พี่ใหญ่ลู่ซาบซึ้งใจยิ่งนักที่น้องหญิงของเขาเหน็ดเหนื่อยกายใจเพื่องานมงคลของเขา ทั้งยังรู้สึกปวดใจกับเงินที่เสียไป จึงทำตัวยุ่งยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเด็กรับใช้นำข่าวไปบอกสกุลเฉินว่าสกุลลู่ไม่ให้เข้าบ้านไปวัดขนาดพื้นที่ก็พากันใไม่น้อย
แต่เมื่อฟังจนถึงตอนสุดท้ายถึงเข้าใจว่า ที่แท้สกุลลู่คิดจะสร้างเรือนสองชั้นหลังใหม่เพื่อต้อนรับบุตรสาวของพวกเขาแต่งเข้าตระกูล ก็ตื่นเต้นดีใจเป็ที่สุด
เถ้าแก่เฉินถึงกับเตรียมตัวไปขอบคุณถึงบ้านสกุลลู่ด้วยตัวเอง
เดิมทีทั้งสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่แล้ว ยามนี้ยังเป็ดองกัน แน่นอนว่ายิ่งสนิทสนมกันขึ้นไปอีก
เสี่ยวหมี่เข้าครัวทำกับข้าวหลายอย่าง บิดาลู่นั่งดื่มสุราเป็เพื่อนเถ้าแก่เฉิน
เถ้าแก่เฉินยามที่ยังหนุ่มก็เคยเรียนหนังสือมาบ้าง ทั้งยังออกเดินทางเห็นโลกกว้างไม่น้อย เขาจึงเป็คนที่รู้จักสนทนาพาที การจะทำให้บัณฑิตทึ่มทื่ออย่างบิดาลู่พอใจนั้นเป็เื่ง่ายดายอย่างยิ่ง
โต๊ะอาหารสกุลลู่ในวันนี้มีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย
บิดาลู่คออ่อน จึงถูกพี่ใหญ่ลู่ประคองไปเข้านอนเป็คนแรก
ลุงหยางเรียกซูอีให้ไปช่วยตักน้ำเตรียมรดนาข้าว ส่วนพี่รองลู่ไปเล่นเป็เพื่อนเสี่ยวเอ๋อที่เรือนหลัง
สุดท้ายบนโต๊ะอาหารจึงเหลืออยู่แค่พี่ใหญ่ลู่และเสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่รินสุราให้เถ้าแก่เฉินด้วยตนเอง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคารวะท่านลุงหนึ่งจอกเ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ได้รับคำชี้แนะจากท่านลุงมามาก วันหน้าเราเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ต้องลำบากท่านลุงให้ช่วยดูแลอีกมาก”
ท่านลุงเฉินรับจอกสุรามา มองเสี่ยวหมี่ แล้วจึงหันไปมองว่าที่ลูกเขย เขายิ้มอย่างเบิกบาน ตอบรับว่า “แน่นอนๆ ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ หากมีเื่อะไรที่ข้าสามารถช่วยได้ก็รีบเอ่ยปากบอกมาได้”
เสี่ยวหมี่จึงได้ที ยิ้มเอ่ยว่า “มีอยู่เื่หนึ่งจริงๆ เ้าค่ะ ท่านลุงเฉินอยู่ในเมืองรู้จักคนมากมาย เกรงว่าต้องลำบากท่านช่วยข้าสืบเื่หนึ่ง”
“เื่อันใด ว่ามาเถอะ”
ระแวดระวังสมกับเป็พ่อค้า เถ้าแก่เฉินไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เขาก็ยืดอกขึ้นมาเล็กน้อยเพราะคำชมของเสี่ยวหมี่
“ท่านลุงเฉิน ท่านเองก็รู้ ยามปกติข้าเป็คนที่อยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ แต่ที่นาตรงตีนเขาก็มีพื้นที่อยู่เท่านั้น ไม่เพียงพอจริงๆ ข้าจึงคิดจะซื้อพื้นที่ของเขาลูกเตี้ยๆ ที่ขนาบข้างหมู่บ้านเอาไว้เสียเลย เช่นนี้จะมีข้อดีอีกอย่างคือพื้นที่โดยรอบทั้งหมดจะเป็ของหมู่บ้านเขาหมี พวกเราจะจัดการดูแลก็ทำได้ง่ายขึ้น”
“จริงด้วย” เถ้าแก่เฉินตบมือฉาดใหญ่ เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นด้วย “ตอนนี้หมู่บ้านเขาหมีราวกับขุมสมบัติก็ไม่ปาน ถือเป็ความคิดที่ไม่เลวเลย ยามนี้ที่ทางบนูเายังถูกอยู่ ข้าคิดว่าคงไม่กี่ตำลึงหรอก เช่นนี้แล้วกัน ตอนบ่ายกลับไปแล้วข้าจะลองไปเลียบๆ เคียงๆ เอาจากพวกที่ทำงานในศาลาว่าการ วันพรุ่งนี้เช้าพวกเ้าพี่น้องไปหาข้าที่บ้าน ข้าจะพาพวกเ้าไปเขียนสัญญา”
เสี่ยวหมี่รีบเอ่ยขอบคุณ “เช่นนั้นก็ดียิ่ง ขอบคุณท่านลุง ข้าไม่เคยทำเื่ใหญ่โตอย่างเช่นการซื้อขายูเา ถึงตอนนั้นคงต้องรบกวนท่านช่วยตรวจสอบอีกแรงนะเ้าคะ”
“ครอบครัวเดียวกัน อย่าได้เกรงใจ”
คนทั้งสามสนทนากันอีกครู่หนึ่ง ยิ่งเมื่อได้ยินว่าสกุลลู่ถึงขั้นลงเงินสองร้อยตำลึงสร้างเรือนหลังใหม่ขึ้นมา รวมกับค่าแรงและเสบียงอาหารแล้วก็คงราวๆ ห้าร้อยตำลึง เถ้าแก่เฉินก็ยิ่งพออกพอใจ กินข้าวเสร็จแล้วก็กลับลงไปในเมือง
เจิ้งซื่อรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดสามีก็กลับมาเสียที แต่เถ้าแก่เฉินกลับรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปทันที
ไม่ว่าว่ายุคไหนสมัยไหน พวกกินเบี้ยหวัดเงินหลวงก็มักจะมีนิสัยชอบ ‘เช้าชามเ็าม’ เสมอ ตอนนี้เป็เวลาบ่ายแล้ว ดวงอาทิตย์ไม่ได้สว่างเจิดจ้าจนทนไม่ไหวเหมือนในฤดูร้อน ทั้งยังไม่มืดหม่นเหมือนในฤดูหนาว แสงแดดอบอุ่นกำลังพอดียิ่งทำให้คนรู้สึกเกียจคร้าน
ยามนี้พวกคนในศาลาว่าการต่างกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแค่พวกอาลักษณ์ที่กำลังขนสมุดบัญชีออกมาตากแดด บ้างก็นั่งเขียนอักษรเรื่อยเปื่อยอย่างเกียจคร้าน
ตอนที่เถ้าแก่เฉินเข้าไปนั้น ในมือถือของว่างไปด้วยสองถุง ยังมีไก่ย่างอีกสองตัว ก่อนจะเข้าไปทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้ม เขาพาอาลักษณ์คนหนึ่งที่ยามปกติสนิทสนมกันดีไปนั่งที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม เมื่อนั่งลงแล้วก็รินน้ำชา แบ่งไก่ย่างและของว่างให้เขา
อาลักษณ์คนนี้แซ่เฉิน เนื่องจากบรรพบุรุษเมื่อห้าร้อยปีก่อนเป็คนสกุลเดียวกัน ยามปกติจึงสนิทสนมกันเป็อย่างดี เขาหยอกล้อว่า “พี่ใหญ่เฉิน วันนี้เหตุใดถึงว่างมาหาข้าได้ หลานสาวไม่ใช่เพิ่งจะหมั้นหมายไปหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าควรจะต้องยุ่งอยู่กับการเตรียมสินเดิมให้หลานสาวหรืออย่างไร?”
เถ้าแก่เฉินโบกมือ พูดอย่างลำพองเล็กน้อย “ทางด้านฝ่ายชายกำลังเร่งสร้างเรือนหลังใหม่ต้อนรับเยว่เซียน เื่การเตรียมเครื่องเรือนจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน รอให้เรือนหลังใหม่เสร็จแล้วค่อยว่ากัน ่นี้ข้าจึงมีเวลาว่าง”
อาลักษณ์คนนั้นอดรู้สึกดีใจแทนเขาไม่ได้ เขายกถ้วยชาขึ้นดื่ม “แสดงว่า เยว่เซียนได้สามีที่ดีจริงๆ มา ใช้ชาแทนสุรา ขอแสดงความยินดีกับพี่เฉินล่วงหน้า”
“ได้ ขอบคุณเ้ามาก”
คนทั้งสองชนแก้วกัน เสียงแก้วกระทบกันดังเสนาะหู
เถ้าแก่เฉินเองก็ไม่เอ่ยวาจาไร้สาระให้มากความ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันครู่หนึ่งเขาก็พูดเื่สำคัญที่มาในวันนี้
“บ้านดองข้า้าจะซื้อูเารกร้างสองลูก ไม่ทราบว่าราคาในตอนนี้อยู่ที่ประมาณเท่าใด?”
“ต้องดูว่าอยู่แถวไหนแล้ว หากเป็ที่ดีๆ ก็ย่อมมีราคาสูงเป็พิเศษ หากเป็ที่รกร้างห่างไกลก็ไม่ยาก”
“บ้านดองข้าก็คือสกุลลู่แห่งหมู่บ้านเขาหมี ูเารกร้างที่พวกเขาอยากจะซื้อย่อมต้องเป็ูเารกร้างเตี้ยๆ ที่ขนาบอยู่สองข้างหมู่บ้านนั่นอย่างไรละ”
เถ้าแก่เฉินกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง กดเสียงเบาลงว่า “น้องสามีของเยว่เซียนคนนั้นเป็เด็กมีความสามารถ เกรงว่าคงคิดจะเปลี่ยนหุบเขาหมีเป็สวนขนาดใหญ่ เพราะเราสนิทกันดีข้าจึงลองมาถามเ้าดูก่อน นางเป็แค่แม่นางคนหนึ่ง ต่อให้จะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือนำทางให้”
“เขาเตี้ยๆ สองฝั่งของเขาหมีหรือ?” อาลักษณ์คนนั้นขมวดคิ้วลอบคิด สุดท้ายก็พยักหน้า “ยังไม่มีใครเคยถามไถ่มาก่อน ตอนที่จัดระเบียบภูมิศาสตร์ก็ถูกจัดไว้ให้อยู่ในเขาระดับสาม เขาสองลูกรวมกันน่าจะสักประมาณสองร้อยตำลึงได้กระมัง”
“ก็ไม่แพงนี่นา ดีจริงๆ ที่มีคนรู้จักอยู่ในศาลาว่าการเช่นนี้ ได้ยินเ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ มา ครั้งนี้ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุราขอบคุณเ้า รอจนงานแต่งของเยว่เซียน ถึงตอนนั้นจะต้องเชิญน้องชายมาดื่ม ไม่เมาไม่เลิกรา”
คนทั้งสองดื่มน้ำชา อาลักษณ์คนนั้นเองก็มีนิสัยทำอะไรว่องไว เขากล่าวว่า “เช่นนั้นท่านก็ไปวางมัดจำกับข้าแล้วนำโฉนดสีเหลืองกลับไปก่อน วันพรุ่งนี้รอจนศาลาว่าการเปิดทำการ พวกใต้เท้ามาถึงแล้ว ค่อยนำพวกสกุลลู่มาจัดการลงนามในโฉนดสีแดง”
โฉนดที่ดินของแคว้นต้าหยวนแบ่งออกเป็สองประเภท โฉนดสีเหลืองเปรียบเสมือนสัญญาเงินมัดจำ เมื่อจ่ายเงินจนครบจำนวนแล้ว ก็จะสามารถเปลี่ยนเป็ถือโฉนดสีแดงได้ทันที เพียงมีโฉนดสีแดงอยู่ในมือ ขอแค่ราชวงศ์ไม่ผลัดเปลี่ยน โฉนดก็จะไม่มีทางเปลี่ยนเ้าของ
เถ้าแก่เฉินกล่าวขอบคุณ คนทั้งสองสนทนากันต่ออีกเล็กน้อยก็เดินกลับไปที่ศาลาว่าการ อาลักษณ์คนนั้นรับตั๋วเงินร้อยตำลึงมาจากเถ้าแก่เฉิน แล้วจึงรีบออกโฉนดเหลืองให้เขาทันที
เถ้าแก่เฉินจากไปพร้อมรอยยิ้ม อาลักษณ์คนนั้นก็เดินออกไปส่งพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นๆ ซักไซ้เพราะนำไก่ตัวโตกลับมาฝากทุกคนด้วย
ทุกคนเข้ามารวมตัวกันเพื่อกินไก่ย่างตัวนั้น สุดท้ายไม่รอให้ทุกคนกินกันเสร็จแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน ก็เห็นคุณชายคนหนึ่งสวมผ้าไหมสีเทา ถือพัดด้ามหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามาในศาลาว่าการ เขาเอ่ยขึ้นว่า “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ ราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดให้พวกเ้ามาคุยเล่นกันหรือไร”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่กล้าต่อต้านแต่อย่างใด คุณชายอายุน้อยคนนี้ไม่ใช่คนของทางการ เขาเป็หลานชายของที่ปรึกษา แซ่ตู้ นามอักษรไฉเกา ยามปกติท่านที่ปรึกษาให้ความเชื่อใจเขามาก ไม่ว่าเื่อะไรก็ใช้ให้เขาไปทำ ทำให้ตู้ไฉเกาคนนี้ชอบยกตนข่มท่าน
เดิมทีวันนี้ตู้ไฉเกาแพ้พนันมาจากโรงพนัน ตอนแรกเขาคิดจะหาเื่เ้าของโรงพนัน แต่เป็เพราะบุคคลเื้ัอีกฝ่ายยิ่งใหญ่เกินไป จึงทำได้แค่ต้องอดกลั้นโทสะ คิดจะกลับมาขอเงินท่านลุง แต่สุดท้ายกลับถูกด่าตะเพิดออกมา
ตอนที่กำลังหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดนั่นเอง เขาก็มาเจออาลักษณ์พวกนี้
เนื่องจากเถ้าแก่เฉินมาหาอาลักษณ์เฉิน ทุกคนจึงหันมามองเขา ราวกับลืมไปแล้วว่าตนเองก็กินไก่ของผู้อื่นไปเช่นกัน
อาลักษณ์เฉินไร้หนทาง ทำได้แค่เดินขึ้นหน้าไปประสานมือคารวะ “คุณชายตู้ เมื่อครู่ญาติห่างๆ คนหนึ่งของข้ามีเื่มาติดต่อทางการพอดี เพิ่งจะส่งเขากลับไปเมื่อครู่นี้เองขอรับ”
“อ้อ คงไม่ใช่เพราะเห็นว่าเป็ญาติเ้า แล้วจึงให้สิทธิพิเศษอะไรกับเขาหรอกกระมัง”
ตู้ไฉเกากำลังมีไฟสุมเต็มท้อง ไม่ว่าเจอใครเขาก็กัดทั้งสิ้น จึงหาเื่ให้อาลักษณ์เฉินทำผิดให้ได้
อาลักษณ์เฉินรู้สึกโมโหอยู่บ้าง ตอบกลับอย่างแข็งกระด้างว่า “คุณชายตู้กล่าวหนักเกินไปแล้ว ญาติของข้าเพียงแค่อยากจะซื้อูเารกร้างสองแห่งไว้เป็ของตนเอง ข้าน้อยจะกล้าทำผิดกฎให้สิทธิพิเศษอะไรได้อย่างไร ทำตามกฎหมายทุกอย่าง เงินก็รับมามิได้ขาดแม้แต่อีแปะเดียวขอรับ”
“แหม เ้ายังเถียงเก่งเสียด้วย”
ตู้ไฉเกาเปิดพัดในมือออก ด่าออกมาว่า “เช่นนั้นเ้าบอกมาสิว่าูเาลูกที่ญาติเ้าซื้อไปนั้น เ้ารับเงินมาในราคาเท่าใด”
“ูเาเตี้ยสองลูกที่ขนาบข้างูเาหมี ูเาระดับสาม ราคาสองร้อยตำลึงถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนขอรับ ข้ารับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาเป็เงินมัดจำ ไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว” อาลักษณ์เฉินเริ่มโกรธแล้วเช่นกัน เขาพูดอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง “หากว่าคุณชายตู้ไม่เชื่อ ข้าน้อยจะตามท่านไปจวนที่ปรึกษาเพื่ออธิบายเื่นี้ก็ได้ขอรับ”
หากเป็ยามปกติตู้ไฉเกาถูกคนกล่าววาจาโต้กลับเช่นนี้เขาคงโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว แต่ยามนี้เขากลับยืนนิ่ง มีเพียงดวงตาที่กลอกกลิ้งไปมา
“เ้าบอกว่า ญาติเ้าจะซื้อูเาข้างๆ เขาหมี? สถานที่แห่งนั้นรกร้างห่างไกล ผู้คนดิบเถื่อน สัตว์ป่าก็มาก เขาจะอยากได้ไปทำอะไร”
อาลักษณ์เฉินรู้สึกใเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคุณชายตู้เหมือนคิดจะทำเื่ชั่วร้ายอะไรอยู่ จึงตอบรับไปว่า “ญาติข้าก็แค่มาถามแทนผู้อื่น เป็คนบนเขาหมีเองที่คิดจะซื้อ”
“อ้อ เช่นนี้เองหรอกหรือ เ้าไปได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าตู้ไฉเกาคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบโบกมือแล้วหมุนกายเดินออกไป
เหลือแค่พวกอาลักษณ์ที่มองหน้ากันไปมา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงยอมจากไปง่ายๆ เช่นนี้ แต่คนผู้นี้น่ารังเกียจจริงๆ รีบๆ จากไปเสียก็ดีแล้ว
ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำเื่ของตนเอง ไม่เก็บเื่นี้มาใส่ใจอีก
ส่วนทางด้านเถ้าแก่เฉินถือโฉนดเหลืองกลับบ้านไปด้วยอารมณ์เบิกบาน เขาช่วยบ้านดองจัดการเื่ใหญ่เื่หนึ่งได้สำเร็จแล้ว ตอนรับประทานอาหารค่ำเขาถึงขั้นร่ำสุราด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ใหญ่ลู่ก็เทียมรถม้าเข้าเมืองมาพร้อมกับเสี่ยวหมี่
เช้าตรู่ ไอหมอกและน้ำค้างในหุบเขายังไม่จางหายไป มองจากไกลๆ แล้วดูงดงามราวกับแดน์ก็ไม่ปาน
เสี่ยวหมี่ปล่อยขาลงมากวัดแกว่ง ชมทิวทัศน์ไปพลาง สนทนากับพี่ใหญ่ไปพลาง นางกำลังคิดว่าจะปลูกกะหล่ำปลีและหัวไชเท้าแทนผักสดพวกนี้ เพื่อเก็บไว้ใน่ฤดูใบไม้ร่วงและนำออกมากินใน่ฤดูหนาว
แน่นอนว่าพี่ใหญ่ลู่ไม่เคยปฏิเสธน้องสาว คนทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างครึกครื้น ก็เห็นว่าที่ไกลๆ ตรงหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามา พี่ใหญ่ลู่ระแวดระวัง เขารีบบอกให้น้องหญิงเข้าไปหลบในรถ ส่วนเขาะโลงจากรถดึงม้าให้หลบเข้าข้างทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้