ตูม—
วินาทีต่อมาทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
เดิมทีท้องฟ้าแจ่มใสลมพัดเอื่อยๆ
ทันใดนั้นเมฆมืดรวมตัวสายฟ้าแลบแปลบปลาบและฟ้าร้องคำรามขยายออกไปในพริบตาไม่รู้กี่หมื่นลี้
จากนั้นแรงกดดันจาก์อันไร้ขอบเขตพวยพุ่งลงมาทุกหนแห่งที่มันปกคลุมสิ่งมีชีวิตทั้งปวงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ภาพนี้ไม่ต่างจากการมาถึงของวันสิ้นโลก
แม้แต่สมาชิกตระกูลซูรวมถึงเย่ชิงหยุนและฉือเหรินที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว
ท้ายที่สุดภายใต้อำนาจ์ทุกสิ่งเปรียบดั่งมด
แต่ในวินาทีต่อมามืออันขาวผ่องค่อยๆยกขึ้น
จากนั้นสายฟ้าอันกว้างใหญ่ราวนกนางแอ่นหวนคืนรวมตัวเข้าสู่มือนั้นในทันที
มันแปลงเป็ของเหลวสีม่วงเข้มเจิดจ้าหมุนวนด้วยสายฟ้าไร้สิ้นสุด
พลังที่มันปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวเกินไปแม้แต่ฉือเหรินยังรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่าว่าแต่ผู้อื่นที่เกือบคุกเข่าลง
มีเพียงดวงตาของซูโหรวที่เปล่งประกายเจิดจ้าเธอรู้สึกถึงความโหยหาจากภายในร่างราวกับว่าหากกลืนของเหลวหยดนี้ลงไปนางจะสามารถทะยานสู่์ได้
อันที่จริงมันเป็เช่นนั้นจริงๆ
สายฟ้าไร้สิ้นสุดที่ซูเซวียนเรียกมาด้วยกฎราชันะและพลังสายฟ้าที่สกัดจากมันนั้นบริสุทธิ์ถึงขีดสุด
อาจกล่าวได้ว่าหากซูโหรวหลอมรวมของเหลวที่แปลงจากพลังสายฟ้านี้ได้นางจะปลุกร่างศักดิ์สิทธิ์ควบคุมสายฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ผู้อื่นจะปลุกได้สำเร็จในภายหลังก็ยังไม่อาจเทียบกับนางได้
ท้ายที่สุดผู้ที่มาทีหลังจะไม่มีราชันะอย่างซูเซวียนสกัดพลังสายฟ้าที่บริสุทธิ์เช่นนี้ให้
โดยไม่ลังเลซูเซวียนดีดนิ้วและของเหลวสายฟ้าหยดนี้พุ่งเข้าสู่จุดกึ่งกลางหน้าผากของซูโหรวทันทีซึ่งมันถูกดูดซับเข้าไปโดยตรง
ในพริบตาซูโหรวรู้สึกว่าร่างทั้งร่างสั่นะเืััได้ถึงความรู้สึกดังก้องราวกับการสร้างฟ้าดิน
นางรู้สึกได้ว่าหลังจากของเหลวสายฟ้านี้เข้าสู่ร่างมันแปลงเป็น้ำตกสายฟ้าในทันที
เริ่มจากจุดที่หน้าผากมันไหลลงตรงไปกระทบทุกนิ้วของเนื้อทุกกระดูกและอื่นๆ
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจจินตนาการได้เริ่มต้นขึ้นในขณะนั้น
ภายนอกในสายตาของสมาชิกตระกูลซูพวกเขาเห็นซูโหรวลอยขึ้นจากพื้น
ผมสีม่วงของนางพลิ้วไหวร่างทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าไร้สิ้นสุดกลายเป็ก้อนสายฟ้า
พลังแห่งการทำลายล้างพวยพุ่งราวมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ราวกับจะกำจัดทุกสิ่ง
ภาพนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งหากมันแพร่กระจายออกไปอย่างเต็มที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดรอดชีวิตได้ในระยะอย่างน้อยหมื่นลี้ทุกสิ่งจะถูกทำลายราบ
เมื่อเห็นดังนั้นความคิดของซูเซวียนขยับและซูโหรวแปลงเป็แสงเส้นหนึ่งลงสู่จักรวาลในฝ่ามือของเขา
ภาพนี้สมาชิกตระกูลซูก็ได้เห็นเช่นกัน
พวกเขามองไปโดยสัญชาตญาณและเห็นซูโหรวที่หดตัวลงนับครั้งไม่ถ้วนนั่งขัดสมาธิในฝ่ามือของซูเซวียน
จากนั้นสายฟ้านับไม่ถ้วนและพลังที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาและแม้ผ่านสิ่งกีดขวางนับไม่ถ้วนทุกคนก็รู้สึกหนังศีรษะชา
หากมันกระทบพวกเขาต่อให้มีร้อยชีวิตก็ไม่พอให้ตาย
ในทางตรงกันข้ามสีหน้าของซูเซวียนสงบนิ่งราวกับมันเป็เพียงฝุ่นละอองตกลงในฝ่ามือของเขา
ทุกคนต้องประหลาดใจในความลึกล้ำของประมุขตระกูล
เย่ชิงหยุนก็พูดไม่ออกบ้างตามคาดของผู้มีพลังระดับจักรพรรดิ ร่างศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยปลุกได้ในประวัติศาสตร์เป็เพียงเื่ง่ายสำหรับเขา
ในบรรดาผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงฉือเหรินที่รู้ว่าในสายตาของซูเซวียนนี่ไม่นับเป็เื่เลยเขาสามารถแก้ไขได้ด้วยความคิดเดียว
และเมื่อเห็นปัญหาของซูโหรวได้รับการแก้ไขในที่สุดสมาชิกตระกูลซูโดยเฉพาะซูเซียวและคนอื่นๆก็วางก้อนหินในใจลงอย่างสมบูรณ์
ขณะที่พวกเขากำลังจะกล่าวลาและจากไปพวกเขาถูกซูเซวียนหยุดไว้
“สามผู้าุโนี่คือน้ำแห่งความสุขและบะหมี่กรอบ อันแรกสามารถเพิ่มอายุขัยพันปีและควรแจกจ่ายให้ผู้ที่ถึงจุดดับของชีวิตในตระกูล”
“ส่วนอันหลังเมื่อกินแล้วจะสามารถยกระดับการบ่มเพาะสู่ขอบเขตตำหนักม่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบในทันที…”
เมื่อซูเซวียนหยิบน้ำแห่งความสุขและบะหมี่กรอบออกมาและแนะนำผลของมันไม่มีข้อสงสัยว่าสมาชิกตระกูลซูตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
์
นี่คือโอสถิญญาที่ท้าทาย์แบบใดแต่เหตุใดรูปลักษณ์มันถึงแปลกประหลาดเช่นนี้
ประมุขตระกูลแข็งแกร่งเกินไปเขาได้โอสถที่ท้าทาย์เช่นนี้และมอบให้พวกเขาโดยตรงช่างน่าประทับใจ
และเมื่อเห็นกลุ่มชายชราแสดงความ ‘รักใคร่’ ซูเซวียนรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอาหารทั้งหมดที่กินในชาติก่อนและโบกมือให้พวกเขาจากไปทันที
จากนั้นด้วยความคิดกระป๋องน้ำแห่งความสุขที่เขาทิ้งไว้ปรากฏต่อหน้าฉือเหรินที่ซ่อนอยู่ในความมืด
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงยิ่งของฉือเหรินเสียงสงบของซูเซวียนดังขึ้น “ทำบางอย่างให้ข้านี่คือรางวัลล่วงหน้าสำหรับเ้า”
ฉือเหรินเก็บมันไว้โดยไม่ลังเลแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งสีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือและคลั่งไคล้กล่าวว่า “โปรดสั่งการประมุขตระกูล”
เปลือกตาของเย่ชิงหยุนกระตุกเล็กน้อยข้างๆนี่คือความเร็วในการเปลี่ยนหน้าของเผ่าพันธุ์เทพหรือข้าชอบข้าชอบ
ซูเซวียนชินกับการเปลี่ยนสีหน้าของฉือเหรินแล้วกล่าวอย่างสงบ:
“ไปหาวัตถุหยินสุดขั้วและเย็นสุดขั้วในโลกนี้และนำมันกลับมาให้ข้า”
เหตุผลที่เขา้าวัตถุหยินสุดขั้วและเย็นสุดขั้วย่อมเพื่ออัจฉริยะในตระกูลอีกคนแม้ว่าอีกฝ่ายยังมาไม่ถึงแต่เขามองเห็นปัญหาของพวกเขาแล้ว
ดังนั้นเขาจะเตรียมการล่วงหน้า
“เข้าใจแล้วประมุขตระกูล”
ฉือเหรินคารวะอย่างนอบน้อมแต่ขณะที่เขากำลังจะจากไปเสียงของซูเซวียนดังขึ้นอีกครั้ง:
“เผื่อไว้หากเ้านำมันกลับมาไม่ได้หรือเผชิญวิกฤตให้ใช้สิ่งนี้”
เมื่อคำพูดจบลงแผ่นไม้เล็กๆเรียบๆตกลงในมือของฉือเหรินมีอักษรสองตัว ‘ซูเซวียน’ แกะสลักอย่างลวกๆ
มันดูเหมือนถูกเก็บมาจากกองขยะ
แต่ฉือเหรินปฏิบัติต่อมันราวสมบัติ
นี่คือยันต์ช่วยชีวิตที่มอบโดยผู้มีพลังเกินระดับจักรพรรดิใน่เวลาวิกฤตมันสามารถช่วยชีวิตเขาได้
แม้ว่าฉือเหรินจะใกล้ถึงกึ่งจักรพรรดิอย่างไม่มีขอบเขตแต่เขาไม่หยิ่งผยองถึงขนาดเชื่อว่าเขาสามารถเพิกเฉยต่อทุกคนในโลก
ยุคนี้ด้อยกว่าสมัยที่เขาเคยอยู่อย่างแท้จริงแต่ก็ยังมีกึ่งจักรพรรดิและจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย
ยิ่งกว่านั้นั้แ่โบราณจนถึงปัจจุบันใครจะรู้ว่ามีอาวุธระดับจักรพรรดิถูกส่งต่อมามากเพียงใดดังนั้นการระวังตัวจึงเป็สิ่งที่ถูกต้องเสมอ
ต่อมา
ฉือเหรินเก็บแผ่นไม้เล็กๆไว้อย่างระมัดระวังคารวะซูเซวียนอย่างนอบน้อมอีกครั้งและวินาทีต่อมาเขาฉีกมิติหายไปไร้ร่องรอย
และเย่ชิงหยุนมองไปในทิศที่ฉือเหรินจากไปด้วยความอิจฉาในสีหน้า
เขาก็อยากทำสิ่งต่างๆให้ประมุขตระกูลมากขึ้นเพื่อจะได้รับรางวัลมากมายโดยเฉพาะน้ำแห่งความสุขยิ่งมากยิ่งดี
แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในวัยหนุ่มห่างไกลจากจุดสิ้นสุดของอายุขัยแต่ใครจะบ่นเื่การมีอายุยืนยาวขึ้น
“ดูเหมือนข้าต้องบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็งมิฉะนั้นในอนาคตเมื่อประมุขตระกูลมีผู้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆจะไม่มีที่ให้ข้าทำสิ่งใดแล้ว…”
ผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างซูเซวียนจะมีผู้แข็งแกร่งภายใต้เพียงหนึ่งหรือสองคนได้อย่างไรคาดเดาได้ว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หากเขายังคงเกียจคร้านและเฉื่อยชาต่อไปเขาอาจไม่มีข้อได้เปรียบใดเหลือนอกจากการเป็ ‘ผู้าุโ’ ในตอนนั้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้เย่ชิงหยุนรู้สึกถึงความเร่งด่วนทันทีและเข้าสู่รอยแยกมิติเพื่อเริ่มบ่มเพาะ
เขาตั้งเป้าหมายเล็กๆให้ตัวเอง: ถึงขอบเขตนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ก่อน!