น่าเสียดาย เพิ่งจะคุยงานตำแหน่งหนึ่งก็มาที่นี่เสียแล้ว พวกท่านว่าข้าขาดทุนหรือไม่ หลายปีนั้นข้าลำบากแสนเข็ญกับการเรียนอย่างไรพวกท่านก็เห็นอยู่แล้ว”
สวี่ตี้พูดความรู้สึกในใจออกมาก็ยิ่งน้อยใจ ท่าทางน้อยใจเหมือนเด็กๆ นั้นทำเอาจางจ้าวฉือรู้สึกว่านี่หาได้ยากมากๆ นางเข้าไปบีบแก้มของสวี่ตี้อย่างหมั่นเขี้ยว จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าว “ฮ่าๆๆๆ ข้ามักจะคิดที่จะทำเื่หนึ่ง ข้าคิดอยู่นานมากก็ไม่มีเื่ไหนที่ทำสำเร็จเลย”
สวี่ตี้กุมแก้มของตนเอง บิดตัวไปจั๊กจี้จางจ้าวฉือ ซึ่งจางจ้าวฉือก็หัวเราะฮ่าๆ แล้วล้มลงไปบนตั่ง
สวี่เหรามองสองแม่ลูกเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะแล้วเอ่ย “เอาล่ะๆ ดึกแล้ว พวกเ้าเล่นกันเช่นนี้อีกเดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอา”
สวี่ตี้ถอนหายใจ นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ใช้มือเท้าคางตัวเองไว้ก่อนจะเอ่ย “ข้าหวังว่าข้าจะสามารถมีชีวิตในค่ำคืนที่มีสีสัน แต่ท่านดูตอนนี้สิ ตอนกลางคืนพอถึงเวลาแล้วก็ไม่สามารถออกไปเดินบนถนนได้ คนบางคนก็เพื่อประหยัดค่าน้ำมันตะเกียง ฟ้ามืดก็นอนแล้ว คิดถึงชีวิตเก่าก่อนพวกนั้นจริงๆ”
จางจ้าวฉือตอบ “ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้ดีจะตาย บำรุงร่างกาย นอนไวตื่นไว ร่างกายแข็งแรง”
สวี่ตี้คิดแล้วก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ สถานการณ์ของท่านในปีนี้เป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
สวี่เหราถอนหายใจ ก่อนจะตอบ “คนกลุ่มเล็กๆ พวกนั้นไม่ค่อยเท่าไหร่ กลับเป็พวกเป่ยตี้นั่น พูดได้ไม่เต็มปากจริงๆ ว่าเป็อย่างไร ได้ยินมาว่าร่างกายของฮ่องเต้เป่ยตี้ไม่ค่อยดี พวกองค์ชายหลายคนเพื่อแย่งชิงเอาตำแหน่ง แต่ละคนต่างแสดงความสามารถของตนเองออกมา กลัวว่าจะมีคนแสดงความสามารถแล้วมาหาเื่พวกเรา เว่ยซื่อจื่อได้ปรึกษากับทหารคุ้มกันที่ด่านหลายด่านทางนั้นแล้ว จะเพิ่มการลาดตระเวนให้มากขึ้น หากมีศัตรูมาก็จุดไฟส่งสัญญาณ ตอนนี้ก็มีแค่เงื่อนไขนี้แล้ว ไม่มีวิธีอื่นแล้ว"
สวี่ตี้เอ่ย “หวังจริงๆ ว่าครั้งนี้จะไม่มีคนมาลอบทำร้ายพวกเรานะขอรับ แต่ว่าข้ารู้สึกว่าข้ายังต้องทำผงพริกออกมาอีก หากจะต้องใช้จริงๆ ก็สามารถเป็อาวุธชีวภาพลับได้ใช่หรือไม่?”
จางจ้าวฉือครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ฤดูหนาวลมพัดมาจากทางเหนือ ถึงตอนนั้นอย่าใช้ผงพริกแล้วถูกลมพัดมาเข้าพวกเรานะ”
นี่เป็ฤดูหนาวครั้งที่สามแล้วที่ครอบครัวสวี่มาที่เหอซี ฤดูหนาวแรกมีคนของเป่ยตี้กลุ่มเล็กๆ มาโจมตีเขตเมืองที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากปล้นสะดมเสร็จก็หนีไป ฤดูหนาวปีที่แล้วไม่มีการเคลื่อนไหว ยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ ในใจของทุกคนก็เริ่มระวังตัว
สวี่เหราพาคนในสำนักงานเขตมาฝึกซ้อมกันหลายต่อหลายครั้ง หากมีคนของเป่ยตี้มาโจมตี ใครรับผิดชอบทำอะไร จะทำอย่างไร พวกเขาทำจนกระทั่งพาคนชาวบ้านไปฝึกซ้อมบนถนน
นี่เป็เื่ใหม่ ทุกคนในเขตเมืองต่างรู้สึกว่ามันแปลกใหม่จริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าการฝึกซ้อมเช่นนี้ หากคนเป่ยตี้มาจริงๆ ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์จริงๆ ก็ได้ จึงตั้งใจทำตามคำสั่งของผู้ปกครองสวี่
อาลักษณ์หลี่เคยอ่านแผนการฝึกซ้อมที่สวี่เหราเขียนมาก่อนก็รู้สึกว่ามันใช้ได้ ในนี้ไม่เพียงจะมีสมมุติฐานว่าหลังจากที่คนของเป่ยตี้มาแล้ว คนในสำนักงานจะจับกลุ่มกันไปสนับสนุนทหารคุ้มกันที่ด่านเยี่ยนเหมิน แล้วก็สมุติฐานว่า ถ้าหากด่านเยี่ยนเหมินถูกโจมตี คนในสำนักงานจะต้องทำอย่างไร รวมถึงจะจับกลุ่มปกป้องเมืองอย่างไร ใครรับผิดชอบส่งของปกป้องเมือง ใครรับผิดชอบให้พาประชาชนอพยพออกไป หากจะอพยพจะต้องไปทางไหน จะจับกลุ่มอย่างไร เขียนเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว
หลังจากผู้ช่วยเฉียนเห็นหนังสือวางแผน ตอนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร แค่แอบไปพูดกับคนอื่นๆ ว่าผู้ปกครองสวี่ของพวกเรานั้นสมองมีน้ำเข้าไปแล้วจริงๆ คนจากเป่ยตี้มาโจมตี ยังมีเวลาให้เ้าไปจัดการเื่พวกนี้หรือ อีกอย่าง เื่บนสนามรบเปลี่ยนไปได้หลายพันแบบในชั่วพริบตา เ้าจะสามารถรับประกันว่าการเคลื่อนไหวของคนเป่ยตี้จะเป็ไปตามแผนที่เขาเขียนเอาไว้หรือ?
ผู้ช่วยเฉียนไม่เพียงจะพูดกับคนข้างกายตนเอง ยังเขียนจดหมายเอาเื่นี้ไปบอกกับคนที่ตนเองเกาะใบบุญด้วย ดังนั้น สวี่เหราก็ได้รับการตำหนิว่าใช้งานประชาชนแล้วยังถลุงเงินอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้รู้ตัว
ที่พึ่งของผู้ช่วยเฉียนไม่เพียงแต่จะพูดความเห็นของตนเองกับลูกน้องเช่นนี้แล้ว ยังให้คนมาส่งเื่ร้องเรียน รอจนกระทั่งคนของทางเ้าเมืองก่านโจวไปแล้ว สวี่เหราก็นั่งอยู่ในสำนักงานอย่างเ็ป คิดว่าทำเื่หนึ่งด้วยความจริงใจนั้นยากจริงๆ ตนเองอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
หลังจากอาลักษณ์หลี่มาส่งคนที่ศาลานอกเมืองแล้วก็รีบกลับมา เห็นสีหน้าสลดของสวี่เหราจึงเข้าไปนั่งอยู่ด้านข้าง “ใต้เท้าสวี่ ข้าคิดว่าเื่ที่ท่านทำนั้นถูกต้องแล้ว พวกเราไม่ต้องไปฟังที่คนพวกนั้นพูด ควรทำเื่อะไรก็ทำไป พวกเราอยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน มีเื่อะไรเข้ามาพวกเราก็จะโดนก่อน เวลาปกติฝึกอบรมเข้าไปเยอะๆ พอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังช่วยชีวิตได้”