“หากองค์รัชทายาทจะมาอ่านหนังสือที่นี่จริงๆ ก็นับว่าเป็เกียรติของหอสมุดของหม่อมฉันเพคะ” กู้เจิงรีบตอบรับคำ
ทำเอาองค์รัชทายาททรงยิ้มขำ
หลังจากส่งองค์รัชทายาทกับตวนอ๋องจากไปแล้ว กู้เจิงก็เห็นเสิ่นเยี่ยนกำลังยิ้มมองตนอยู่ๆ นางอดจะรู้สึกอายไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าพูดได้ดีไหมเ้าคะ?”
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเ้าเชี่ยวชาญในการเจรจามาก” เสิ่นเยี่ยนยิ้มยั่วเย้า
เสิ่นเยี่ยนหันกลับไปมองผู้คนในหอสมุด มีสายตามากมายที่แอบมองภรรยาของเขา เสิ่นเยี่ยนรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่ความไม่พอใจนั้นก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจอยู่หลายส่วน “ข้าคิดว่าอีกหน่อยจะยิ่งมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ท่านก็คิดเช่นนั้นหรือเ้าคะ? ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเ้าค่ะ” กู้เจิงฟังไม่ออกว่าถึงความนัยของสามี นางยิ้มอย่างยินดี “ข้าว่า พวกเราควรจะขยายสาขาดีไหมเ้าคะ”
“ขยายสาขาหรือ?” เสิ่นเยี่ยนถามซ้ำ
“ใช่เ้าค่ะ ต่อไปที่นี้จะเรียกว่าหอสมุดทักษิณ เรายังสามารถเปิดสาขาเพิ่มทั้งทางบูรพา ประจิม อุดรได้อีกด้วย และตรงใจกลางเมืองเราก็เปิดอีกสาขาโดยเรียกว่าหอสมุดกลางเมืองก็ได้เ้าค่ะ ชื่อของหอสมุดที่ข้าพูดในตอนนี้ เราอาจจะมาเปลี่ยนในตอนหลังก็ได้ถ้ากิจการเจริญขึ้น...” กู้เจิงพูดไม่หยุด
มุมปากของเสิ่นเยี่ยนยกขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆ แววตาของเขาแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูอยู่หลายส่วน
กู้เจิงพาเสิ่นเยี่ยนตรงไปยังเรือนเล็กๆ ที่ด้านหลังของหอสมุด
เสิ่นเยี่ยนเห็นว่าในเรือนเล็กหลังนี้มีชายหนุ่มสามคนอาศัยอยู่ โดยทั้งสามคนนี้เป็คนที่กู้เจิงจ้างมา
“ขอข้าแนะนำสักหน่อย นี่คือนักเขียนของหอสมุดเรา หรือที่พวกท่านเรียกกันว่าปัญญาชนไงเ้าคะ” กู้เจิงอมยิ้มอย่างภูมิใจ
ทั้งสามคนประสานมือคารวะเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิง พวกเขาเอ่ยทักกู้เจิง โดยเรียกนางว่า นายหญิง
“กว่างจื้อ ต้นฉบับที่ข้าให้เ้าเขียนเสร็จแล้วหรือยัง?” กู้เจิงถามเด็กหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่ง
“นายหญิงเชิญตรวจได้เลยขอรับ” เฉวียนกว่างจื้อยื่นงานที่เขียนเสร็จแล้วให้กู้เจิง
กู้เจิงอ่านดูผ่านๆ พร้อมกับพยักหน้ารัวๆ “ไม่เลว ไม่เลว ข้าบอกเ้าแค่คร่าวๆ แต่เ้ากลับเขียนได้ถึงขนาดนี้”
“นายหญิงกล่าวชมเกินจริงแล้วขอรับ” เฉวียนกว่างจื้อยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ
กู้เจิงยื่นต้นฉบับนั้นให้เสิ่นเยี่ยนดูบ้าง เสิ่นเยี่ยนอ่านจบก็อดแปลกใจไม่ได้ เนื้อหาในต้นฉบับน่าแปลกใจยิ่งนัก มันบรรยายถึงซิ่วไฉคนหนึ่งที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง และได้ไปอาศัยอยู่ในบ้านของขุนนาง แล้วในวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับคุณหนูใหญ่ของบ้านนั้น
“เป็เื่ที่โดดเด่นทีเดียว ใช่ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงรอฟังคำตอบของเสิ่นเยี่ยนอย่างตื่นเต้น
เสิ่นเยี่ยนตอบตามตรง “น่าเบื่อมาก”
“จะน่าเบื่อได้ยังไงเ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะติดมันบนผนังติดประกาศ ต้องมีคนสนใจมากแน่ๆ”
"นายหญิง ท่านลองดูของข้าด้วยสิขอรับ” เด็กหนุ่มร่างอวบอ้วนอีกคนยื่นต้นฉบับของเขาให้กู้เจิง
เมื่อเสิ่นเยี่ยนเหลือบตาอ่านเนื้อหาในต้นฉบับก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น ้าสุดของหัวกระดาษเขียนด้วยตัวอักษรสีดำตัวใหญ่ว่า ‘การถกเถียง’ เนื้อหาด้านล่างลงมาเขียนเป็ปริศนาไว้ว่า ‘เรียนหนังสือเพื่อตำแหน่งชื่อเสียง หรือเพื่อเติมเต็มตัวเอง?’
“ท่านพี่ สำหรับท่านแล้วนั้น ท่านเรียนหนังสือเพื่อตำแหน่งชื่อเสียง หรือเพื่อเติมเต็มตัวเองเ้าคะ?” กู้เจิงถามสามี นางอยากรู้ความคิดของเขา
เสิ่นเยี่ยนยกยิ้มก่อนจะเอ่ยเพียงว่า “หลังจากนี้เ้าก็จะรู้เอง”
“นายหญิง ท่านลองดูของข้าบ้างขอรับ” เด็กหนุ่มคนสุดท้ายเข้ามามอบต้นฉบับให้กู้เจิง
เสิ่นเยี่ยนยื่นหน้าไปดูบนหัวกระดาษ ‘บันทึกวิถีเซียน’ มุมปากของเขาต้องกระตุกยิ้มอีกครั้ง
“ดีๆ ตัวเอกมีชาติกำเนิดที่ยากลำบากและน่าสังเวชยิ่งนัก” กู้เจิงสำทับเพิ่มเติม “ยิ่งเ้าเขียนบทให้พระเอกคนนี้น่าสงสารมากเท่าไหร่ ตอนหลังเขาก็ต้องโเี้มากขึ้นเท่านั้น เข้าใจไหม?”
“ขอรับ”
เสิ่นเยี่ยอ่านต้นฉบับ เื่บันทึกวิถีเซียนนี้ อย่างสนใจยิ่งนัก
เมื่อได้เวลาของอาหารมื้อเย็น ทั้งสองก็พากันมาที่บ้านของท่านลุงรอง
กู้เจิงประหลาดใจที่เห็นอาหารทะเลบนโต๊ะ เพราะเมืองเยว่เฉิงตั้งอยู่ไกลจากชายทะเล การที่มีอาหารทะเลบโต๊ะเช่นนี้เป็เื่ที่ฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าลุงรองคงทุ่มไปกับการแต่งงานของบุตรชายคนนี้มากเพียงใด
หลังมื้ออาหาร กู้เจิงกับเหล่าพี่สะใภ้ก็ไปพูดคุยกับฟางอวิ๋นเอ๋อร์ผู้เป็เ้าสาว ในรอบนี้พวกนางได้เจอกับญาติของเ้าสาวด้วย คนหนึ่งเป็เด็กสาววัยแรกรุ่น ส่วนอีกคนเป็เด็กน้อยน่าจะอายุแค่ประมาณเจ็ดขวบได้กระมัง ป้ารองได้เรียกให้เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เสิ่นฉินพาพวกนางออกไปเที่ยวเล่นกัน
“พี่สาวคนนี้สวยมากเลย เมื่อก่อนข้าคิดว่าพี่อวิ๋นเอ๋อร์สวยที่สุด แต่ต่อมาก็มีพี่หลานเอ๋อร์อีกคนที่งดงามมากเช่นกัน แต่พวกนางกลับไม่สวยเท่าพี่สาวท่านนี้เลยเ้าค่ะ” เด็กหญิงที่อายุเจ็ดขวบมองกู้เจิงอย่างชื่นชอบ
น้ำเสียงที่ไร้เดียงสาทำเอาทุกคนในห้องหัวเราะขัน
ฟางอวิ๋นเอ๋อร์อุ้มลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยมานั่งบนตัก นางหยิกแก้มเล็กๆ ของเด็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็โกรธ “พี่รักเ้าเสียเปล่าจริงๆ ถึงกับบอกว่าพี่ไม่สวยเท่าคนอื่น”
“ในใจของฟางเอ๋อร์ ท่านพี่งามที่สุดเ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กรีบบอก
ทุกคนต่างถูกสาวน้อยคนนี้ทำให้ขำขันอีกครั้ง
“ทำไมเด็กคนนี้ถึงน่าเอ็นดูขนาดนี้” พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มชม
เด็กที่เฉลียวฉลาดช่างพูดช่างเจรจาแบบนี้ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ กู้เจิงเอ็นดูเด็กที่ชื่อฟางเอ๋อร์คนนี้
เสิ่นกุ้ยเ้าบ่าว เดินเข้ามาในห้องหอพร้อมกับถ้วยสุรา
ทุกคนต่างรุมพูดหยอกเย้าเขาอย่างนึกสนุก จนเสิ่นกุ้ยหน้าแดงเถือก ทุกคนถึงได้พากันออกจากห้องไป
ในงานวันนี้กู้เจิงไม่เห็นพี่ใหญ่เหมยเอ๋อร์เลย หลังจากถามสามีถึงได้รู้ว่านางอยู่ในห้องของท่านป้าใหญ่
“พี่เขยจะหย่าเพราะมีหญิงอื่นน่ะหรือ?” ตอน่ตรุษจีนคราวก่อนนางเพิ่งได้รู้ว่าพี่เขยคนนั้นแอบไปมีหญิงสาวอื่น
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า “ท่านลุงรอง ท่านลุงสาม ยังมีท่านพ่อและคนอื่นๆ วางแผนจะไปเยี่ยมที่บ้านพี่เขย หวังว่าจะพาเ้าคนไม่เอาถ่านกลับมาได้”
“แม้จะทำได้ แต่าแก็ได้เกิดขึ้นแล้ว” กู้เจิงพึมพำ
แววตาของเสิ่นเยี่ยนมองนางอย่างสงบนิ่ง “ทุกคนคิดแต่การไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความ”
“ข้าทราบเ้าค่ะ” กู้เจิงเบ้ปาก “ลำบากพี่เหมยเอ๋อร์แล้ว”
“แม้ว่าในจุดนี้พี่เขยจะทําไม่ดี แต่ที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไร”
“แต่เขาก็ควรจะปฏิบัติต่อภรรยาให้ดีด้วยมิใช่หรือเ้าคะ?”
“บุรุษมีสามภรรยาสี่อนุเป็เื่ปกติ”
กู้เจิงพลันโมโหขึ้นมา
เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบว่า “บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปก็เหมือนกับการสาดน้ำออกไป ต่อให้บ้านของท่านลุงใหญ่จะยังมีห้องให้พี่ใหญ่ได้อาศัยอยู่ แต่เสียงนินทากาเลของคนรอบข้างก็จะสร้างาแให้พี่ใหญ่กับลูกของนาง อีกทั้งพี่ใหญ่ยังเยาว์วัย ช้าเร็วก็ต้องแต่งงานอีกครั้ง แล้วคนที่นางจะแต่งงานใหม่ด้วย ก็ไม่แน่ว่าจะดีกว่าพี่เขยคนปัจจุบัน”
“ครั้งก่อนพี่สะใภ้รองบอกข้า ตอนแรกที่พี่เหมยเอ๋อร์แต่งงานไป ครอบครัวของฝ่ายชายไม่มีอะไรเลย สิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นางที่หามา ดังนั้น ต่อให้อยู่คนเดียว นางก็น่าจะมีชีวิตที่ดีได้เ้าค่ะ” กู้เจิงเถียง
เสิ่นเยี่ยนครุ่นคิด “พวกเราหาเวลาไปคุยกับนางกันดีไหม? เอาความคิดของเ้าไปเสนอให้กับนาง”
กู้เจิงแปลกใจ “ท่านเห็นด้วยกับความคิดของข้าหรือเ้าคะ?”
“นางเป็พี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันกับข้า ข้าย่อมอยากให้ชีวิตของนางสุขสบาย แต่สุดท้ายก็ต้องอาศัยการตัดสินใจของตัวนางเอง” เสิ่นเยี่ยนยิ้มยั่ว “เ้าโกรธกับคำพูดของข้าเมื่อครู่ใช่หรือไม่?”
กู้เจิงสะบัดหน้าอย่างงอนๆ
เสิ่นเยี่ยนดึงมือของกู้เจิงมากุมเอาไว้ เขาจูงนางเดินไปทางห้องของท่านลุงรอง พลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ชีวิตคนเรา ล้วนต้องได้รับผลกระทบจากคนรอบข้างและสิ่งต่างๆ ถ้าเราปรับตัวไม่ได้ก็จะต้องอยู่อย่างเดียวดาย ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ชอบความโดดเดี่ยว? จะมีสักกี่คนที่กล้าจะทำลายเกราะที่กักขังด้วยขนบธรรมเนียมนี้? "
ฝีเท้าของกู้เจิงสะดุดหยุดลงกับคำพูดของเขา
เสิ่นเยี่ยนหันหน้ากลับไปหาภรรยา สายตาฉายแววอบอุ่น