สายลมพัดผ่าน ใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงมาท่ามกลางความเงียบงัน
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะลงมือ
“ฝ่าา.......” เหยียนอู๋อวี้พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดเจนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ “ฝ่าาทรงเข้าใจผิดเพคะ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับซิ่วหนี่ว์ทั้งสองนาง เป็หม่อมฉันที่บังเอิญชนเข้ากับพวกนาง และทำให้พระองค์ต้องเป็กังวล หม่อมฉันต่างหากที่สมควรตาย!”
ซ่งอี้เฉินเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ก่อนจึงตัดสินเื่นี้อยู่ในใจแล้ว
เพียงแค่เสียงที่อ่อนโยนลอยเข้าหูและััได้ถึงความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ภายในใจอย่างอธิบายไม่ถูก เขายื่นมือไปััใบหน้าของนาง ใบหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวนเช่นนี้ปลุกความรู้สึกของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
อู๋เหยียนมิได้มีรูปโฉมเช่นนี้ ทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้แม้แต่น้อย
จิตใจของเขาสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะไล่ผู้ที่มีใบหน้าที่น่าเกลียดผู้นั้นออกไป พร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจิ้นเชื่อเ้า เพียงแต่แม้จะสามารถละเว้นโทษปะาได้ ทว่ายังคงต้องรับโทษ ลงโทษพวกนางให้คุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม!”
หลังจากเอ่ยจบ ซ่งอี้เฉินพลันยื่นมือออกไปตรงหน้า เหยียนอู๋อวี้รู้ความหมายชัดเจนในทันที
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มทั้งน้ำตา จากนั้นจึงวางมือของนางลงบนฝ่ามือของซ่งอี้เฉินด้วยท่าทีเขินอาย ทันทีที่วางมือลงเขาพลันบีบมือคู่นั้นแน่น
“เย็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ซ่งอี้เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหันไปจับมือที่เนียนนุ่มบอบบางในฝ่ามือด้วยความรู้สึกสงสาร
“ทูลฝ่าา สุขภาพของนายหญิงมิสู้ดีนัก เมื่อวานอาการป่วยเดิมกำเริบ วันนี้ยังหกล้มอีก ซ้ำลมหนาวยังทำให้มือของนายหญิงเย็นเพคะ” ป้าโฉ่วตอบซ่งอี้เฉินเสียงต่ำ
“ไม่เป็ไร ข้าจะช่วยทำให้สนมของข้าอบอุ่นเอง” ซ่งอี้เฉินแย้มยิ้มเ้าเล่ห์
เหยียนอู๋อวี้รู้สึกว่าร่างกายของนางเบาขึ้นเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนางตั้งสติกลับมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของซ่งอี้เฉินแล้ว
ความอบอุ่นจากร่างกายของซ่งอี้เฉินแทรกผ่านชุดของนาง ทำให้เหยียนอู๋อวี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที ทว่ามิอาจรู้ได้ว่าการกระทำนี้ไม่สามารถทำให้หัวใจที่เ็าดวงนี้ของนางอบอุ่นได้เลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าา......” เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มเขินอายก่อนจะฝังใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของซ่งอี้เฉิน
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่า ใบหน้าของนางััได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของซ่งอี้เฉิน อีกทั้งมือของนางยังัักับจุดอันตรายบนร่างของเขา
เพียงแค่นาง้า แน่นอนว่ามีวิธีมากมายที่จะสามารถสังหารซ่งอี้เฉินได้ในพริบตา
ทว่า......นางยังไม่รีบ!
การตายไม่ใช่เื่ยาก เพียงใช้ดาบเดียวเท่านั้น ทว่าสิ่งที่นาง้ามากที่สุดคือการทำให้เขารู้สึกทรมานเสมือนอยู่ไม่สู้ตาย
……
ซ่งอี้เฉินอุ้มเหยียนอู๋อวี้ไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับเดินเข้าไปในตำหนักอีหลวนท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนจะค่อยๆ วางนางลงบนตั่งที่ปูด้วยเบาะรองนอนอย่างอ่อนโยน
“สนมที่รักตัวเ้าเบายิ่งนัก ข้าเกรงว่าจะทำเ้าแรงเกินไป” ซ่งอี้เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ทว่าเป็สตรีอ่อนโยนสักหน่อยนั้นดีนัก”
เป็สตรีอ่อนโยนสักหน่อยดีจริงหรือ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่อวิ๋นอู๋เหยียนทำเช่นนั้น ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่อาจรอดพ้นกับชะตากรรมที่ต้องถูกแทงทะลุหัวใจด้วยกระบี่ของเขาไปได้
“หากฝ่าาทรงโปรดปราน เช่นนั้นหม่อมฉันก็ดีใจเพคะ” ภายในใจของเหยียนอู๋อวี้นั้นเ็าอย่างยิ่ง หากแต่ใบหน้ากลับเริ่มแสดงท่าทีเขินอายมากขึ้นเรื่อยๆ
ซ่งอี้เฉินไม่เคยคิดเลยว่าสตรีร่างกายแข็งแรงที่อยู่ในความทรงจำของเขาจะมีวันที่เปราะบางได้ถึงเพียงนี้
“สั่งให้คนนำฎีกาของเจิ้นมาที่นี่ วันนี้เจิ้นจะตรวจฎีกาที่ตำหนักอีหลวน” ซ่งอี้เฉินหัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะหันกลับไปออกคำสั่งด้วยเสียงแ่เบา
เมื่อเว่ยหรูไห่ได้ยินคำสั่งนี้พลันเงยหน้าขึ้นมองไปที่สนมเหยียนที่อยู่ตรงหน้าเขาราวกับสตรีน้อยตัวเล็กๆ จากนั้นจึงก้มศีรษะทูลตอบรับ ‘พ่ะย่ะค่ะ’ พร้อมกับพานางกำนัลและขันทีออกไปพร้อมกัน ทันใดนั้นตำหนักอีหลวนที่ใหญ่โตโอ่อ่าในยามนี้จึงเหลือเพียงผู้ที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
ซ่งอี้เฉินออกแรงที่โอบเอวเหยียนอู๋อวี้อยู่ขึ้นเล็กน้อย เหยียนอู๋อวี้ที่นั่งอยู่บนเบาะพลันย้ายไปนั่งบนตักแกร่งของเขาในทันที
ร่างกายอันบอบบางโน้มตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ราวกับกระต่ายน้อยหวาดกลัวที่เต็มไปด้วยความขี้ขลาด “ฝ่าา......”
สตรีงดงามอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซ่งอี้เฉิน ทว่าซ่งอี้เฉินกลับไร้ซึ่งความรู้สึกของหัวใจที่เต้นแรงแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “เ้าบอกว่าเ้าชอบอ่านหนังสือนิยาย เช่นนั้นยามเ้าอยู่กับครอบครัว นอกจากอ่านหนังสือแล้วเ้ายังชอบทำสิ่งใดอีกหรือ?”
ฝึกฝนการต่อสู้ การใช้กระบี่ ขี่ม้าและล่าสัตว์ ทุกอย่างนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเหยียนอู๋อวี้
นางยังคงจดจำความเข้มงวดของบิดานางขณะที่สอนการต่อสู้ให้นาง ยังจำสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตาหลังจากเขาเดินออกจากสนามฝึก
หากนางยืนกรานตามความเป็จริงแล้ว ทุกสิ่งล้วนจะพังทลาย
ท่ามกลางสถานการณ์คลุมเครือที่อยู่ตรงหน้า นางซุกหน้าลงบนหน้าอกของเขาพลางเอ่ยกระซิบว่า “ปกติหม่อมฉันมักฝึกการดีดพิณ การเล่นหมากรุก การเขียนอักษร และการวาดภาพ ทว่าท่านพ่อรักและห่วงใยหม่อมฉัน รู้ว่าหม่อมฉันไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงให้หม่อมฉันเรียนรู้อย่าให้เสียเปล่าเพคะ”
“อย่างไรจึงนับว่าเป็การเสียเปล่า และอย่างไรจึงนับว่าไม่เสียเปล่า?” ซ่งอี้เฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังหยอกเย้าใครบางคน
“ท่านพ่อกล่าวว่า หากเรียนรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ นั่นจึงถือว่าเป็การเสียเปล่า ดังนั้นหากเรียนรู้หนึ่งส่วนก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้วเพคะ!”
คำพูดของนางนั้นช่างน่ารักไร้เดียงสา ทำให้ซ่งอี้เฉินนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เขาคล้ายจะเคยถามคำถามที่คล้ายกันนี้กับใครบางคน
“อย่างไรจึงถือว่ามีความรอบรู้ และอย่างไรจึงถือว่ามีความรู้เพียงน้อยนิด?”
น่าเสียดายผู้ที่ตอบคำถามของเขาผู้นั้นไม่อยู่แล้ว!
ทันใดนั้นพลันมีเสียงของนางกำนัลที่คอยเฝ้าอยู่นอกประตูดังขึ้น
“ฝ่าา ซูเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ”