ถังสุ่ยมีคนป่วยอยู่ที่บ้าน อวิ๋นโส่วจงจึงไม่ได้รั้งเขาไว้กินข้าว หลังจากส่งถังสุ่ยที่ดูตื่นเต้นอย่างมากออกไปแล้ว ฟางซื่อก็เรียกทุกคนให้ล้างมือกินข้าว
เมื่อทุกคนนั่งที่โต๊ะอาหารกันพร้อมหน้า อวิ๋นโส่วจงก็เล่าเื่ที่ไปซื้อที่ดินให้ฟัง “...ดีก็ดีอยู่หรอก แต่ที่ดินชั้นดีสองร้อยหมู่ต้องใช้เงินสี่ถึงห้าพันตำลึง ตอนนี้พวกเรามีเงินมากมายเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า?”
ฟางซื่อถอนหายใจ ตอนนี้เงินในมือของพวกเขามีเพียงเงินที่เจียวเอ๋อร์ขายเครื่องประทินผิวบวกกับเงินเก็บสะสม คาดว่าน่าจะได้ประมาณพันกว่าตำลึงเท่านั้น ยังห่างจากสี่ถึงห้าพันตำลึงมากเกินไป!
“ถ้าซื้อได้สักยี่สิบถึงสามสิบหมู่ก็คงดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ยอมขายแยก”
อวิ๋นโส่วจงพูดต่อ “ก็นั่นน่ะสิ ผู้ใหญ่บ้านก็เคยไปถามมาแล้ว ตระกูลหวังรีบร้อนจะย้ายออกไป จึงขายที่ดินสองร้อยหมู่ในราคาสี่พันตำลึงเงิน บอกได้เลยว่าราคานี้ยุติธรรมและคุ้มค่ามาก แต่... เฮ้อ”
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ท่านไปหาผู้ใหญ่บ้าน บอกเขาไปเลยว่าที่ดินสองร้อยหมู่นั่น พวกเราจะซื้อเอง!” อวิ๋นเจียวกินลูกชิ้นที่อวิ๋นฉี่เยว่คีบมาให้ จากนั้นก็ซดน้ำแกงหนึ่งคำก่อนจะพูดกับบิดามารดาที่กำลังหนักใจ
อวิ๋นโส่วจงกับฟางซื่อหันมามองอวิ๋นเจียวพร้อมกัน แววตาตกตะลึงจนปิดไม่มิด นี่มันสี่ถึงห้าพันตำลึงเชียวนะ เจียวเอ๋อร์ถึงกับเอ่ยปากว่าจะซื้อเองงั้นหรือ
ฟางซื่อรีบพูดหว่านล้อม “เจียวเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเครื่องประทินผิวขายได้เงินเยอะ แต่เื่นี้มันเร่งรีบเกินไป แม่ไม่อยากให้เ้าเหนื่อย”
คิดดูแล้ว เจียวเอ๋อร์คงอยากจะทำเครื่องประทินผิวออกมาขายทีเดียวจำนวนมาก สี่พันตำลึงต้องขายเครื่องประทินผิวคุณภาพดีให้ได้ถึงสี่สิบกระปุก
เช่นนั้นเจียวเอ๋อร์จะต้องเหนื่อยขนาดไหนกัน แค่คิดฟางซื่อก็รู้สึกสงสารจับใจ
อวิ๋นโส่วจงก็พูดขึ้นบ้าง “ใช่แล้ว ต่อไปบ้านเราค่อยๆ ซื้อที่ดินทีละน้อยก็ได้ แม่ของเ้าพูดถูก เ้ายังเด็กนัก จะเหนื่อยมากเกินไปไม่ได้!”
อวิ๋นเจียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ไม่ใช่เครื่องประทินผิวหรอกเ้าค่ะ แต่เป็สบู่ผลึกแก้วต่างหาก!”
“สบู่ผลึกแก้วหรือ?” ฟางซื่อรู้อยู่แล้วว่าวันนี้อวิ๋นเจียวไปทำอะไรที่อำเภอ แต่สบู่ผลึกแก้วต่อให้จะดีเพียงใด ก็ไม่น่าจะขายได้ราคาแพงกว่าเครื่องประทินผิวกระมัง!
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “ใช่แล้วเ้าค่ะ สบู่ผลึกแก้ว! ทางร้านฝูหรงเซวียนให้ราคามาก้อนละห้าสิบตำลึงเงิน สี่พันตำลึง พวกเราแค่ทำสบู่ผลึกแก้วให้ได้แปดสิบก้อนก็พอแล้ว”
อวิ๋นฉี่ซานได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเป็ประกาย รีบพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าทำสบู่ผลึกแก้วได้ แล้วก็ไม่ยากลำบากเลยด้วย หากมีวัตถุดิบเพียงพอก็สามารถทำเสร็จได้ภายในวันเดียวขอรับ!”
เมื่อได้ยินอวิ๋นฉี่ซานบอกว่าเขาทำได้ อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อก็เริ่มลังเล อวิ๋นโส่วจงตัดสินใจในที่สุด “ตกลง ตราบใดที่เจียวเอ๋อร์ไม่เหนื่อย ก็เอาตามนี้! พรุ่งนี้เช้าพ่อจะไปหาผู้ใหญ่บ้าน ให้เขาช่วยพูดกับตระกูลหวัง ขอยืดเวลาให้พวกเราสักสองสามวัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นฉี่ซานไม่รู้สึกเลยว่าบิดามารดาไม่ยุติธรรม ที่กลัวแต่น้องสาวจะเหนื่อยแค่คนเดียว แต่ไม่เห็นจะกลัวว่าเขาเหนื่อยบ้างเลย ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกตื่นเต้นมาก ที่สามารถหาเงินได้หลายพันตำลึงให้กับครอบครัว เด็กหนุ่มรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง
แต่ในตอนนี้เอง อวิ๋นเจียวกลับพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ่ก่อนหน้านี้ข้าทำไว้เยอะแล้ว วันนี้ที่ไปอำเภอไม่ได้เอาไปทั้งหมด น่าจะเหลืออยู่ประมาณเจ็ดถึงแปดสิบก้อน พรุ่งนี้เช้าไปที่ร้านฝูหรงเซวียน ส่งสบู่ผลึกแก้วให้พวกเขา คาดว่าเงินที่พวกเราจะใช้ซื้อที่ดินก็น่าจะเพียงพอแล้วเ้าค่ะ”
“หา? เจียวเอ๋อร์ ที่แท้เ้าแอบทำสบู่ผลึกแก้วไว้มากมายเช่นนี้เชียวหรือ?” อวิ๋นฉี่ซานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขายังตั้งใจว่าอยากจะหาเงินให้ครอบครัวอยู่เลย
อวิ๋นฉี่เยว่เหลือบมองน้องชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เ้าฝึกฝนฝีมืองานช่างของเ้าไปเถิด ต่อไปโอกาสหาเงินให้ครอบครัวยังมีอีกเยอะ!”
อวิ๋นเจียวพูดเสริม “ใช่แล้วเ้าค่ะ พี่รอง ตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือฝึกฝนฝีมือให้เชี่ยวชาญ ข้ายังมีอะไรอีกมากมายที่อยากให้ท่านช่วยทำ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นฉี่ซานก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที เขามองอวิ๋นเจียวด้วยดวงตาเป็ประกาย “ตกลง เจียวเอ๋อร์วางใจเถิด พี่รองจะฝึกฝนฝีมือให้เชี่ยวชาญ หลังจากนี้หากเจียวเอ๋อร์้าสิ่งใดก็แค่เอ่ยปาก พี่รองจะหาวิธีทำให้เ้าให้ได้!”
อวิ๋นฉี่เยว่คีบหมูสามชั้นให้เขาหนึ่งชิ้นพร้อมกับเอ่ยชม “ต้องแบบนี้สิ ในบ้านเรา ข้ารับผิดชอบตั้งใจสอบเป็ขุนนาง ส่วนเ้าก็รับผิดชอบฝึกฝนฝีมืองานช่างให้เชี่ยวชาญ”
“ข้ารับผิดชอบหาเงินเองเ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวยกมือขึ้นพูดแทรกทันที
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มอย่างเอ็นดู “ได้สิ เื่หาเงินให้บ้านเราก็ยกให้เจียวเอ๋อร์แล้ว!”
อวิ๋นโส่วจงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “แล้วข้ากับท่านแม่ของพวกเ้าเล่า? หรือว่าในบ้านนี้เหลือแค่พวกเราสองคนที่ไร้ประโยชน์?”
อวิ๋นเจียวยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “ท่านพ่อกับท่านแม่ก็รีบๆ ให้กำเนิดน้องชายน้องสาวอีกสักคนสองคนมาให้พวกเราสิเ้าคะ!”
ฟางซื่อได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำ ส่วนอวิ๋นโส่วจงก็เอามือลูบจมูกอย่างเขินอาย
อวิ๋นฉี่ซานพูดแซว “ใช่ๆ ท่านพ่อท่านแม่ต้องให้กำเนิดน้องชายน้องสาวมาอีกสักคนสองคน” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ถ้าน้องสาวจะได้มีเพื่อนเล่นกับเจียวเอ๋อร์ทุกวัน ถ้าเป็น้องชาย อนาคตโตขึ้นก็จะมีคนคอยปกป้องเจียวเอ๋อร์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน!”
อวิ๋นโส่วจงแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม มองอวิ๋นฉี่ซานอย่างดุๆ “เื่นี้น่ะ ไม่ต้องให้พวกเ้าเป็ห่วง ข้ากับท่านแม่ของพวกเ้าจัดการเองได้!”
อวิ๋นฉี่ซานแลบลิ้นใส่อวิ๋นโส่วจง อวิ๋นโส่วจงแสร้งทำท่าจะเอาตะเกียบเคาะเขา ฟางซื่อจึงรีบเปลี่ยนเื่ “เื่ที่ดินก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเื่บ้านเล่า?”
“เื่บ้านก็ตกลงเรียบร้อยแล้ว ที่ดินผืนนั้นอยู่ติดถนนใหญ่พอดี ห่างจากบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าคนละทิศ หนึ่งอยู่ทิศตะวันออก อีกหนึ่งอยู่ทิศตะวันตก ห่างกันไกลพอสมควร แต่ก็ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”
“เป็ที่ดินแห้งแล้งชั้นเลวสิบหมู่ พื้นดินแข็งมาก ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก แต่เป็ทำเลทองในการสร้างบ้าน ทั้งหมดสามสิบตำลึงเงิน ข้าขอให้ผู้ใหญ่บ้านเป็คนกลางซื้อที่ดินผืนนั้นเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะไปโอนกรรมสิทธิ์ที่อำเภอ”
ฟางซื่อพยักหน้า “อืม เมื่อซื้อที่ดินได้แล้ว เื่สร้างบ้านก็ค่อยๆ วางแผนกันไป”
จากนั้นก็หันไปถามอวิ๋นเจียว “เจียวเอ๋อร์ แล้วของขวัญสองรถม้าที่ร้านฝูหรงเซวียนส่งมานั้น คือสิ่งใดหรือ?”
พอกลับถึงบ้านก็ยุ่งอยู่กับเื่ของถังสุ่ย จากนั้นทุกคนก็กินข้าว พูดคุยเื่ซื้อที่ดิน จนนางลืมเื่หีบสัมภาระที่กองอยู่ในลานบ้านไปเสียสนิท
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านลองเดาดูสิเ้าคะ ว่าเื้ัร้านฝูหรงเซวียนคือผู้ใด?”
ฟางซื่อกับอวิ๋นโส่วจงต่างส่ายหน้าอย่างสงสัย ส่วนอวิ๋นฉี่ซานก็รีบถามขึ้น “ใครหรือ? พวกเรารู้จักหรือไม่?”
อวิ๋นเจียวตอบยิ้มๆ “แน่นอนว่ารู้จัก ก็คือคนที่ท่านพ่อเคยช่วยชีวิตไว้วันนั้นไงเ้าคะ เ้าฉู่อี้ผู้นั้น!”
ฟางซื่ออุทาน “ที่แท้ก็เป็เขาเองหรือ!”
อวิ๋นฉี่เยว่ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนอวิ๋นโส่วจงก็มองข้าวของในลานบ้านด้วยแววตาครุ่นคิด ส่วนอวิ๋นฉี่ซานหัวเราะลั่นอย่างไม่คิดอะไรมาก “ที่แท้ก็เป็เขานี่เอง ช่างบังเอิญเสียจริง”
อวิ๋นเจียวพูดต่อ “ร้านฝูหรงเซวียน้าซื้อสูตรสบู่ผลึกแก้ว แต่ข้าไม่ยอมขาย บอกว่าจะกลับมาถามพวกท่านก่อน”
“ส่วนของที่เขาให้มา อาจจะเป็เพราะอยากสร้างสัมพันธ์อันดีกับพวกเรา เพื่อที่จะซื้อสูตรสบู่ผลึกแก้ว หรืออาจจะเป็การขอบคุณที่ท่านพ่อช่วยชีวิตเขาไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็ทั้งสองอย่าง”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าสูตรสบู่ผลึกแก้วขายให้พวกเขาก็ได้ จึงไม่ได้ปฏิเสธของขวัญที่เขาให้มา ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อก็ช่วยชีวิตเขาไว้ พวกเรารับของขวัญจากเขามาแล้ว ต่อไปเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกติดค้างบ้านพวกเราอีก”
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยถาม “เจียวเอ๋อร์เองก็คิดว่าตัดความสัมพันธ์กับเขาจะดีกว่าหรือ?”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “ข้าดูจากอำนาจและการแต่งกายของเขาแล้ว ไม่น่าจะเป็ลูกตระกูลพ่อค้าธรรมดา อีกอย่างยังมีคนคิดฆ่าเขาอีก... ซับซ้อนเกินไป ครอบครัวของพวกเราอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากเลยจะดีกว่าเ้าค่ะ ส่วนเื่ที่พวกเราขายของให้ร้านฝูหรงเซวียน นับว่าเป็การซื้อขายอย่างเปิดเผย ถือว่าไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วที่ขมวดมุ่นของอวิ๋นฉี่เยว่ก็คลายออกเล็กน้อย อวิ๋นโส่วจงเอ่ยชมด้วยความพอใจ “อืม เจียวเอ๋อร์พูดถูก รับของขวัญของเขามาแล้วก็ถือว่าหายกัน!”