ในที่สุดก็สนใจถามหาความผิดแล้วหรือ? ซูิเยว่ยิ้มในใจ นางยอมรับตามความจริง “เกิดเื่นั้นจริงๆ เพคะ”
หลันหลินคิดไม่ถึงว่าซูิเยว่จะยอมรับออกมาตรงๆ เช่นนี้ “เปิ่นกงยังได้ยินมาอีกว่าเ้าตบบุตรสาวของข้าหนึ่งที มีเื่นี้เกิดขึ้นจริงหรือ?”
“มีเื่นี้เกิดขึ้นจริงเพคะ” ซูิเยว่ยังคงยอมรับตามความจริง
สีหน้าของหลันหลินค่อยๆ แย่ขึ้นเรื่อยๆ มือที่วางทับกันอยู่ตรงหน้าท้องก็กำแน่นขึ้นมา แววตาจ้องซูิเยว่ด้วยสายตาดุดัน
ซูิเยว่ไม่ได้หวาดกลัวแล้วจ้องกลับไป
ทั้งสองจ้องกันอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หลันหลินก็โพล่งออกมาด้วยเสียงโกรธจัด “ซูิเยว่เ้ากล้าดีนัก แม้แต่องค์หญิงก็กล้าตบหรือ? ราชวงศ์ยังมีอำนาจอยู่ในสายตาเ้าหรือไม่?”
ซูิเยว่มองหลันหลินที่ในที่สุดก็ะเิอารมณ์ออกมาอย่างทนไม่ไหว ในใจก็รู้สึกเหมือนตัวตลกโดดเสาที่น่าขัน เมื่อครู่นางยังคิดว่าหลันหลินคนนี้เป็คนที่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่พอได้ยินว่านางไม่ได้บอกเื่นี้กับหลินโม่ ดูเหมือนจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว?
สีหน้าของซูิเยว่เองก็เคร่งขรึมขึ้นมา ไม่ยอมอ่อนข้อแต่ก็ไม่ได้แข็งข้อจนเกินไป นางพูดเสียงดังขึ้นมา “เช่นนั้นหลันจาวอี้จะไม่ถามถึงที่มาหน่อยหรือเพคะ?”
“ที่มา? เปิ่นกงจะ้าที่มาไปทำไม?”
หลันหลินเหมือนกับได้ยินเื่ตลกจึงหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก “เปิ่นกงเป็ราชวงศ์ สีเอ๋อร์เป็องค์หญิง เื่ที่เ้าตบนางก็ต้องอยู่ในการลงโทษของราชวงศ์ ยังจำเป็ต้องมีเหตุผลหรือที่มาด้วยหรือ?”
ซูิเยว่ฟังจบแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เลิกคิ้วขึ้น มองหลินหลันผู้ที่อยู่สูงกว่าพร้อมคำถาม “เช่นนั้นความหมายที่หลันจาวอี้จะบอกก็คือ คนของราชวงศ์สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ สามารถทำเื่ที่ผิดกฎหมายได้ตามใจชอบ? คนของราชวงศ์สามารถเพิกเฉยต่อสิทธิประชาชนได้โดยไม่ถามไถ่ความเห็นจากพวกเขาหรือ?”
คำถามมากมายเป็ชุดของนางทำเอาหลันจาวอี้ถึงกับเงียบไป
หากหลันหลินยอมรับและคำพูดนี้ไปถึงหูฮ่องเต้ เช่นนั้นนางก็แย่แน่ แต่หากนางปฏิเสธ เช่นนั้นก็เป็การยอมรับว่าตัวนางกำลังใช้อำนาจมากดผู้อื่น
“เ้า....” หลันหลินสะอึกไป ตอนนั้นนางเบิกตากว้างมองซูิเยว่ด้วยความโกรธ “นางคนชั้นต่ำปากดี”
“หรือว่าจาวอี้ไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้กัน?”
สีหน้าของซูิเยว่เองก็เ็าขึ้นมาอีกหลายระดับ มารดาเป็แบบไหนก็จะเลี้ยงลูกให้ออกมาเป็แบบนั้นจริงๆ ถึงว่าองค์หญิงสีถึงได้เอาแต่ใจแบบไม่มีเหตุผล แถมยังก้าวร้าวแบบนี้
“ตอนนี้เปิ่นกงกำลังพูดกับเ้าเื่ที่เ้าไปตบองค์หญิงเมื่อวาน” หลันหลินพูดอย่างเกลียดชัง “ซูิเยว่ อำนาจของราชวงศ์เป็สิ่งที่เ้าพูดออกมาได้ตามใจชอบหรือ”
ซูิเยว่ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด นางพูดกลับไปเสียงหนักแน่น “แต่เื่เมื่อวานหม่อมฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ”
“ซูิเยว่ เ้ากล้ามากจริงๆ คุกเข่าให้เปิ่นกงซะ!”
หลันหลินตวาดเสียงดุ ด้านนอกม่านก็มีสาวใช้หลายคนเข้ามา
ซูิเยว่นั่งเฉยๆ ไม่ขยับ สีหน้าใสซื่อ นางมองคนฐานะสูงศักดิ์ตรงๆ โดยไม่มีความหวาดกลัว “หากหลันจาวอี้เรียกหม่อมเข้าวังมาเพียงเพื่อ้าจะลงโทษเื่เมื่อวาน ความผิดนี้ หม่อมฉันไม่รับเพคะ”
หลันหลินโกรธจัด แม้แต่เล็บจากมือทั้งสองข้างก็จิกเข้าไปในเนื้ออย่างแรง ข้อมือขึ้นข้อขาวเพราะออกแรงเยอะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง
“เปิ่นกงจะพูดอีกครั้ง คุกเข่า!”
ซูิเยว่สู้นางกลับหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังยั่วโมโหนาง ความโกรธนี้นางไม่มีทางทนได้
แต่ซูิเยว่ก็ยังคงไม่ขยับ “หม่อมฉันบอกไปแล้วเพคะ หากหลันจาวอี้ยังรั้น้าจะเอาผิดหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ยอมรับ”
หลันหลินตอนนั้นโกรธจนมือสั่น ดวงตาแดงก่ำ “ใครก็ได้เข้ามาที จับนางให้คุกเข่าลงแล้วตบปาก”
“เพคะ” สาวใช้สองคนที่คอยดูแลอยู่ด้านข้างก็รีบเข้ามาจับแขนซ้ายขวาของซูิเยว่กดนางลงพื้น
ดวงตาซูิเยว่มั่นคง สีหน้าเย็นเยียบขึ้นมาในชั่วพริบตา แววตาประกายจิตสังหารออกมา นางยืนขึ้น แค่สะบัดมือนิดเดียวก็หลุดออกจากการจับกุมของสาวใช้ทั้งสอง
สาวใช้ทั้งสองคนก็เข้ามาหาอีกครั้งหมายจะเข้าไปจับซูิเยว่ แต่ก็ถูกนางสะบัดออกเหมือนเดิม
ทั้งสองฝ่ายยื้อยุดไม่มีใครยอมใคร ตอนที่เห็นว่าสถานการณ์ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นหน้าประตูก็มีเสียงเย็นเยียบดังมา “หยุด”
เสียงเย็นเยียบของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นในตำหนัก การเคลื่อนไหวของทุกคนก็ต่างหยุดชะงักเพราะเสียงแฝงไปด้วยอำนาจของสตรีผู้นั้น
สีหน้าของหลันหลินที่อยู่ที่สูงก็เปลี่ยนไปย่ำแย่ทันที ซูิเยว่หันไปมองด้านนอก
ม่านที่อยู่ตรงกลางตำหนักถูกเปิดออก ฮองเฮาเวินเยว่สวมชุดสีเหลืองพระจันทร์ บนหัวสวมกวานรูปเฟิ่ง ด้านหลังพานางกำนัลหลายคนเดินเข้ามา
นางยืนตัวตรงท่าทางสง่างาม มือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่ตรงหน้าท้อง ดวงตามองตรง บนตัวแผ่กลิ่นอายที่คนธรรมดาไม่มี กลิ่นอายของมารดาของแคว้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถเทียบได้เลยจริงๆ
บิดามารดาของเวินเยว่ฮองเฮาเป็ราชครูของรัชกาลนี้ สกุลเวินเองก็ถือว่าเป็ตระกูลเก่าแก่หลายชั่วคน ดังนั้นเวินเยว่จึงถูกหมั้นหมายกับราชวงศ์ั้แ่เด็ก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ตรัสอย่างชัดเจนว่า ต่อไปไม่ว่าฮ่องเต้คนไหนจะมานั่งตำแหน่ง ฮองเฮาในอนาคตจะต้องเป็เวินเยว่เท่านั้น
ดังนั้นพูดกันจากผลประโยชน์แล้ว การที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรับสั่งเช่นนี้ก็ถือว่าเป็เกียรติอันสูงสุดของสกุลเวินแล้ว แต่พูดกันในอีกทางหนึ่ง เกียรติยศนี้สำหรับเวินเยว่แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนที่มัดมือมัดเท้า
เมื่อชาติก่อนตอนที่ซูิเยว่อยู่ในวังก็ได้พูดคุยกับฮองเฮาบ่อยพอสมควร แม้จะไม่ถึงกับสนิท แต่ความประทับใจต่ออีกฝ่ายก็ถือว่าดีมาก
บุตรของฮองเฮาเวินเยว่มีแค่องค์หญิงพระองค์เดียว ดังนั้นปกติแล้วนิสัยจึงถือว่าอ่อนโยน ั้แ่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้แย่งอำนาจ
ซูิเยว่ได้สติกลับมาก่อน นางจึงเดินไปด้านหน้าสองก้าวแล้วคุกเข่าลง “หม่อมฉันซูิเยว่ถวายบังคมเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงพระเจริญพันปี”
เวินเยว่มองนางนิ่งแล้วพูดเสียงอบอุ่น “อย่าพิธีรีตองเลย ลุกขึ้นมาเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง”
เมื่อครู่หลันหลินให้ซูิเยว่คุกเข่า นางก็ไม่ยอม แต่ในวินาทีนี้กลับเข้าไปคุกเข่าให้เสียเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำนี้กำลังตบหน้าหลันหลิน สีหน้าของหลันหลินจึงย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเ้าของวังหลัง นางก็เป็แค่สนม
หลันหลินกำหมัดแน่นไม่พอใจ แววตาฉายความเกลียดชังออกมาวูบหนึ่ง ต่อมานางก็ฝืนแย้มยิ้มแล้วเดินลงจากแท่นมาตรงหน้าเวินเยว่ก่อนจะย่อตัวน้อยๆ “หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ”
“อืม” เวินเยว่ตอบรับเสียงเย็น ไม่แม้แต่ชายตาไปมอง
นางพูดไปแล้วก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง ดวงตากวาดมองใบหน้าหลายคนในตำหนัก “นั่งเถิด อย่ายืนกันหมดเลย”
พอฮองเฮามา คนของหลันหลินก็ไม่กล้าที่จะลงมือกับซูิเยว่อีก
หลันหลินรู้สึกขายหน้า แต่นางทำได้แค่อดทน “ไม่ทราบว่าที่จู่ๆ ฮองเฮามาตำหนักจิ่นเหอของหม่อมฉัน มีเื่อะไรหรือเพคะ?”
เวินเยว่ตอบเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าหลันจาวอี้เชิญคุณหนูซูเข้าวัง ข้าเองก็ไม่ได้เจอคุณหนูซูมานานมากพอดีจึงอยากจะมาหาสักหน่อย”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา สีหน้าของหลันหลินก็ยิ่งแข็งค้าง
ส่วนซูิเยว่พอได้ยินประโยคนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตามองไปทางเวินเยว่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างพิจารณา สีหน้าของเวินเยว่นิ่งมาก จากสีหน้าบนใบหน้าอย่างเดียวกลับมองอะไรไม่ออก ราวกับว่ามันเป็ไปอย่างที่นางพูดมาเช่นนั้น