“เทพก็เหมือนกับมนุษย์ ต่างก็มีความปรารถนาเป็ของตัวเองและเมื่อมีความปรารถนา เช่นนั้นก็ไม่อาจแบ่งแยกความดีเลวได้อีกต่อไป”
“แต่คนก็ยังมีคนดีกับคนเลวเลยนี่ขอรับ”ซูฉางอันไม่เห็นด้วยกับที่วู๋ถงพูดมาเลยสักนิด
“ก็อาจจะใช่” วู๋ถงหัวเราะออกมา นางไม่อยากถกปัญหาเื่นี้กับซูฉางอันหรอกนะ
ซูฉางอันรู้สึกว่าคำพูดของตนได้รับการยอมรับจากวู๋ถงจึงชี้ไปที่ชายชุดดำ แล้วถามขึ้น “แล้วเขาล่ะ จะทำยังไงกับเขาดีขอรับ? ดูเหมือนเขากำลังจะตายแล้ว”
ถูกต้องแล้วตอนนี้ชายชุดดำนอนกองอยู่บนพื้นดิน และมองมาทางวู๋ถงกับซูฉางอันตาไม่กะพริบ เขาอ้าปากแต่กลับส่งเสียงใดๆ ออกมาไม่ได้เลย
วู๋ถงไม่ได้ตอบคำถามของซูฉางอันเธอเพียงโบกมือเล็กน้อย เปลวเพลิงก็ลุกท่วมร่างชายชุดดำและเปลี่ยนให้เขากลายเป็เถ้าธุลีโดยที่ยังไม่ทันได้ต่อต้าน หรือขัดขืนใดๆเลยด้วยซ้ำ
“ตายแล้วรึ? ” ซูฉางอันรู้สึกแปลกใจเหลือเกิน เมื่อครู่วู๋ถงเพิ่งพูดไปไม่ใช่รึว่าเ้านี่ฆ่าไม่ตายแล้วทำไมเพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนให้เขากลายเป็เถ้าธุลีไปเสียแล้วล่ะ
“เปล่า เทพนั้น ฆ่าไม่ตายหรอก ต่อให้เขาจะเป็เพียงครึ่งเทพแต่เขาก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง อาจจะตื่นขึ้นในร่างของใครสักคนบนโลกก็ได้ แต่นั่นต้องใช้เวลาอีกนานเลยอาจร้อยปี หรือไม่ก็เป็พันปี”
“อ้อ” ซูฉางอันพยักหน้าด้วยท่าทางซื่อๆเขาไม่เข้าใจทุกอย่างที่วู๋ถงพูดมาหรอกนะ เขารู้แค่ว่าการตายของเทพเป็การตายจากไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีนั่นเอง แต่นั่นก็เพียงพอแล้วซูฉางอันไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงพันปีหรอก แค่ใน่ที่เขามีชีวิตอยู่ไม่ต้องอยู่ใต้ฟ้าเดียวกับคนชุดดำ แค่นี้ชายชุดดำก็ถือว่าตายสำหรับซูฉางอันแล้ว
“อาจารย์หญิง ข้ามีเื่มากมายที่อยากจะพูดกับท่านช่วยรอข้าสักหน่อยได้ไหม? ข้าอยากฝังพวกของกู่หนิงกับซูโม่ก่อน”ซูฉางอันชี้ไปที่ร่างของคนหลายคนซึ่งนอนอยู่ไม่ไกลออกไป
“ฝัง? ทำไมต้องฝังด้วย? พวกเขาเป็เพื่อนเ้าไม่ใช่รึ?” วู๋ถงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“คนตายก็ต้องถูกฝัง ให้ไปหลับอยู่ใต้ดินอย่างสงบไม่ใช่หรือขอรับ? ” ซูฉางอันรู้สึกว่าวู๋ถงช่างประหลาดเหลือเกิน เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้แต่เมื่อมาคิดดูอีกที บางทีธรรมเนียมของเผ่าปีศาจอาจจะไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์ก็ได้ เหตุนี้เขาจึงเข้าใจและประนีประนอมต่อเธอในที่สุด
“ใครบอกเ้าว่าพวกเขาตายไปแล้ว? ” วู๋ถงกลอกตามองบนพลางนึกทอดถอนใจว่าทำไมมั่วทิงอวี่ถึงรับคนที่โง่ขนาดนี้มาเป็ศิษย์ได้
“ยังไม่ตายหรือขอรับ? ” ซูฉางอันชะงักนิ่งไปแล้วประกายความดีใจออกมาทางสีหน้าในเสี้ยววินาทีต่อมา
“อืม ยังไม่ตาย” วู๋ถงพยักหน้า ก่อนจะกล่าวเสริมอีกครั้ง“แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ”
“เช่นนั้นอาจารย์หญิงช่วยพวกเขาหน่อยได้ไหมขอรับ? ข้าชอบโม่โม่มาก...เออ... กู่หนิงกับคนอื่นๆ ก็ด้วย” ซูฉางอันหน้าแดงขึ้นมาทันทีเขาคิดว่าตนน่าจะกลบเกลื่อนได้ดีมากแล้วแต่สายตาแกมแซวของวู๋ถงก็ทำให้เขารู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่ดี
“อ้อ!” วู๋ถงลากเสียงยาวอย่างขี้เล่นแล้วมองไปยังซูฉางอันด้วยสายตาเ้าเล่ห์รอยยิ้มทำให้ดวงตาของเธอหรี่โค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว
จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าซูฉางอันคล้ายกับมั่วทิงอวี่ในอดีตเหลือเกินพวกเขามักจะหน้าแดงราวกับลูกท้อแบบนี้ไปเสียทุกครั้งยามมีใครพูดถึงคนที่ชอบเสมอ
“ในเมื่อเป็คนที่ศิษย์ข้าชอบเช่นนั้นข้าที่เป็อาจารย์หญิงของเ้าจะไม่ช่วยได้เยี่ยงไรกัน? ” เมื่อเห็นว่าซูฉางอันหน้าแดงจนราวกับตูดลิงวู๋ถงก็รู้ทันทีว่าแซวต่อไปไม่ได้แล้ว นางโบกมือขึ้นอีกครั้งพลันลำแสงสีแดงก็พุ่งเข้าไปในร่างของคนทั้งหลายอย่างแม่นยำ
ซูฉางอันไม่รู้ว่าซูโม่กับคนอื่นๆดีขึ้นหรือยัง แต่เขาเห็นว่าหลิวต้าหงกับกู่เซี่ยนจวินสลบไปแล้วซูฉางอันสะดุ้งใ เขามองไปยังวู๋ถง พลางกล่าวด้วยท่าทางซื่อๆ “อาจารย์หญิงวิธีช่วยคนของท่านช่างพิเศษยิ่งนัก”
และแล้วซูฉางอันก็ถูกวู๋ถงเขกหัวอย่างแรง
“อย่ากังวลไปเลย อีกสองชั่วยาม พวกเพื่อนๆ ของเ้าก็จะฟื้นเองส่วนคนที่เหลือน่ะ ข้าเพียงลบความทรงจำบาง่บางตอนของพวกเขาเท่านั้น เื่ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อเ้า”
“ก็จริงขอรับ” ซูฉางอันรู้สึกว่าวู๋ถงพูดมีเหตุผล
“เช่นนั้น ต่อไปเรามาพูดเกี่ยวกับเื่ของเ้าเสียหน่อยดีกว่า”วู๋ถงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นในพริบตา
“เื่เกี่ยวกับข้าหรือขอรับ?” ซูฉางอันประหลาดใจเล็กน้อย
“ในร่างของเ้ามีโลหิตเทพแท้อยู่” วู๋ถงกล่าว
“โลหิตเทพแท้หรือขอรับ?” ซูฉางอันประหลาดใจมากเขาหวนนึกถึงคำพูดของครึ่งเทพที่ชื่อเทียนจ้าวและนึกถึงเ้าสิ่งที่พุ่งเข้ามาในร่างกายเมื่อครู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“หลังคืนนั้น สองปีมานี้ มีเื่หนึ่งค้างคาใจข้ามาโดยตลอด”วู๋ถงไม่ได้ตอบคำถามของซูฉางอันตรงๆแต่กลับพูดเื่ที่คล้ายจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเื่นี้ขึ้นมาแทน“อาจารย์ของเ้าเป็ยอดอัจฉริยะไม่ว่าจะเป็ด้านกระบวนดาบหรือในเื่ของการฝึกพลังเขาก็ถือเป็ยอดอัจฉริยะที่ไร้ที่ติทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงสามารถทำลายชีพดาราของข้าได้ ทั้งที่มีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพเท่านั้นทั้งยังก้าวขึ้นมาเป็นักรบแห่งดาราจักรได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่อึดใจแม้ในตอนนั้นข้าจะรู้สึกใอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหลือเชื่อเลยแม้นิดเดียวทว่ามีเพียงเื่ที่เขาตัดเส้นชะตาระหว่างข้ากับดาวหยิงโฮ่ออกจากกันเท่านั้นที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้”
“เส้นชะตาแฝงไปด้วยชะตาชีวิตรวมไปถึงเหตุและผล มันเป็สิ่งที่ไร้ซึ่งตัวตนหาใช่สิ่งที่จะตัดให้ขาดได้ด้วยพลังธรรมดาทั่วไปไม่ ก่อนหน้านี้มีนักรบแห่งดาราจักราุโที่แสนแข็งแกร่งมากมายที่พยายามจะตัดเส้นชะตาของตัวเองเพราะไม่อยากตายแต่สุดท้ายพวกเขาก็ล้มเหลวกันทุกคน จึงไม่มีเหตุผลที่มั่วทิงอวี่จะทำได้”
“สองปีที่ผ่านมา ข้าเดินทางไปยังที่ต่างๆ พร้อมกับความสงสัยนี้ข้าค้นจนทั่วเมืองโบราณ รวมไปถึงของที่หลงเหลือจากอดีตกาลมามากมายจนนับไม่ถ้วนจนในที่สุด ข้าก็พบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเส้นชะตาบนภาพผนังแห่งหนึ่งว่ากันว่าในโลกเคยมีสิ่งมีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่พวกเขาตัดขาดออกจากการพันธนาการของโชคชะตา ทั้งเหตุและผลก็ไม่มีผลใดๆกับพวกเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีวันตายและดับสูญไป ในอดีต พวกเขาเคยเป็ผู้ปกครองโลกและสรรพสิ่งในโลกใบนี้คนเหล่านี้เรียกตัวเองว่าเทพเ้า”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้วู๋ถงก็ชะงักไปเล็กน้อย เธอขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะกล่าวขึ้นในที่สุด“แต่เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ภาพบนผนังที่เผ่าเทพบันทึกเอาไว้ก็มีบางส่วนที่ขาดหายไปราวกับว่าใครบางคนจงใจทำลายเพื่อปกปิดอะไรบางอย่างเช่นนั้นข้าจึงจำต้องข้ามท่อนนั้น แล้วไปอ่านที่ท่อนต่อไป... ต่อมา เผ่าเทพก็สิ้นใจลงคาดว่าสาเหตุของการตายของพวกเขา น่าจะอยู่ในท่อนที่ขาดหายไปนั่นเอง”
“แล้วเื่ราวต่อจากนั้นล่ะ ยังเขียนอะไรเอาไว้อีก? ” ซูฉางอันถามอย่างสงสัย
“ส่วนหลังจากนั้น...” วู๋ถงราวจะลังเลเล็กน้อย เธอหยุดไปนานหลายอึดใจจึงจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แม้เทพจะตายไปแล้ว แต่พวกเขาจะไม่ตายหรือม้วยมอดไปจากโลกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะพวกเทพที่ถูกเรียกว่าเทพแท้ทั้งหลายพวกเขาทิ้งโลหิตเทพแก่สาวกที่ศรัทธา จากนั้นก็รอวันที่จะได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งคนเหล่านี้ถูกเรียกว่าผู้รับใช้เทพ พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ทุกมุมโลกแฝงตัวอยู่ทั้งในเผ่าปีศาจ มนุษย์ รวมไปถึงเผ่าหมานเพื่อหาที่พักพิงที่เหมาะสมให้กับเทพเ้าที่พวกเขานับถือ”
“ที่พักพิง? มันคืออะไรหรือขอรับ? ”
“การที่เทพจะฟื้นคืนชีพได้ ต้องใช้ดวงิญญา รวมไปถึงร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่นเป็ตัวหล่อเลี้ยงพวกเขาจะฝังโลหิตเทพเอาไว้ในร่างของคนที่เหมาะสมจากนั้นโลหิตเทพจะแอบแฝงอยู่ในนั้น ค่อยๆ กลืนกินดวงิญญาของร่างนั้นไปทีละนิดๆและผสานตัวเองเข้ากับร่างนั้นไปพร้อมๆ กัน จนเมื่อเ้าของร่างตายลงเทพก็จะฟื้นคืนชีพอยู่ในร่างของคนผู้นั้นในที่สุด”
วู๋ถงพูดอย่างใจเย็นทว่าซูฉางอันที่ฟังกลับรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวแล้วแค่คิดว่าในตัวมีเทพที่คอยกลืนกินเืเนื้อและดวงิญญาอาศัยอยู่เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัวแล้ว
“และคนที่จะเป็ที่พักพิงของโลหิตเทพ ต้องมีพร์ที่ล้ำเลิศ ทว่ามีพลังที่ค่อนข้างต่ำ...พร์ที่ล้ำเลิศจะหล่อเลี้ยงเทพที่แฝงอยู่ในร่างได้ดียิ่งกว่าส่วนที่ต้องมีพลังต่ำเพราะเมื่อมีพลังต่ำก็หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีความสามารถในการต่อต้านการครอบงำของเทพเ้าต่ำไปด้วยมั่วทิงอวี่ในตอนนั้นเป็ที่พักพิงชั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”วู๋ถงพยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อพูดถึงเื่นี้ซูฉางอันก็พบว่าในดวงตาของอาจารย์หญิงมีความโกรธที่มากและชัดเจนเหลือเกิน
“ถึงว่า ตอนที่ข้าพบอาจารย์ เขานอนอยู่ในกองหิมะ ท่าทางอ่อนแอมาก คิดๆดูแล้ว ในตอนนั้น เขาคงเพิ่งจะสู้กับผู้รับใช้เทพเสร็จสินะ”ซูฉางอันหวนคิดถึงตอนที่พบกับมั่วทิงอวี่เป็ครั้งแรกกลางหิมะเป็อย่างที่วู๋ถงพูดจริงๆ ด้วย
“เช่นนั้นเื่ราวทั้งหมดก็ลงตัวแล้ว พวกเขาเอาชนะมั่วทิงอวี่และพยายามจะฝังโลหิตเทพเอาไว้ในตัวของเขาแต่ผู้รับใช้เทพประเมินพลังของมั่วทิงอวี่ต่ำเกินไป แม้เขาจะมีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพเท่านั้นแต่เขาก็แข็งแกร่งจนสามารถรับมือกับนักรบแห่งดาราจักรได้ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝังโลหิตเทพเอาไว้ในดาบที่เขาพกติดตัวมาด้วยโดยหวังว่ามันจะหาโอกาสเข้าไปในร่างของมั่วทิงอวี่ด้วยตัวเองแต่คิดไม่ถึงว่าไม่กี่วันต่อจากนั้น มั่วทิงอวี่ก็มาตายในดินแดนทางเหนือเพื่อช่วยข้าเสียก่อน”เสียงของวู๋ถงเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดเธอก็ยังทำใจเื่การตายของมั่วทิงอวี่ไม่ได้เสียที
“บางที มั่วทิงอวี่อาจรับรู้ได้ก่อนตาย จึงผนึกดาบเอาไว้ทำให้เ้าดึงดาบออกมาไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าในที่สุดเ้าก็ดึงดาบออกมาทำให้โลหิตเทพเข้าไปในร่างเช่นนี้ ทางด้านของข้า เมื่อรู้เื่นี้ข้าก็ออกตามหาเ้าทันที ด้วยหวังว่าจะนำดาบเล่มนี้ออกไปให้ห่างจากเ้าโดยเร็วคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายข้าก็มาช้าเกินไป”
พลังพูดจบวู๋ถงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“แล้วมีวิธีเอาโลหิตเทพออกไปจากตัวข้าหรือไม่ขอรับ? ” ซูฉางอันมองวู๋ถงตาปริบๆ พลางถามด้วยท่าทางจริงจังทว่าใบหน้าของเขากลับไม่ประกายความรู้สึกอื่นออกมาให้เห็นเลย