กู้เจิงรอเสิ่นเยี่ยอยู่แถวโต๊ะที่คาดว่าจะเป็ที่นั่งของนาง นางมาร่วมงานเลี้ยงแบบนี้เป็ครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกก็คือที่งานล่าสัตว์
คนรอบข้างเริ่มทยอยมานั่งลง ในตอนที่กู้เจิงกำลังจะนั่งลงบ้าง นางกำนัลคนหนึ่งก็เดินมาแจ้งกับนาง “ฮูหยินน้อยเสิ่น พระชายารัชทายาท้าพบท่าน เชิญตามบ่าวมาด้วยเ้าค่ะ”
พระชายา้าพบนางหรือ? กู้เจิงประหลาดใจ ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทก็ได้พูดคุยกับนางไปแล้ว ไม่นึกว่าพระชายาจะ้าพบนางอีก
ตำหนักบูรพาอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็ส่วนที่กำแพงทาสีแดงและใช้กระเบื้องสีเหลืองทองประดับตกแต่ง นางเดินตามนางกำนัลผ่านศาลาทางเดิน ซึ่งผ่านหอตำหนักต่างๆ ตลอดทางตกแต่งด้วยหินหยกและดอกไม้แปลกตา ให้บรรยากาศแบบโบราณและสุขุม
กู้เจิงเดินตามนางกำนัลออกจากประตูกลมเข้าไปในสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง รอบด้านเงียบสงัดไร้ผู้คน ในใจก็เกิดความสงสัย นางจึงหยุดฝีเท้าลง
“ฮูหยินน้อยเสิ่น เป็อะไรไปเ้าคะ?” นางกำนัลถามกู้เจิง
“เป็พระชายารัชทายาท้าพบข้าแน่หรือ?” กู้เจิงมองนางกำนัลทั้งสองคนอย่างสงสัย นางเริ่มก้าวเท้าถอยหลังทีละนิด
สีหน้าของนางกำนัลเปลี่ยนไป “แน่นอนว่าเป็พระชายารัชทายาท้าพบ...”
ยังไม่ทันที่นางกำนัลจะพูดจบ กู้เจิงก็หมุนตัววิ่งหนีไป เสียงะโของนางกำนัลดังขึ้นทางด้านหลัง “รีบจับนางไว้”
กู้เจิงคิดไม่คิดว่าจะมีคนใจกล้าถึงเพียงนี้ กล้าโกหกว่าเป็คำสั่งของพระชายารัชทายาทหลอกนางออกมา ตอนนี้นางแค่คิดว่าต้องหนีให้พ้น แต่ยังไม่ทันที่นางจะหนีออกจากประตูกลม ก็มีหมัวมัว* สองคนก็วิ่งออกมาขวางนางไว้
(*หมายถึง เป็คำเรียกหญิงผู้มีอายุ ใช้เรียกนางกำนัลาุโ)
กู้เจิงสบถในใจ นางหันกลับไปมองนางกำนัลสองคนที่วิ่งตามหลังมา
“ใคร้าจะพบข้ากันแน่?” กู้เจิงถามเสียงเข้ม การแต่งกายของคนกลุ่มนี้ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็คนในวัง หรือจะมีผู้ที่อยู่เบื้องสูง้าจะจัดการนาง “เป็องค์หญิงสิบเอ็ดหรือ?”
คนที่นางนึกออกในหัวคือองค์หญิงสิบเอ็ด
หนึ่งในหมัวมัวส่งสายตาให้อีกสามคน
ทั้งสี่คนรีบเข้ามาจับนางไว้ กู้เจิงออกแรงขืนตัว แต่แรงที่จับไหล่นางไว้ทำเอานางขยับไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลาคิด นางกัดมือหมัวมัวผู้หนึ่งอย่างแรง และรีบฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายปล่อยนาง เตะเข้าที่เอวหมัวมัวอีกคนอย่างแรง
แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมีกันถึงสี่คน คำว่า “ช่วย--” ในปากของกู้เจิงยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา พวกนางก็คว้าตัวนางไว้ และปากของนางยังถูกยัดด้วยผ้า ก่อนจะโดนลากออกไป
กู้เจิงใเป็อย่างมาก นางดิ้นรนจนสุดชีวิตหวังจะให้มีคนมาพบเจอเข้า แต่เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ได้เตรียมการไว้นานแล้ว รอบๆ สวนเงียบสงัดและไม่มีผู้คนอยู่เลย
นางถูกลากไปตลอดทาง ทั้งสี่คนในนั้นผลัดกันลากนางไป
“ทำไมฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้ถึงหนักนักล่ะ” หมัวมัวคนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะหยุดเพื่อพักหายใจ
เมื่อเป็เช่นนี้ กู้เจิงก็ทำได้เพียงคิดหาวิธีถ่วงเวลา หรือทำอะไรที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ดังนั้นนางจึงกดน้ำหนักลงเท้า ตอนที่โดนลากไปนางก็จะทิ้งรอยเท้าไว้ตามทาง แต่น่าเสียดายที่มันเป็เส้นทางหินกรวด แต่ก็ยังมีหญ้างอกขึ้นมาระหว่างก้อนหิน ดูไม่สะดุดตา ขอเพียงเป็คนช่างสังเกตย่อมต้องพบว่าหญ้าถูกรองเท้าของนางเหยียบขยี้ไปต่างจากหญ้าตรงอื่น
ขณะนั้นเอง หมัวมัวอีกคนก็ถีบเท้าของกู้เจิงอย่างแรง “ผู้หญิงคนนี้เ้าเล่ห์จริงๆ ถึงกับใช้เท้าเหยียบหญ้าพวกนี้จนแบนเพื่อทิ้งร่องลอยเอาไว้ รีบไปกันต่อได้แล้ว พวกข้าจะยกมือนางส่วนพวกเ้าสองคนยกเท้าของนางขึ้น”
นางกำนัลทั้งสองรีบทำตามคำสั่งของหมัวมัว พวกนางยกเท้าของกู้เจิงขึ้นมา
กู้เจิงพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ในใจรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาจริงๆ หากไม่มีร่องรอยทิ้งไว้แล้วคนอื่นจะหานางเจอได้อย่างไร? คนพวกนี้จะพานางไปไหนกันแน่? ้าจะทำอะไรกับนาง?
กู้เจิงอยากจะส่งเสียงออกมา แต่จนใจที่ถูกอุดปากเอาไว้ จึงไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้เลย
ทั้งสี่คนแบกนางเดินต่อไป กู้เจิงไม่รู้ว่าถูกหามไปทางไหนบ้าง ทั้งๆ ที่อยู่ในวังแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึก
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ตอนนี้เสิ่นเยี่ยนจะต้องรู้ว่านางหายตัวไปและพยายามตามหานางอยู่แน่ หากเขาหานางไม่พบจะเป็อย่างไร คนพวกนี้มัดนางไว้และแบกนางมาหนึ่งชั่วยามแล้วและก็ยังคงเดินอยู่
ราตรีคืบคลานเข้ามา กู้เจิงเดาว่าทั้งสี่คนนี้น่าจะแบกนางมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่พวกนางก็ยังคงเดินต่อไป บริเวณรอบๆ นี้กำแพงวังชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด หรือคนกลุ่มนี้จะฆ่านางที่นี่หรือ?
ตอนนี้กู้เจิงสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นึกกลัวไปก็เปล่าประโยชน์
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสี่คนก็วางนางลง แต่ละคนเหนื่อยจนหอบหายใจ
กู้เจิงที่หลับตาอยู่ พลันลืมตาขึ้น ยังไม่ทันที่คนกลุ่มนั้นจะไหวตัวทัน นางก็เก็บก้อนหินบนพื้นขึ้นมาขว้างใส่ศีรษะของหมัวมัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างแรง จากนั้นนางก็พุ่งกระแทกใส่หมัวมัวอีกคน แล้วรีบวิ่งหนีไป
“รีบตามไปจับเร็ว” นางกำนัลทั้งสองะโ
กู้เจิงที่พักมาตลอดทาง เทียบกับอีกสี่คนที่แบกนางเดินมาตลอดทางแล้วย่อมเทียบกันไม่ได้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสี่คนก็หาเงาร่างของกู้เจิงไม่เจอ หมัวมัวที่ถูกเขวี้ยงหินใส่กุมศีรษะที่แตก ก่อนจะพูดกับอีกสามคน “ช่างเถอะ เลิกตามหาได้แล้ว ถึงอย่างไรนายท่านก็แค่บอกให้พวกเราเอานางมาทิ้งไว้ที่นี่เท่านั้น พวกเราเดินกันมานานขนาดนี้ นางคงหาทางกลับไม่ได้ง่ายๆ แน่”
“หมัวมัว ทำไมถึงไม่ฆ่านางให้หมดเื่ล่ะเ้าคะ?” นางกำนัลคนหนึ่งถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“นางเป็ฮูหยินของขุนนางใหญ่ หากถูกฆ่าในวังหลวง ฝ่าาต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดแน่ อีกอย่าง นายท่านก็แค่้าสั่งสอนใต้เท้าเสิ่นผ่านนางเท่านั้น ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปรายงานกันดีกว่า”
“เ้าค่ะ”
จนกระทั่งไม่มีใครไล่ตามหลังมา กู้เจิงจึงหยุดฝีเท้าลง นางนั่งลงบนก้อนหินแถวนั้นเพื่อพักหายใจ รอบกายของนางเป็ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง
กู้เจิงกลัวมาก ทว่าครั้งนี้นางจำต้องแข็งใจฝืนเดินต่อไป เดิมทีนางคิดว่าคนกลุ่มนั้นคิดจะฆ่านาง แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่ เพราะไม่อย่างนั้น ตอนนี้พวกนั้นคงยังไล่ตามนางอยู่
“นี่มันที่ไหนกันเนี่ย?” กู้เจิงปีนขึ้นไปบนยอดกำแพงที่ล้มลงไปครึ่งหนึ่ง นางมองออกไปเห็นเพียงขุนเขาที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น
นางเดินไปมองตรงหัวกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีแสงไฟเล็กๆ ทั้งหมดนั้นเป็บ้าน ไม่ใช่วังและมันก็อยู่ไกลมาก
กู้เจิงไม่ยอมแพ้ นางเดินออกจากซากกำแพงที่หักพัง แล้วมองออกไปไกลจากอีกทิศทางหนึ่ง นางเห็นวังหลวงแล้ว แต่มันมืดไปหมดและอยู่ไกลมาก
“วังหลวงน่าจะอยู่ทางนั้นกระมัง” กู้เจิงเริ่มเดินไปทางที่น่าจะนำไปสู่วังหลวง คนกลุ่มนั้นใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการแบกนางมา หากนางจะกลับไปย่อมไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ
เมื่อมีทิศทางแน่นอนแล้ว ในใจของกู้เจิงก็ไม่กลัวอีกต่อไป เพียงแต่เวลานี้นางทั้งเหนื่อยหิวและกระหายน้ำ นางฝืนใจเรียกสติขึ้นมา เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ยิ่งเดินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางขามา ดูเหมือนต้นหญ้าวัชพืชข้างทางจะไม่โตขนาดนี้ แต่เส้นทางที่นางเดินอยู่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยป่าหญ้า นี่นางเดินมาผิดทางหรือเปล่านะ
กู้เจิงน้ำตาคลอเบ้า แต่จำต้องเดินต่อไป
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างเดินต่อไปไม่ไหว กู้เจิงจึงหาที่นั่งพัก นางเอนหลังพิงซากูเาจำลองและแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า
“พาข้ามาไว้ที่นี่คิดจะทำอะไรกันแน่?” กู้เจิงทุบขาทั้งสองข้างพลางพึมพำ “เป็องค์หญิงสิบเอ็ดงั้นหรือ? อยากจะแก้แค้นแทนฟู่ผิงเซียงหรือยังไง?” กู้เจิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคงเป็องค์หญิงผู้นี้ เพราะนอกจากองค์หญิงแล้ว นางก็ไม่มีบุญคุณความแค้นกับใครในวังอีก
ขณะที่กู้เจิงกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น ูเาจำลองที่นางพิงอยู่ก็ขยับกะทันหัน
ร่างของกู้เจิงแข็งค้าง นางรีบลุกขึ้นแล้วหมุนตัวกลับ ูเาจำลองเปิดออก มีผู้าุโสองคนเดินออกมา หนึ่งในนั้นสวมชุดสีดำปกปิดใบหน้า ดวงตาของเขากระจ่างใสวาววับ ส่วนอีกคนสวมชุดสีเข้ม หน้าตาอ่อนโยน ดูสง่ามีวิชาความรู้
เมื่อทั้งสองเห็นนาง แววตาของชายชุดดำก็เย็นเยียบ เขาชักกระบี่ยาวออกมาจากเอวหมายจะแทงกู้เจิง
ขณะเดียวกัน กู้เจิงก็คุกเข่าลงต่อหน้าคนทั้งสองแล้วะโว่า “จอมยุทธ์ทั้งสองไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยบุกเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และจะไม่แพร่งพรายอะไรออกไป ข้าน้อยยังไม่อยากตายเ้าค่ะ”
ชายผู้อ่อนโยนรีบส่งสัญญาณให้ชายที่ปิดบังใบหน้าถอยออกไป เขามองดรุณีน้อยที่กำลังคุกเข่าด้วยรอยยิ้มขัน “ทั้งๆ ที่เ้าเห็นแล้ว เหตุใดจึงบอกว่าไม่เห็นเล่า? เ้าบอกว่าเ้าจะไม่แพร่งพรายอะไรออกไปงั้นหรือ? เราจะเชื่อเ้าได้ยังไง?”
กู้เจิงไม่กล้าเงยหน้ามอง นางครุ่นคิดอย่างสุดชีวิต แต่คิดไม่ออกจริงๆ “ถ้า ถ้าอย่างนั้นต้องทำยังไงพวกท่านถึงจะยอมเชื่อข้า?”