มู่หรงฉางหัวเราะน้อยๆ ทั้งพ่ายแพ้และเสียใจ “เสด็จพี่ไม่จำเป็ต้องกังวลถึงน้องแล้ว น้องไม่มีทางทำเื่โง่ๆ อีก น้องจะใช้ชีวิตให้ดี เป็องค์หญิงที่กตัญญูต่อเสด็จพ่อ รู้จักความพอประมาณ”
มู่หรงฉือพูดอย่างชื่นชม “หากเสด็จพ่อรู้ว่าเ้าคิดได้เช่นนี้จะต้องดีพระทัยมากเป็แน่”
“เสด็จพ่อตกลงยกเลิกการแต่งงานของน้องกับคุณชายกงแล้ว พรุ่งนี้จะให้ข้าหลวงไปแจ้งที่จวนเสนาบดี เื่นี้ก็ถือว่าจบไป น้องจะคิดทบทวนตัวเองให้ดี สำรวมตนให้มาก” ขนตายาวของมู่หรงฉางกระพริบเบาๆ ดวงหน้าขาวสะอาดปรากฏความอ่อนโยนงดงามอย่างหาได้ยาก
“หากมารดาของเ้าเห็นเ้าเป็เด็กดีเช่นนี้นางคงยินดีมาก” มู่หรงฉือถอนหายใจน้อยๆ เื่นี้ไม่จบง่ายๆ เป็แน่ สกุลกงไม่มีทางปล่อยผ่านเื่นี้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
“เสด็จพี่ น้องไปหาเสด็จแม่ก่อนนะเพคะ”
ร่างกายบอบบางอ้อนแอ้นของมู่หรงฉางเดินจากไป
มู่หรงฉือค่อยๆ เดินตามหลังนางไป ่นี้เกิดเื่เยอะเกินไปแล้ว เื่หนึ่งมาแล้วตามด้วยอีกเื่หนึ่ง แต่ละเื่ล้วนปราศจากเบาะแส ไม่อาจตรวจสอบต่อไปได้
คดีของหลินซู คดีของเซี่ยเสี่ยวลู่ ยังมีเื่ระหว่างจาวฮวากับกงจวิ้นหาวใครเป็คนพูดโกหกกันแน่ แล้วก็คดีการตายของเซียวกุ้ยเฟยเมื่อวาน แต่ละคดีแต่ละเื่ราวกดทับอยู่ในใจของนาง นางอยากจะจัดการกับความคิดที่สับสนยุ่งยาก แต่ยิ่งจัดการกลับยิ่งยุ่งเหยิง
ช่างเถิด ออกจากวังก่อนแล้วกัน
มู่หรงฉือไปหาหรงจ้านที่สำนักหนึ่งในใต้หล้า เขาถนัดเื่อาวุธในใต้หล้าเป็อย่างยิ่ง น่าจะมีความเข้าใจเื่เส้นไหมนี้อยู่บ้าง
หรงจ้านเพ่งพิศไหมเส้นยาวที่นางนำมาด้วยอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวว่า “ไหมนี้ไม่ใช่เส้นไหมธรรมดา แต่สร้างมาเพื่อเป็อาวุธสังหารคน”
“หากเอาเส้นไหมนี้มามัดคนให้ลอยอยู่กลางอากาศมันจะขาดหรือไม่?” นางถามต่ออย่างยินดี
“เส้นไหมนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิเศษมาก่อน แน่นอนว่าย่อมต้องขาด”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเส้นไหมประเภทนี้ผลิตจากที่ไหน? ในเมืองหลวงมีขายหรือไม่?”
“คงจะผลิตที่อี้โจว แคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเรามีเพียงอี้โจวเท่านั้นที่ผลิตเส้นไหมธรรมชาติ เมืองหลวงอาจจะมีขาย แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็ร้านไหน” หรงจ้านถามด้วยความประหลาดใจ “เ้าสำนักถามเื่นี้ไปทำไมหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็เื่มีประโยชน์” มู่หรงฉือเก็บเส้นไหมกลับมา “ข้ากลับก่อนก็แล้วกัน หากมีธุระอะไรจะมาหาเ้าใหม่”
จากนั้นนางก็ตรงไปยังศาลต้าหลี่ ก่อนจะเข้าเมืองไปสอบถามตามโรงงานผ้าไหมกับร้านขายอาวุธด้วยกันกับเสิ่นจือเหยียน
พวกเขาสอบถามร้านผ้าไหมหลายร้าน มีสองร้านที่ทำกิจการค้าไหมธรรมชาติ แต่วัตถุดิบยังไม่ใกล้เคียงนัก เป็ร้านที่นำเส้นไหมมาทำอาภรณ์ ผ้าห่ม ร้านขายอาวุธหลายร้านต่างบอกว่าไม่มีอาวุธประเภทไหมธรรมชาติ
การสืบสวนมาถึงทางตันอีกครั้ง กล่าวได้ว่าเบาะแสชิ้นนี้ขาดไปแล้ว ไม่อาจใช้การได้
มู่หรงฉือเหน็ดเหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก ไม่อยากกระทั่งจะขยับตัว
เสิ่นจือเหยียนเสนอความเห็น “เตี้ยนเซี่ย พวกเราไปหาร้านอาหารพักเท้ากันก่อนเถิด จะได้ทานอาหารด้วย”
นางพยักหน้า ไม่นานนักรถม้าก็มาจอดที่หน้าประตูร้านหนึ่ง พวกเขาเพิ่งจะลงจากรถก็ได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียก “ใต้เท้าเสิ่น เตี้ยนเซี่ย”
ครั้นพวกเขาหันกลับไปมอง มู่หรงฉืออยากจะหันหัวเดินหนีไปจริงๆ เป็มู่หรงสือ!
เพียงแต่สตรีอายุน้อยข้างกายมู่หรงสือเป็ใครกัน?
ถึงแม้สตรีผู้นั้นหน้าตาจะไม่ได้งดงามนัก แต่ก็โดดเด่นอย่างที่ใครเห็นแล้วก็รู้สึกดี จากหัวจรดเท้ามองแล้วให้ความรู้สึกสบายตายิ่งนัก ท่าทางอ่อนหวานงดงาม เมื่อเทียบกับมู่หรงสือแล้ว เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
มู่หรงสือกับแม่นางคนนั้นลงจากรถม้า เสิ่นจือเหยียนเดินเข้าไปหา ยิ้มอย่างสบายๆ “องค์หญิง น้องสาว”
มู่หรงฉือใ สตรีผู้นั้นคือเสิ่นจือลี่น้องสาวของเสิ่นจือเหยียน!
ถึงแม้นางกับเสิ่นจือเหยียนจะเป็สหายกันมานาน แต่นางก็ไม่เคยเจอเสิ่นจือลี่น้องสาวฝาแฝดของเสิ่นจือเหยียนเลย
นางไปที่จวนราชครูอยู่หลายครั้ง แต่ว่า่สองปีที่ผ่านมานี้เสิ่นจือลี่ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง เมื่อสองปีก่อนตนก็ไม่ได้ไปที่จวนราชครูเลย
“เตี้ยนเซี่ย ข้าขอแนะนำ นี่คือน้องสาวของข้าเอง” เสิ่นจือเหยียนพูดพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“คุณหนูเสิ่นไม่เสียแรงที่เป็สตรีที่ฉลาดอันดับหนึ่งในเมืองหลวง มีความสามารถเพียบพร้อม ทั้งหน้าตายังงดงาม เปิ่นกงอยากจะรู้จักเ้ามาตลอด น่าเสียดายที่ผ่านมาไม่มีโอกาส” มู่หรงฉือยิ้มเอ่ย
“จือลี่ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ย ทรงชมเกินไปแล้วเพคะ” เสิ่นจือลี่ย่อถวายความเคารพ ก้มหน้าลงน้อยๆ เผยให้เห็นหลังคอขาวเนียน
ไม่เขินอายไม่ขลาดเขลา เปิดเผยใจกว้าง รู้จักหนังสือเข้าใจเหตุผล เห็นแล้วน่าชมชอบ
ได้พบกับองค์รัชทายาทบนถนนเช่นนี้ มู่หรงสือจิตใจเบิกบานเป็อย่างยิ่ง ดวงตากลมกลอกไปมาด้วยความเ้าเล่ห์ “เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านกำลังจะไปทานอาหารหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้า “ใช่” มู่หรงฉืออยากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ในใจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
วันนี้พบกับองค์หญิงตวนโหรวเข้า ตนจะต้องถูกนางเกาะแกะแน่นอน
เป็อย่างที่คิด มู่หรงสือยิ้มหน้าบานพูด “ข้าเชิญคุณหนูเสิ่นมาทานอาหารที่จวนอวี้หวาง ใต้เท้าเสิ่น เตี้ยนเซี่ย มิสู้มาร่วมทานอาหารที่จวนด้วยกันเถิดเพคะ คนเยอะๆ จะได้ครึกครื้น”
“เปิ่นกงกับจือเหยียนยังมีงานที่ต้องทำ วันหลังค่อยทานด้วยกันก็แล้วกัน” มู่หรงฉือรีบปฏิเสธ ถึงแม้ว่าจะอยากรู้จักเสิ่นจือลี่มากก็ตาม
“เตี้ยนเซี่ย ท่านพี่ ไปด้วยกันเถิด ข้าไปเยือนจวนอวี้หวางเป็ครั้งแรก รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง” เสิ่นจือลี่มองไปทางพี่ชายพลางเอ่ยปากด้วยท่าทาง้าที่พึ่ง
มู่หรงฉือลอบพูดแย่แล้วอยู่ในใจ เสิ่นจือเหยียนรักน้องสาวฝาแฝดมาก คงจะตอบรับแน่นอน
เป็อย่างที่คิด เขาเปลี่ยนความคิดทันที “เตี้ยนเซี่ย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
มู่หรงสือก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ไปด้วยกันสิเพคะไปด้วยกัน ตอนเที่ยงอาสามไม่มีทางกลับจวนมาทานอาหาร จะมีก็แต่พวกเราไม่กี่คน พวกเราอยากจะเล่นอย่างไรก็เล่น”
มู่หรงฉือลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ตกลง
ถึงอย่างไรตอนนี้มู่หรงอวี้ก็อยู่ในวัง จึงไม่ต้องกังวลอะไร อีกอย่างคนมากมายขนาดนี้ แม้ว่ามู่หรงสือจะเข้ามาเกาะแกะแต่ก็ยังพอมีหนทางสลัดนางทิ้ง
ดังนั้นสี่คน สองรถม้าก็มุ่งหน้าไปยังจวนอวี้หวาง
วันนี้ มู่หรงสือไปที่จวนราชครูเพื่อเชิญเสิ่นจือลี่ไปซื้อของที่ตลาด ทั้งสองคนเดินเล่นกันอยู่สองรอบใหญ่ ได้ของกลับมาไม่น้อย พอถึงตอนเที่ยงนางก็เชิญเสิ่นจือลี่ไปเป็แขกที่จวนอวี้หวาง เสิ่นจือลี่ปฏิเสธไปแล้ว แต่ว่าอีกฝ่ายกลับกระตือรือร้นเป็อย่างยิ่ง สุดท้ายนางจึงตอบรับ
ตอนออกจากเรือน่สายๆ มู่หรงสือได้สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมอาหารเที่ยงเอาไว้แล้ว ตอนนี้กลับมาถึงจวนหวาง อาหารเที่ยงได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย และยกมาวางได้ทันที
เดิมนางอยากจะเลี้ยงแขกในเรือนเล็กที่ตัวเองพักอยู่ แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงจัดตั้งสำรับไว้ในเรือนใหญ่ อย่างไรอาสามก็ไม่มีทางกลับมา
บ่าวรับใช้นำอาหารต่างๆ มาตั้งโต๊ะ หลังจากจัดเรียงเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไปคอยดูแลอยู่ด้านนอก
ทั้งสี่คนหิวแล้ว หลังจากพูดคุยตามมารยาทเสร็จแล้วก็เริ่มทานอาหาร
มู่หรงสือเป็เ้าภาพ ก็เรียกขานแขกทั้งสามคนอย่างเป็กันเอง ทั้งยังคีบอาหารให้พวกเขา
นางคีบให้องค์รัชทายาทก่อน จากนั้นเป็เสิ่นจือลี่ ส่วนเสิ่นจือเหยียนนั้นไม่ได้คีบให้
เสิ่นจือลี่ค่อยๆ ทาน ทันใดนั้นก็พบว่าสายตาที่องค์หญิงมององค์รัชทายาทนั้นไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก ในความนับถือแฝงไว้ด้วยความหลงใหล ดวงตาเปล่งประกายสดใสออกมา
นางมองออกแล้ว องค์หญิงชมชอบองค์รัชทายาท มิน่าเล่า องค์หญิงถึงได้เชิญพี่ชายกับองค์รัชทายาทมาทานอาหารที่จวนอวี้หวางด้วยกัน
มู่หรงฉือรับอาหารที่องค์หญิงคีบให้อย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว นางไม่ควรมาเลยจริงๆ จะทานอาหารทั้งทีก็ยังไม่สงบ
แต่นางพบว่าเสิ่นจือลี่นั้นมองแล้วรู้สึกสบายตาจริงๆ ยิ่งมองยิ่งชอบ
หากนางเป็บุรุษ จะต้องสู่ขอเสิ่นจือลี่มาเป็ภรรยาแน่นอน
เสิ่นจือลี่แต่งตัวเรียบง่าย สวมชุดสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อกว้าง ขอบชุดกับกระโปรงปักดิ้นสีเงินเป็ลายบุปผาอันอ่อนช้อย ขับให้นางยิ่งดูสง่างามอ่อนหวาน ราวกับบ่อน้ำบนูเาที่ใสบริสุทธิ์ เรียบง่าย ทั้งยังชุ่มชื่นเย็นสบาย ทำให้หัวใจเต้น
มู่หรงสือก้มหน้าทานอาหาร แต่กลับอดมองไปยังองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงข้าม แล้วยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
ได้ทานอาหารด้วยกันช่างดีจริงๆ
หากต่อไปสามารถทานอาหารด้วยกันได้บ่อยๆ ก็จะดีมากๆ
ต่อไปนางสามารถลากเสิ่นจือลี่ไปหาองค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพา อ้อ ไม่ใช่สิ ไปหาใต้เท้าเสิ่น จากนั้นก็จะได้เจอองค์รัชทายาทด้วย
คิดถึงตรงนี้นางก็ดีใจจนออกนอกหน้า ในใจเป็สุขอย่างยิ่ง
“เตี้ยนเซี่ย นี่คือหงเหม่ยจูเซียง[1]ที่พ่อครัวในจวนถนัดที่สุด เตี้ยนเซี่ยทานให้มากหน่อยเพคะ”
นางยิ้มตาหยี ก่อนจะคีบอาหารให้องค์รัชทายาทอีก
ในใจของมู่หรงฉือหงุดหงิดเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว อาหารจะรสชาติอร่อยอย่างไรก็เปลี่ยนมาเป็รสชาติเดียวกันหมด “เปิ่นกงตักเองก็พอ”
ด้านนอกมีการเคลื่อนไหว!
มีคนเข้ามา นาง เสิ่นจือเหยียน และเสิ่นจือลี่หันไปมองด้านนอกพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนจะชะงักค้างไป!
เสิ่นจือลี่ตัวแข็งค้างไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมา นางรู้สึกว่ามีไอเย็นพุ่งขึ้นมาจากขา แต่ส่วนบนของร่างกลับร้อนระอุ เหมือนมีไฟแผดเผา
อวี้หวางไม่กลับมาตอนเที่ยงไม่ใช่หรือ?
นางไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลยสักนิด จะทำอย่างไรดี?
ครั้งแรกที่เจอกับอวี้หวาง นางตั้งใจว่าจะต้องแสดงท่าทางที่งดงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เหตุใดถึงได้กลายมาเป็เวลาทานอาหารเช่นนี้เล่า
เวลานี้วินาทีนี้ นางแทบจะเป็บ้าไปแล้ว จะทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี?
มู่หรงฉือหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างสติแตก อยากจะตบตัวเองให้ตายไปเสีย ไม่มีเื่อะไรยังจะถ่อมาทานอาหารที่จวนอวี้หวางทำไม?
เหตุใดถึงได้มาเจอกันอย่างบังเอิญขนาดนี้?
มู่หรงอวี้ยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าเหมือนจะเ็าแต่ก็ไม่ ให้ความรู้สึกต่างจากบรรยากาศในห้องอาหาร
ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ เขาเดินเข้าไปพลางโบกมือ “ไม่จำเป็ต้องเกรงใจ เปิ่นหวางเองก็หิว ทานด้วยกันเถิด”
บ่าวรับใช้รีบไปเอาชามกับตะเกียบมา ระหว่างกลางของเสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือมีที่ว่างอยู่หนึ่งที่พอดี เขาจึงนั่งลงแล้วเริ่มทานอย่างเป็ธรรมชาติ
ส่วนมู่หรงฉือก็ก้มหน้าพุ้ยข้าวไม่พูดไม่จา กลืนอาหารลงไป
มู่หรงสือรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าอาสามไม่ได้ส่งสายตาตำหนิมองมาก็วางใจลง
เสิ่นจือเหยียนกระแอม “ท่านอ๋อง องค์หญิงชวนน้องสาวของกระหม่อมมาเป็แขก บังเอิญเจอเตี้ยนเซี่ยกับกระหม่อมระหว่างทาง จึงมีน้ำใจเชิญเตี้ยนเซี่ยกับกระหม่อมมาทานอาหารที่จวนหวาง ท่านอ๋อง เป็กระหม่อมที่มากะทันหันเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ในจวนไม่มีแขกมานานมากแล้ว ควรจะมีเื่ให้ครึกครื้นบ้าง” น้ำเสียงของมู่หรงอวี้ทั้งอบอุ่นทั้งใส่ใจ
“ท่านอาสาม คุณหนูเสิ่นเพิ่งจะกลับมาเมืองหลวง ข้ากับพี่หญิงเสิ่นเองก็รักใคร่กลมเกลียวกัน จึงเรียกนางว่าพี่สาวเ้าค่ะ” มู่หรงสือยิ้มพลางแนะนำ
“เสิ่นจือลี่ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” เสิ่นจือลี่รีบวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นทำความเคารพ
“ไม่จำเป็ต้องมากพิธี ทานอาหารเถิด” เขาไม่ได้เหลือบตาขึ้นมองนางแม้แต่นิด น้ำเสียงก็ยังราบเรียบ
แก้มของนางพลันเห่อร้อนจนขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทำให้ดูน่ารักงดงาม
นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พูดกับอวี้หวาง ราวกับอยู่ในฝัน
ใช่ ั้แ่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันมาตลอด
อวี้หวางอยู่ใกล้นางเพียงเท่านี้ ได้ทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ทั้งยังพูดกับนาง ความสุขนี้มาไวเกินไปเหมือนพายุไต้ฝุ่น นางยังมึนงงอยู่เล็กน้อย กระทั่งความคิดยังไม่อาจรวบรวมเข้าด้วยกันได้
นางค่อยๆ สงบใจลง ลอบมองไปยังบุรุษหน้าตาหล่อเหลาราวเทพเซียนตรงหน้า หัวใจที่เต้นแรงก็ค่อยๆ สงบลงมา
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าอวี้หวางอยู่ห่างไกลจากนางมากนัก ไกลจนไม่กล้าคิดว่าจะได้เข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้ ทั้งยังไม่กล้าคิดว่าระหว่างพวกเขาจะได้สนทนากัน
แต่ตอนนี้ นางได้มาอยู่ในจวนอวี้หวาง ได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับเขา
นี่หมายความว่า ์ประทานความเมตตาต่อความรักอันน่าสงสารตลอดสองปีนี้ของนาง จึงมอบโอกาสนี้มาให้ใช่หรือไม่?
เชิงอรรถ
[1] หงเหม่ยจูเซียง เป็อาหารที่ใช้ไข่นกกระทากับกุ้งเป็วัตถุดิบหลัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้