“เ้าจะไม่ทำตามที่แม่บอกก็ได้ ไม่ต้องรับตำแหน่งแม่ทัพหลวงและไม่กุมอำนาจของฉู่ชิง พวกเราแค่ฝังกลบความทะเยอทะยานในใจต่อไป รอให้โอกาสเข้ามาอีกครั้ง ทว่าครั้งต่อไป สถานการณ์ตอนนั้นคงจะไม่เหมือนเช่นตอนนี้อีกแล้ว เท่าที่ข้ารู้ ฤดูหนาวที่ผ่านมา เหนียนยวี่เข้าพิธีปักปิ่นเรียบร้อยแล้ว ผ่านพ้นวันเกิดอายุสิบห้าปีของนางไปแล้ว เช่นนั้นนางคงออกเรือนได้แล้วใช่หรือไม่?”
ฉางไทเฮาขมวดคิ้ว ดวงตาฉายประกายแพรวพราว
ครั้นคำพูดนั้นแว่วออกมา สีหน้าของจ้าวเยี่ยนพลันผุดอารมณ์ประหม่าปะปนกับความกังวลขึ้นมาดังคาด ออกเรือนหรือ?
ตอนนี้เหนียนยวี่อยู่ในค่ายเสินเช่อกับฉู่ชิง หากฉู่ชิงมิอาจมีชีวิตรอดขึ้นมาจริง เช่นนั้นเหนียนยวี่เองก็น่าจะรอดกลับมาได้ยากไม่ต่างกัน
“เสด็จแม่ ต่อจากนี้ท่านไม่ต้องเป็กังวลว่าลูกจะรู้สึกอย่างไรกับเหนียนยวี่อีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวเยี่ยนเอ่ยแฝงความนัยอย่างไม่ชัดเจน ยามนั้นจ้าวเยี่ยนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เขารู้ถึงความยากลำบากของเสด็จแม่ดี เสียงเงียบลงไปครู่ใหญ่ ในที่สุดจ้าวเยี่ยนที่กำแหวนหยกในมือค่อยๆ ก้มคำนับฉางไทเฮา ดวงตาเศร้าสลดไร้ชีวิตชีวา “ลูกขอตัวไปทำตามที่เสด็จแม่ทรงสั่งก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเอ่ยจบ จ้าวเยี่ยนหันหลังก้าวออกไปจากห้องพระ
เสด็จแม่ให้เขาไปจวนหนานกง เขารู้จุดประสงค์ของนางและยังรู้ด้วยว่าต้องทำอะไร
ฉางไทเฮาจ้องมองแผ่นหลังที่เดินลับออกไปของจ้าวเยี่ยน นางรู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของจ้าวเยี่ยนที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้ คำกล่าวที่ว่าไม่ต้องเป็กังวลว่าเขาจะรู้สึกอะไรกับเหนียนยวี่อีกต่อไป
หากไม่ต้องเป็กังวล เช่นนั้นก็คงยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“เยี่ยนเอ๋อร์เอ๋ยเยี่ยนเอ๋อร์ พวกเราแม่ลูกไม่ควรมีความรู้สึก ส่วนคนที่ชื่นชอบ..." ฉางไทเฮาพึมพำ ภาพเงาร่างของใครคนหนึ่งผุดขึ้นในหัวนาง ความอ่อนโยนในดวงตาสลายหายไป “ยามนี้พวกเราจำเป็ต้องคว้าโอกาสนี้และตำแหน่งนั้นไว้ให้ได้เท่านั้น”
ฉางไทเฮาทอดถอนหายใจ นางถอนสายตากลับมา มือคลำลูกประคำพร้อมกับหลับตาลง สวดมนต์ เก็บความทะเยอทะยานและแผนการในใจ กลับเข้าสู่ความสงบนิ่ง ยังคงเป็สตรีผู้ละทางโลกเช่นเดิม
จ้าวเยี่ยนออกนอกวังและตรงไปยังจวนหนานกง
ก่อนหน้านี้ เจินกูกูยังนั่งอยู่ในรถม้าตรงประตูวังอันชิ่ง ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนจิ้นอ๋อง
จ้าวเยี่ยนเดินทางมาถึงจวนหนานกง เพียงเวลาครึ่งก้านธูป
จวนหนานกง
หนานกงเลี่ย หนานกงฉี่และหนานกงจื้อ ทั้งตระกูลรวมกันอยู่ที่นี่ ครั้นเห็นจ้าวเยี่ยนมาที่จวน แทบทุกผู้คนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนอยู่ในเมืองชุ่นเทียน เขาไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับตระกูลใดเลย ยิ่งกว่านั้นั้แ่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมาที่จวนหนานกงเลยสักครา ทว่าเหตุใดวันนี้...ว่างหรือถึงมาได้?
ครั้นนึกถึงสถานการณ์ในเมืองชุ่นเทียนยามนี้ หนานกงฉี่เข้าใจในทันที
พ่อลูกหนานกงเข้าไปต้อนรับจ้าวเยี่ยนที่ประตูอย่างเคารพ ในห้องโถง ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงรู้สึกตื่นเต้นเหลือคณา
“ท่านอ๋องหลีเสด็จเยือนจวนหนานกง ผู้เฒ่าเยี่ยงข้าขออภัยเป็อย่างยิ่งที่ไม่ได้รีบเข้าไปต้อนรับท่าน ขอหลีอ๋องโปรดทรงอภัย” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงถือไม้เท้าก้าวเดินออกมา ครั้นนางได้ยินว่ามีแขกสูงศักดิ์มา จึงรีบเดินออกมาจากห้องทันที
จ้าวเยี่ยนได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งยังได้นั่งตรงตำแหน่งประธาน ซึ่งถือได้ว่าเป็ที่สำหรับแขกผู้สูงศักดิ์ ยามนี้พ่อลูกสกุลหนานกงล่าถอยออกไป ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกับจ้าวเยี่ยนอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน ครั้นจ้าวเยี่ยนเห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเยี่ยงนี้ จ้าวเยี่ยนพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าเมื่อคิดถึงเป้าหมายที่ตนเองเดินทางมา จ้าวเยี่ยนจึงหยุดครุ่นคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง "ฮูหยินผู้เฒ่า เปิ่นหวางมารบกวนพวกท่านที่นี่ในวันนี้ เพราะคำพูดของเสด็จแม่”
"ฉางไทเฮาหรือเพคะ?" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงตื่นเต้นอย่างมาก "ฉางไทเฮารับสั่งออกมาว่าอย่างไรหรือเพคะ?"
“ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง เสด็จแม่ไม่ได้ออกคำสั่ง เพียงแต่ส่งฝากคำพูดมาว่า วันนั้นในที่พำนัก เสด็จแม่ทรงมีหนทางที่จะรับประกันได้แน่นอนว่าสามารถช่วยเหนียนอีหลานออกมาจากตำหนักชีอู๋ และกลับจวนเหนียนได้อย่างปลอดภัย ไม่มีส่วนใดขาดหาย” จ้าวเยี่ยนเน้นถ้อยเน้นคำอย่างชัดเจน
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงดีใจมาก “มีหนทางเช่นนั้นจริงหรือ? ดีเหลือเกิน ข้ารู้ว่าไทเฮาต้องทรงมีหนทางอย่างแน่นอน หากอีหลานปลอดภัย นับว่าไทเฮาทรงช่วยเหลือตระกูลหนานกงอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
“ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงอย่าได้ถอดใจ เสด็จแม่ทรงตรัสว่า ในเมื่อตระกูลหนานกงมอบแหวนัหงส์ให้ ั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป ตระกูลหนานกงกับเปิ่นหวาง รวมถึงเสด็จแม่ถือเสียว่าพวกเราเป็ครอบครัวเดียวกันเถิด” จ้าวเยี่ยนเลิกชายแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ภายใต้ผ้าโปร่งสีขาว แหวนหยกขาวผลึกใสวาว ประหนึ่งแผดเผาดวงตาของผู้คน
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจ้องมอง ในใจนางเข้าใจเื่นี้เป็อย่างดี รอยยิ้มบนใบหน้าพลันบานสะพรั่งยิ่งขึ้น พลางพยักหน้าให้เขาอย่างต่อเนื่อง "ดี ดี ครอบครัวเดียวกัน…ครอบครัวเดียวกัน"
“ในเมื่อเป็ครอบครัวเดียวกัน เช่นนี้หากมีบางเื่ที่เปิ่นหวาง้าให้ตระกูลหนานกงสนับสนุน มิรู้ว่าตระกูลหนานกงพอจะมีแรงเคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยเหลือเปิ่นหวางได้หรือไม่?” จ้าวเยี่ยนสบตาฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง เขาในยามนี้ บนใบหน้าหล่อเหลาฉายอารมณ์ราบเรียบ ทว่าในดวงตากลับฉายชัดถึงความทะเยอทะยาน
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงผู้ผ่านโลกมานาน นางรู้จักโลกใบนี้ดียิ่ง เพียงประกายแสงที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขา ทำให้นางสามารถคาดเดาเื่ราวได้แล้ว
ฉางไทเฮาและหลีอ๋องสองแม่ลูกคู่นี้ แท้จริงแล้วช่างทะเยอทะยานถึงเพียงนี้
ใช่แล้ว เดิมทีแล้วหลีอ๋องนั้นคือโอรสของฮ่องเต้ ยามนั้นหากมิใช่เพราะหลีอ๋องยังเด็ก ในตอนนี้คงนั่งอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น กลายเป็บุคคลที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้แล้ว
“ช่วย…ต้องช่วยแน่นอนเพคะ ในเมื่อเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว หากท่านอ๋องหลีมีเื่อะไร ตระกูลหนานกงย่อมต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอนเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยอย่างหนักแน่น ทว่ากลับขมวดคิ้วแน่น “หญิงชราเช่นหม่อมฉันช่างโง่เขลานัก มิรู้ว่าแท้จริงแล้วเื่ที่ท่านอ๋องหลี้าให้ช่วยคือเื่ใด ้าให้ตระกูลหนานกงช่วยสิ่งใด”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยถามราวกับมิรู้เหตุชัดแจ้ง
จ้าวเยี่ยนเหลือบมองนาง ในเมื่อ้าให้เขาเอ่ยอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นเขาจะเอ่ยให้ชัดขึ้นเสียหน่อยแล้วกัน
“ค่ายเสินเช่อเกิดโรคระบาด ฝ่าาทรงรับสั่งให้เผาค่าย ทว่ายามนี้แม่ทัพหลวงเองยังคงอยู่ในค่ายนั้น หากฉู่ชิงมิอาจรอดชีวิต ตำแหน่งแม่ทัพหลวงจะว่างลงทันที ความหมายของเสด็จแม่คือ ท่านทรงปรารถนาให้ตระกูลหนานกงช่วยทูลขอต่อฝ่าาให้แต่งตั้งเปิ่นหวางรับ่ต่อตำแหน่งของฉู่ชิง”
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงที่ฟังอยู่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง คาดมิถึงว่าฉางไทเฮาและหลีอ๋องสองแม่ลูกคู่นี้ จะต้องตาตำแหน่งนั้นเช่นกัน!
“ตระกูลหนานกงทูลฝ่าา...” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขมวดคิ้วมุ่น “ทว่ามิรู้ว่าฝ่าาจะทรงยอมรับหรือไม่...”
“เื่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงมิจำเป็ต้องกังวล ขอเพียงแค่ตระกูลหนานกงทูลเสนอต่อหน้าฝ่าา เื่อื่นๆ เปิ่นหวางกับเสด็จแม่จะจัดการกันเอง” จ้าวเยี่ยนจ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง เห็นนางขมวดคิ้ว เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น ปมคิ้วคู่นั้นจึงค่อยๆ คลายออก
“เพคะ ท่านอ๋องหลีโปรดวางใจ หม่อมฉันฝากทูลต่อฉางไทเฮาด้วยนะเพคะว่าให้พระนางทรงวางใจ เื่ที่ท่านทั้งสองรับสั่งมา หญิงชราเช่นข้าจะจัดการอย่างดี” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงสบสายตาจ้าวเยี่ยน เื่นี้นับว่าเป็อันตกลงกันเยี่ยงนี้
“เปิ่นหวางต้องขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงแล้ว” จ้าวเยี่ยนคำนับให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก “ท่านอ๋องหลีเหตุใดท่านต้องสุภาพเยี่ยงนี้ด้วยเพคะ? เป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ในภายภาคหน้าเองก็ต้องรบกวนทั้งฉางไทเฮาและท่านอ๋องหลีช่วยดูแลอีหลานของพวกเราด้วยเช่นกันเพคะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็โปรดวางใจเถิด คุณหนูอีหลานจะต้องปลอดภัย ไม่จำเป็ต้องกังวล” จ้าวเยี่ยนเอ่ยแย้มยิ้ม ในดวงตาที่มักฉายแววไม่สนใจทางโลก หวนคืนสู่ความสงบนิ่ง
ทั้งสองทักทายกันครู่หนึ่ง จ้าวเยี่ยนมิได้อยู่นานมากนัก ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงส่งเขาออกจากจวนหนานกงด้วยตนเอง เฝ้ามองจ้าวเยี่ยนขึ้นรถม้า รอจนรถม้าออกไปไกล ใบหน้าแย้มยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพลันจางหายไป
ทันทีที่นางหันหลังกลับ พลันปะทะเข้ากับสายตาของหนานกงฉี่ที่ยืนพิงประตูอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นกำลังยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม