หลังส่งหลัวจิ่งจากไปแล้ว ใบหน้าเจินจูยังร้อนอยู่เล็กน้อย
ผิงอันมองนางอย่างกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ท่านพี่ ท่านจะแต่งงานกับพี่ชายยู่เซิงไหม?”
เจินจูตกตะลึง เ้าเด็กนี่ได้ยินอะไรเมื่อสักครู่ใช่หรือไม่ ทันใดนั้นแก้มของนางกลับแดงขึ้นมาอีก
นางลืมไปได้อย่างไรนะ ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ย่อมมีหูตาว่องไวเฉียบคมสิ
“…แค่ก อืม… ผิงอัน เช่นนั้นเ้าคิดว่าพี่แต่งกับเขาดีหรือไม่ล่ะ?”
ดวงตาผิงอันเป็ประกายวาบขึ้นทันที เขาพยักหน้าติดๆ กัน “แน่นอนว่าต้องดีสิ หากท่านแต่งกับพี่ชายยู่เซิง เช่นนั้นเขาก็จะเป็พี่เขยของข้า ว้าว... พวกเราจะกลายเป็คนในครอบครัวเดียวกันจริงๆ แล้ว”
โอ้ เขาดีเพียงนี้เลยหรือ? เจินจูมองผิงอันที่ดีใจจนมุมปากแทบฉีกไปถึงใบหู อดเบะปากไม่ได้
“เขามีอะไรดีกัน เ้าถึงได้ชื่นชอบเขาเพียงนี้?”
“ท่านพี่” ผิงอันหน่ายใจทำท่าไม่อยากจะกล่าวด้วย เขาจ้องนางอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ชายยู่เซิงน่ะ แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้ว เมื่อก่อนตอนข้าเพิ่งรู้ตัวอักษร มือเงอะงะยิ่งนัก เขียนตัวอักษรบิดเบี้ยวล้วนเป็พี่ชายยู่เซิงสอนข้าตัวต่อตัวทั้งสิ้น อีกอย่างตอนนั้นครอบครัวเรายากจน กระดาษที่ซื้อให้เขา เขาเสียดายเกินกว่าจะใช้ จึงให้ข้าเอามาคัดตัวอักษรทั้งหมดเลย พอท่านกับท่านพ่อเข้าเมืองอยู่บ่อยๆ ท่านแม่ก็ยุ่งอยู่กับงานในบ้าน ล้วนเป็เขาที่ช่วยข้าเลี้ยงกระต่าย ปัดกวาดกระท่อมกระต่ายและพูดคุยกับข้าด้วยนะ”
“ตอนหลังเมื่อขาของเขาหายแล้ว และเพิ่งเริ่มฝึกวิชาการต่อสู้กัน ความรู้พื้นฐานอย่างการออกหมัด การฟันดาบ การขี่ม้ายิงธนูของข้ากับพี่ชายผิงซุ่นก็เป็เขาที่ช่วยปรับแก้ให้ถูกต้อง ส่วนวิชาของฟูจื่อที่มีหลักการและการวางตัวมากมาย เขาก็สอนพวกข้าหลายสิ่งหลายอย่าง ในขณะที่เขาพยายามฝึกการต่อสู้อย่างสุดกำลัง ยังตั้งใจเจียดเวลาออกมาสั่งสอนพวกข้าโดยเฉพาะอีกด้วย”
นี่ไม่ใช่เื่ปกติมากเลยหรือ ทำไมเกิดขึ้นกับผิงอันแล้วถึงได้เปลี่ยนไปเป็ข้อดีทั้งหมดได้ อืม... เช่นนี้เป็เื่ธรรมดาสำหรับนางเกินไปงั้นหรือ?
เจินจูกังขาอยู่ในใจเงียบๆ
“ท่านพี่ พี่ชายยู่เซิงดีกับครอบครัวเราเพียงนี้ ท่านยังถามอีกหรือว่าเขาดีตรงไหน?” ผิงอันร้องหาความยุติธรรมขึ้นอีกครั้ง
“…เขา ดีกับครอบครัวของเรามากเช่นนั้นเลยหรือ?” ทำไมนางถึงไม่รู้สึกเลยนะ
ผิงอันเริ่มโมโห “ครั้งก่อนที่พวกเราเจอเข้ากับการจู่โจม หากไม่ใช่เพราะพี่ชายยู่เซิงกับท่านรองแม่ทัพของเขา ตอนนี้หญ้าบนเนินดินหลุมศพครอบครัวเราคงงอกขึ้นสูงแล้วกระมัง”
“แม้เมื่อก่อนพวกเราเคยช่วยชีวิตพี่ชายยู่เซิงไว้เช่นกัน แต่หนนี้เขาช่วยชีวิตพวกเราทั้งครอบครัวเลยนะ อีกอย่างเขายังมาเมืองหลวงเป็เพื่อนพวกเราตั้งไกลหลายพันลี้ด้วย ท่านยังไม่เห็นความดีของเขาอีก”
ผิงอันทำน้ำเสียงในทำนองว่า... มโนธรรมของนางเ็ปบ้างหรือไม่
“…”
เอาเถอะ เหมือนเขาจะกล่าวได้มีเหตุผลอยู่บ้าง เจินจูขาดความเชื่อมั่นลงไปเล็กน้อย เื่บางเื่เคยชินกับมันมากจนเกินไป ก็เลยรู้สึกว่าเป็เื่ธรรมดาที่ควรจะเป็อยู่แล้ว
แต่กล่าวขึ้นมาเช่นนี้ นางยังช่วยหลัวจิ่งอย่างใหญ่หลวงด้วยนะ องค์ไท่จื่อนั่นจบชีวิตลง ศัตรูตัวฉกาจของครอบครัวเขาก็นับว่าได้รับการแก้แค้นแล้ว การเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ไม่ได้มาเป็เพื่อนนางเปล่าๆ เสียหน่อย
ผิงอันไม่รู้มูลเหตุในระหว่างนี้ จึงถือว่าหลัวจิ่งแค่มาเป็เพื่อนพวกเขาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง
เจินจูคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจเล่าลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลของหลัวจิ่งให้เขาฟัง รอวันข้างหน้าเมื่อเขาไปสู่ขอถึงที่บ้าน เื่ราวที่ได้ประสบมากับภูมิหลังก็ต้องแจ้งให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบเช่นกัน
สองคนอยู่ในห้องครึ่งค่อนวัน จนเมื่อออกมาก็เป็เวลาใกล้เที่ยงแล้ว
หลังรับประทานอาหารกลางวัน เจินจูนึกถึงคำบอกกล่าวของหลัวจิ่งเมื่อตอนเช้าขึ้นได้ จึงหันไปทางเยว่อิง เอ่ยขอเข้าพบฮูหยินกั๋วกงขึ้น
เยว่อิงรีบกลับไปรายงาน ไม่นานก็ย้อนกลับมาและนำทางนางไปลานฮ่าวอู๋
เถาซื่อเพิ่งรับประทานอาหารกลางวันเสร็จก็กำลังเดินเล่นอยู่ภายในบ้าน อากาศข้างนอกหนาวเหน็บเกินไป ร่างกายของนางอ่อนแอ หากให้ออกไปเดินเล่นข้างนอกเกรงว่าจะหนาวจนมือไม้แข็งและเกิดอาการป่วยขึ้นได้ จึงทำได้เพียงเดินวนรอบอยู่ภายในบ้านเพื่อย่อยอาหาร
เจินจูเดินเข้ามาภายในห้องอันแสนอบอุ่นจากด้านนอกที่หนาวเย็น เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนสลับไปมา ช่างมีความรู้สึกเหมือนเดินจากห้องปรับอากาศไปยังนอกห้องเช่นในยุคปัจจุบันนัก แค่ที่นี่กลับทิศทางกันเท่านั้น
เมื่อทำความเคารพให้ฮูหยินกั๋วกงแล้ว หญิงรับใช้ก็ยกน้ำชามาให้ เจินจูจึงเอ่ยปากขึ้น
“ฮูหยินเ้าคะ ไม่กี่วันมานี้ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นของพวกท่าน พวกข้าพี่น้องต้องขอบคุณท่านอย่างยิ่งเลยเ้าค่ะ มะรืนนี้พอรุ่งสางพวกข้าจะออกเดินทางกลับบ้านแล้ว เลยตั้งใจมาแจ้งให้ท่านทราบสักหน่อยเ้าค่ะ”
“…เร็วเพียงนี้เลยหรือ?” เถาซื่อตกตะลึง พวกนางเพิ่งมาอยู่ในจวนได้ไม่กี่วันเองจะจากกันไปเสียแล้ว
เจินจูยิ้มบางๆ “ไม่เร็วนะเ้าคะ หากยังไม่ออกเดินทางอีก เกรงว่าจะกลับไปไม่ทันฉลองปีใหม่ที่บ้านแล้วเ้าค่ะ”
เถาซื่อมองนางที่กล่าวด้วยเสียงมีความสุขอย่างงดงาม อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “เฮ้อ อยากรั้งให้พวกเ้าอยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกันที่เมืองหลวงยิ่งนัก ในจวนพวกข้าเงียบเหงาเกินไป กว่าจะคึกคักขึ้นสักหน่อยได้ไม่ง่ายเลย นี่พวกเ้าก็จะไปเสียแล้ว”
“ในโลกหล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา มีวาสนาย่อมได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง ฮูหยินอย่าได้เสียใจไปเลยเ้าค่ะ รอปีหน้า่ดอกไม้แย้มบาน ข้าจะทำชาดอกไม้มากหน่อยแล้วส่งมาที่เมืองหลวงให้พี่สาวสกุลโหยวนำมาส่งให้ท่าน ท่านร่างกายแข็งแรงอยู่เย็นเป็สุขจึงจะเป็ข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มและตอบกลับ
เถาซื่อมีสีหน้ายินดีขึ้นทันที นางดื่มชาดอกไม้มาไม่กี่วัน เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย แม้แต่อาการนอนไม่หลับก็ราวกับปรับเปลี่ยนขึ้นมาดีขึ้น ทำเอานางมีความสุขจนแทบอยากกอดกระปุกชาดอกไม้ไว้ ไม่อยากปล่อยออกจากมือเลยทีเดียว
แต่นางก็มีความกลุ้มใจด้วยเช่นกัน ชาดอกไม้น้อยนิดนี้ ดื่มไปอีก่ระยะเวลาหนึ่งก็จะหมดแล้ว ถึงยามนั้นจะไปหาชาดอกไม้ที่มีสรรพคุณดีเพียงนี้ได้ที่ไหน
คำพูดของเจินจูจึงทำให้นางแย้มยิ้มเบิกบานใจขึ้นได้ คนที่ผ่านการเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมา ย่อมรู้จักเห็นคุณค่าสิ่งของทุกอย่างที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
“โธ่เอ๋ย เช่นนั้นต้องขอบใจแม่นางหูแล้ว ชาดอกไม้ของครอบครัวเ้าดีมากจริงๆ หลังดื่มลงไปแล้วจิตใจของข้าดีขึ้นเป็อย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นข้าไม่รบกวนให้เ้าส่งมาแล้วดีกว่า เ้าบอกที่อยู่มาข้าจะให้คนไปรับเป็อย่างไร?” เอ้อโจวห่างจากเมืองหลวงไกลเกินไป เถาซื่อกลัวว่าชาดอกไม้จะประสบกับปัญหาอะไรเข้าระหว่างทาง ไม่สู้ให้คนไปรับเสียเลยจะได้สบายใจขึ้นได้หน่อย
เจินจูเม้มปากและยิ้มขึ้น “ฮูหยินเ้าคะ ครอบครัวข้าล้วนส่งของไปให้พี่สาวสกุลโหยวทุกปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเสียหายเลย ท่านวางใจได้เ้าค่ะ”
เถาซื่อยิ้มใบหน้าเหยเก แต่ความคิดในใจนางกลับคิดอีกเื่ขึ้นได้ หากจวิ้นเอ่อร์้าได้รับความชื่นชอบจากหญิงงาม อาจต้องลำบากสักหน่อยแล้ว จากการคอยสังเกตของนางไม่กี่วันมานี้ ตอนที่แม่นางหูมองไปทางจวิ้นเอ่อร์ ั์ตาไม่มีความผิดปกติอะไรเลยสักนิด นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีเลย
“แม่นางหู อ่า... เรียกว่าแม่นางหูอยู่ตลอดช่างห่างเหินยิ่งนัก เรียกเ้าว่าเจินจูได้หรือไม่?” นางใช้รอยยิ้มแย้มที่อ่อนโยนที่สุด ถามออกไปอย่างนุ่มนวล
“ได้สิเ้าคะ ท่านเรียกข้าว่าเจินจูได้เลยเ้าค่ะ” ขอแค่นางไม่รังเกียจชื่อเฉิ่มเชยนี่ก็ดี เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ ตอนนางเพิ่งมาถึงโลกนี้ นางเองก็แอบแขวะชื่อ ‘เจินจู’ นี้ไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ใช้ไปใช้มาก็ชินไปเสียแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี เจินจู เ้าบอกที่อยู่ข้า ต่อไปหากมีโอกาสข้าจะให้ท่านกั๋วกงพาจวิ้นเอ่อร์ไปขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ของเ้าถึงบ้านด้วยตัวเอง ขอบคุณที่พวกเขาเลี้ยงดูลูกสาวลูกชายหนึ่งคู่ออกมาได้ดีเพียงนี้ ถึงได้ช่วยจวิ้นเอ่อร์ของข้ากลับมาได้” เถาซื่อกล่าวพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“…”
ถามที่อยู่ไม่จบไม่สิ้นเพียงนี้ ไม่ใช่กลัวว่านางจะไม่ส่งชาดอกไม้มาให้แล้วกระมัง? เจินจูแอบนินทาในใจ แต่นางก็ยังคงบอกที่อยู่ของที่บ้านให้แก่เถาซื่อ เพราะต่อให้นางไม่บอก เซียวฉิงก็สามารถสืบหาออกมาได้เช่นกัน ทำไมจะต้องทำเื่ที่เกินความจำเป็ด้วย
จนกระทั่งนางเดินจากไป เถาซื่อก็รีบใช้พู่กันจดที่อยู่ไว้ทันที
เยว่หลันคอยปรนนิบัติฝนหมึกอยู่ด้านข้างพลางถามขึ้นแ่เบา “ฮูหยินเ้าคะ ท่านจะให้นายท่านกั๋วกงพาคุณชายซื่อจื่อไปที่ห่างไกลเพียงนั้นจริงๆ หรือเ้าคะ?”
เถาซื่อชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง “เ้าจะไปเข้าใจอะไร ต้องถามที่อยู่ออกมาก่อนสิ ไม่ใช่บอกว่าหญ้าสงบจิติญญาชนิดนั้นหาได้ยากหรือ? เทือกเขาไท่หางกว้างขวางเพียงนั้น การหาวัตถุดิบสมุนไพรที่หาได้ยากมีน้อยนิด ต้องมีพื้นที่ขอบเขตให้แน่ชัด เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไปบ้านนางแล้วถามสักหน่อยว่านางขุดมาได้จากตรงไหน หลังจากนั้นก็ไปตามหาละแวกใกล้เคียง ไม่แน่ว่าอาจพบเจอและขุดมาได้ก็ได้นะ”
และหากในกรณีที่ลืมส่งชาดอกไม้มาให้นาง นางจะได้ส่งคนไปตามหาและให้ราคาสูงเพื่อซื้อกลับมาสักหน่อยก็ดีเช่นกัน
กล่าวขึ้นมาแล้วพี่น้องสกุลหูจะจากไปในวันมะรืนนี่ เถาซื่อคิดขึ้นได้ว่าของขวัญขอบคุณที่ต้องมอบให้พวกนางยังเตรียมไม่เรียบร้อยเลย
“เร็ว... ไปให้พ่อบ้านมาพบข้า”
...ที่พักฟางหวาภายในจวนองค์ชายสามปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดมาเป็เวลาสามวันแล้ว
หญิงรับใช้ข้างในกล่าวว่า เช่อเฟยต้องลมเย็นอย่างหนัก กลัวว่าอาการป่วยจะแพร่ออกไป จึงปิดประตูไว้เป็การชั่วคราวไม่กี่วัน
องค์ชายสามหานอี้รุดหน้ามาเคาะประตูด้วยตัวเอง เช่อเฟยหลัวเชี่ยนล้วนไม่ให้ผู้ใดเปิดประตูทั้งสิ้น เพียงขออภัยและยอมรับผิดผ่านประตูที่กั้นอยู่ บอกว่าหากทำให้องค์ชายสามติดไข้หวัดนี้ไปด้วยจะเป็ความผิดใหญ่หลวงมิอาจให้อภัยได้
หานอี้จนปัญญา หลายวันมานี้เป็เพราะเื่องค์ไท่จื่อถูกลอบสังหารสิ้นพระชนม์ สถานการณ์ในวังกับราชสำนักจึงวุ่นวายไม่เป็ระเบียบนิดหน่อย เขาไม่มีเวลามาสนใจหลัวเชี่ยนไปชั่วขณะเช่นกัน ทำได้เพียงจำใจล้มเลิกการพบหน้าไป
ประตูลานที่พักฟางหวาจึงปิดแน่นสนิทเช่นเดิม
บนเตียงปาปู้ [1] ไม้หนานมู่ลายสลักสีทอง หลัวเชี่ยนจนตรอกเสียจนเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน เส้นผมของนางยุ่งเหยิงบิดไปมาคล้ายเชือกป่าน เสื้อผ้ายับย่นจนกลายเป็ผ้าป่าน ผ้าฝ้ายที่มัดมือและเท้ามาตลอดถูกนางดึงทึ้งจนกลายสภาพเป็เส้นบิดม้วนไปมาั้แ่วันแรก
เพิ่งผ่านไปสามวัน ร่างกายที่เดิมทีอวบอิ่มมีน้ำมีนวลได้ผ่ายผอมลงไปจนอยู่ในสภาพเสื้อผ้าไม่พอดีกับตัวอย่างฉับไว
“…คุณหนู …คุณหนู …ท่านยังดีอยู่ใช่ไหมเ้าคะ?”
เมอเมอไป๋รีบร้องเรียกผู้เป็นายที่อยู่บนเตียงด้วยความร้อนใจ ขณะนี้ไม่บิดไปบิดมาอีกแล้ว
หลัวเชี่ยนหอบลมหายใจอย่างดุดัน จากแววตาเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก ในที่สุดก็จ้องไปที่ใดที่หนึ่งขึ้นได้ ความคันและชาตามร่างกายราวกับหายไปในชั่วพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงความเจ็บแสบของาแหลังผิวแตก
“…เมอ เมอ ปล่อยผ้าที่มัดให้ข้าที”
เสียงของนางหยาบแหบราวเม็ดทรายก้อนกรวดที่เสียดสีกันดังออกมา
“คุณหนู บนตัวท่านไม่คันแล้วหรือเ้าคะ?”
เมอเมอไป๋พุ่งขึ้นเตียงไปด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ เริ่มปลดผ้าฝ้ายออก
หลัวเชี่ยนยังคงหอบหายใจเฮือกใหญ่อยู่เช่นเดิม ความเ็ปทุกข์ทรมานสามวันมานี้ ทำให้นางแทบสูญสิ้นแรงกำลังและจิตใจทั้งหมดที่มีไป ความคิดมึนงงสับสนเล็กน้อย
“…ว้าย” เมอเมอไป๋ร้องเสียงหลงหนึ่งเสียง
นางชี้แขนของหลัวเชี่ยนอย่างสั่นเทา ที่บริเวณนั้นบวมแดงเป็ปื้น มีคราบเืเป็จ้ำๆ มากมาย
หลัวเชี่ยนหันศีรษะไปมองอย่างเฉื่อยชา ิัที่ขาวยิ่งกว่าหิมะกระจ่างใสเกินน้ำค้างที่นางเคยภาคภูมิใจ กลับกลายมาอยู่ในสภาพบวมแดง ท่าทางอัปลักษณ์เป็จุดกระจายเล็กๆ ไปทั่วทั้งผืน
นางกัดฟันดังกรอด ดวงตาปรากฏความโกรธแค้น เสียงหยาบกระด้างแหบพร่าเจือปนความโมโหอย่างรุนแรง “ไป... ตามหมอหลวงมา”
“…เ้าค่ะ คุณหนูที่น่าสงสารของข้า ต่อไปจะทำอย่างไรดีเ้าคะ?” เมอเมอไป๋ร้องไห้เอะอะโวยวายไปพลาง ปลดผืนผ้าฝ้ายที่เหลืออยู่อย่างทำอะไรไม่ถูกไปพลาง “…เหตุใดคุณชายสี่จิตใจโเี้เพียงนี้นะ คุณหนูที่แสนดีของข้าทำไมต้องมาถูกทรมานจนกลายเป็เช่นนี้ด้วย”
“…หุบปาก!”
ดวงตาหลัวเชี่ยนดำทะมึนเปี่ยมไปด้วยโทสะ ฟันถูกกัดเสียจนจวนจะมีเืไหลซึมออกมา กอปรกับรอยจุดเล็กๆ ทั่วใบหน้าของนาง ทำให้ท่าทางดูน่ากลัวและโหดร้ายยิ่งขึ้น
หลัวจิ่ง บัญชีแค้นนี้ข้าจะไปชำระกับเ้าโดยเร็ววันแน่
เมอเมอไป๋ขนเครื่องนอนใหม่เข้ามา เมื่อจัดการปูเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงวิ่งไปตามหมอหลวงอย่างรวดเร็วทันที
จนกระทั่งหมอหลวงมาถึง หลัวเชี่ยนยกแขนขึ้นมาตรงหน้าตัวเอง ผื่นบวมแดงที่น่าสะพรึงกลัวบนหลังมือได้จางไปแล้ว เหลือเพียงจุดแดงบางส่วน เนื่องจากการดิ้นรนเพราะความคัน ตุ่มแดงบนผิวจำนวนไม่น้อยจึงแตกและมีเืไหลออกมา
มือของนางสั่นระริก คลำบนใบหน้าตัวเองด้วยความระมัดระวัง ผื่นที่ผุดนูนขึ้นมาราวกับลดลงไปหมดแล้ว ดูท่าสภาพคงเหมือนกับบนแขน ที่เหลือจุดเล็กๆ กระจายไปทั่วจำนวนหนึ่ง
นางผ่อนลมหายใจ ยังดี... ขอแค่ใบหน้าไม่มีรอยิัพุพองที่แตกก็ยังสามารถเจอคนได้ มีเพียงรอยด่างเล็กๆ สีแดง เวลานานไปก็สามารถลดเลือนไปได้กระมัง
แต่อย่างน้อยระยะเวลานาน่หนึ่งนี้ ต้องไม่ให้องค์ชายสามยลโฉมของนางได้
นางควรรับมืออย่างไรดี
เชิงอรรถ
[1] เตียงปาปู้ คือ เตียงแบบจีนโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เตียงประกอบไปด้วยสองส่วน มองจากด้านนอกจะเป็เตียงขนาดใหญ่สี่เสา เมื่อเข้าไปด้านใน ส่วนของเตียงจะยกพื้นสูงอีกชั้นหนึ่งประมาณ 2 - 3 ฟุต เสาสี่ข้างล้อมรอบด้วยรั้วเตี้ยแกะสลัก บางเตียงอาจมีการสร้างหน้าต่างอยู่ด้านข้างเพื่อให้ดูเหมือนมีทางเดิน ตัวเตียงจะกลายเป็ห้องเล็กหนึ่งห้อง ด้านหน้าเตียงสามารถวางชุดโต๊ะและเก้าอี้ตัวเล็กไว้นั่งเล่นได้ด้วย