บทที่ 5: เสียงะเิในไลน์ผลิต
ความเงียบสงบในโรงงาน "ชัยเฟอร์นิเจอร์" หายไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่ด้วยเสียงเครื่องจักรที่คำรามลั่นตลอด 24 ชั่วโมง
ออเดอร์ 10,000 ชิ้น หมายความว่าเราต้องผลิตชิ้นส่วนไม้หกเหลี่ยมถึง 60,000 ชิ้น ภายในเวลา 1 เดือน แต่ที่นรกกว่านั้นคือ "Lot แรกจำนวน 2,000 ชิ้น ต้องส่งขึ้นเครื่องภายใน 5 วัน" เพื่อให้ทันงานเปิดตัวสินค้าที่ลอนดอน
"เร่งมือเข้า! ใครทำยอดได้ตามเป้า วันนี้มีค่าโอทีพิเศษบวกข้าวขาหมู!"
ฉันะโกระตุ้นลูกน้องพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามคอ เสื้อเชิ้ตสีขาวเลอะคราบขี้เลื่อยจนมอมแมม ฉันไม่ได้นั่งสั่งงานในห้องแอร์ แต่ลงมาคุมเครื่องขัดไม้ด้วยตัวเอง เพราะทุกนาทีมีความหมาย
"บัว... พ่อว่าให้เครื่องพักหน่อยไหม? มอเตอร์มันร้อนจี๋เลยนะลูก" พ่อเดินหน้าตื่นเข้ามาหา ชี้ไปที่ 'เ้าแก่' เครื่องเลื่อยสายพานตัวหลักของโรงงานที่อายุอานามน่าจะแก่กว่าฉัน
"พักไม่ได้พ่อ ถ้าหยุดตอนนี้เราส่งของไม่ทันแน่ สัญญาเขียนไว้ชัดเจนว่าถ้าส่งช้า ปรับวันละแสน!" ฉันกัดฟันตอบ "เอาน้ำมันเครื่องมาหยอดเพิ่ม แล้วเปิดพัดลมจ่อมันไว้!"
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะชอบเล่นตลกกับคนสู้ชีวิต...
ตู้มมม!!!
เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหวมาจากเ้าแก่ ตามด้วยประกายไฟแลบแปลบปลาบและควันดำโขมงพวยพุ่งออกมา
"ไฟไหม้! ดับเครื่องเร็ว!" ลุงเพิ่มะโลั่น
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที คนงานวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ฉันคว้าถังดับเพลิงวิ่งเข้าไปฉีดอัดใส่เครื่องจักรจนควันขาวฟุ้งไปทั่ว
เมื่อควันจางลง... สิ่งที่เหลืออยู่คือซากมอเตอร์ที่ไหม้เกรียมจนดำเป็ตอตะโก และความเงียบสงัดที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสียงะเิ
"จบกัน..." พ่อทรุดตัวลงนั่งกับพื้น "มอเตอร์ไหม้... ต้องสั่งอะไหล่จากเยอรมัน อย่างเร็วก็ 2 อาทิตย์"
2 อาทิตย์? อีก 4 วันต้องส่งของ!
ฉันยืนกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ สมองของรินลดาประมวลผลหาทางออกอย่างบ้าคลั่ง ซื้อมือสอง? ยืมโรงงานอื่น? ไม่มีใครมีเครื่องรุ่นนี้ และไม่มีใครอยากช่วยคู่แข่งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้
"ปี๊นนน!"
เสียงแตรคุ้นหูที่ไม่อยากได้ยินที่สุดดังขึ้นที่หน้าโรงงาน
รถเบนซ์สีดำปลาวาฬเลี้ยวเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวล
วันนี้วันศุกร์... วันครบกำหนดที่ 'เขา' จะมาตรวจงาน
'กรณ์' ก้าวลงมาจากรถ สวมชุดสูทสีกรมท่าที่ดูแพงระยับ ตัดกับสภาพโรงงานที่เต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาขมวดคิ้วทันทีที่เห็นสภาพความเละเทะ
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" น้ำเสียงเย็นเยียบทำเอาทุกคนหนาวสันหลัง
ฉันรีบเดินเข้าไปขวางหน้าเขา พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด แม้หน้าจะดำปิ๊ดปี๋ก็ตาม
"อุบัติเหตุเล็กน้อยค่ะคุณกรณ์ แค่... เอ่อ... สายพานขัดข้องนิดหน่อย กำลังซ่อมค่ะ"
กรณ์ไม่สนใจคำแก้ตัว เขาเดินเบี่ยงตัวฉันแล้วตรงไปที่ซากเครื่องจักร เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ก้มลงมองซากมอเตอร์ดำเมี่ยม แล้วหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาตำหนิ
"มอเตอร์ไหม้ขนาดนี้ คุณเรียกว่าขัดข้องเล็กน้อยเหรอคุณบัวบูชา?" เขาพูดเสียงดุ "อะไหล่รุ่นนี้ในไทยไม่มีของสต็อก ต้องรอของนำเข้า คุณจะเอาอะไรมาผลิตส่งลูกค้า? จะใช้มือเลื่อยไม้หกหมื่นชิ้นเหรอ?"
ฉันเม้มปากแน่น เถียงไม่ออก ความอัดอั้นตันใจทำให้น้ำตาพาลจะไหล แต่ฉันกลั้นไว้ รินลดาไม่เคยร้องไห้ให้คู่แข่งเห็น
"ฉัน... ฉันจะหาทางแก้เอง ฉันจะไปวิ่งหาเซียงกงบางนา มันต้องมีสักร้านที่มี..."
"ไร้สาระ" กรณ์สวนกลับทันที "กว่าคุณจะงมเข็มในมหาสมุทรเจอ ดีลของคุณก็ล่มพอดี แล้วเงินที่ผมให้เวลาคุณไป ก็จะกลายเป็ศูนย์"
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปลดกระดุมเสื้อสูทออกด้วยท่าทางรำคาญใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่เท่ากระติกน้ำ (รุ่นกระดูกหมา) ออกมา กดโทรหาใครบางคน
"ฮัลโหล... เฮียเส็งเหรอ ผมกรณ์นะ... ครับ... ผมจำได้ว่าโรงงานเฮียมีเครื่องเลื่อยรุ่น Z-400 อยู่สองเครื่อง... ใช่... ผมขอยืมเครื่องหนึ่ง... ไม่ครับ ไม่ได้ยืมมาใช้ที่แบงก์ ส่งมาที่โรงงานลูกหนี้ผมตอนนี้เลย... เดี๋ยวนี้ครับเฮีย ถ้าเฮียช่วยผมเื่นี้ เื่ปรับโครงสร้างหนี้ของเฮียเดี๋ยวผมดูแลให้เป็พิเศษ... ครับ ขอบคุณครับ"
เขาวางสาย แล้วหันมามองฉันที่ยืนอ้าปากค้าง
"มองอะไร? รีบให้คนงานเคลียร์พื้นที่สิ อีกชั่วโมงเดียวเครื่องจักรเฮียเส็งจะมาถึง"
"คุณ... คุณช่วยฉันทำไม?" ฉันถามเสียงเบา "ไหนคุณบอกว่าจะยึดโรงงานถ้าฉันพลาด?"
กรณ์ขยับแว่นสายตา เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยมาดคุณชายผู้เย่อหยิ่ง
"อย่าสำคัญตัวผิด ผมไม่ได้ช่วยคุณ... ผมแค่ปกป้องผลประโยชน์ของธนาคาร ถ้าคุณส่งของไม่ทัน คุณก็ไม่มีเงินมาใช้หนี้ผม แล้วเศษเหล็กพวกนี้ยึดไปก็รกโกดังผมเปล่าๆ"
เขาเดินเข้ามาใกล้ฉัน ก้มลงกระซิบที่ข้างหู กลิ่นน้ำหอมราคาแพงของเขาปะทะกับกลิ่นควันไฟบนตัวฉัน
"จำไว้... นี่คือความช่วยเหลือครั้งสุดท้าย ครั้งหน้าถ้าคุณบริหารจัดการห่วยแตกแบบนี้อีก ผมจะรื้อโรงงานนี้ทำเป็ลานจอดรถจริงๆ"
พูดจบเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถเบนซ์ นั่งเปิดเอกสารอ่านต่อในรถแอร์เย็นฉ่ำ รอเวลาเครื่องจักรมาส่ง โดยไม่ยอมลงมาคลุกฝุ่นอีก
ฉันมองไปที่รถคันนั้น หัวใจที่เคยด้านชากับเื่ความรักมาตลอดชีวิตจู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ผู้ชายคนนี้... ปากร้ายชะมัด
แต่ทำไม... อบอุ่นจังนะ
"บัว! เอ็งยืนยิ้มอะไร รีบเกณฑ์คนมาขนเศษเหล็กออกเร็ว!" เสียงพ่อเรียกสติฉันกลับมา
ฉันตบแก้มตัวเองเรียกสติ
ตั้งสติรินลดา! เขาคือเ้าหนี้ เขาคือนายทุนหน้าเื... ห้ามหวั่นไหวเด็ดขาด!
แต่ปากเ้ากรรมดันเผลอยิ้มออกมาจนได้...
