จวินเหยียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งได้อย่างพอเหมาะพอเจาะยิ่ง เมื่อหลัวเผิงและอวิ๋นซีสนทนากันเสร็จ เขาก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ อีกทั้ง สาวใช้ยังได้เข้ามาแจ้งว่า ตอนนี้เด็กน้อยอยู่รวมกันที่ศาลาริมน้ำ อวิ๋นซีและจวินเหยียนจึงพาหลัวเผิงไปที่นั่นด้วย ซึ่งเดิมทีชายหนุ่มเองก็คิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวตนก็อยู่กับพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปดูนางสักหน่อยย่อมดีกว่า
ตอนที่อวิ๋นซีและคนอื่นๆ ไปถึงก็ได้เห็นภาพหวานหว่านกำลังพูดคุยอะไรสักอย่างอยู่กับซือถูเวยที่สวมชุดตุ้ยจิ้นสีแดงดอกท้อและกระโปรงร้อยจีบ และทันทีที่ซือถูเวยได้ยินคำของเด็กน้อย นางก็หัวเราะร่วนออกมา หลังจากนั้นหลัวซืออวี่ก็เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง และได้ร่วมสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่นางน้อยแซ่หลัวจะเดินไปนั่งหน้ากู่ฉินที่ตั้งอยู่ในศาลา และเริ่มบรรเลงดนตรี ส่วนเด็กๆ ที่เหลืออย่างหวานหว่าน เอ้อนี และต้านีเอ๋อร์นั้นกลับหันมองไปทางซือถูเวย หญิงสาวลูบจมูกของหวานหว่านด้วยความเอ็นดูรักใคร่ บนใบหน้าประทับรอยยิ้มบาง จากนั้นไม่นานก็เริ่มร่ายรำไปพร้อมๆ กับเสียงดนตรีของหลัวซืออวี่
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สองสามีภรรยาซือถูนั้นใช้ความพยายามไปมากมายจริงๆ กับบุตรสาวสายตรงผู้นี้ ถึงแม้ซือถูเวยจะเป็คนกล้าพูดกล้าแสดงออกอยู่บ้าง ทว่ายามใดที่เงียบลง บนร่างนางก็มักจะมีกลิ่นอายคล้ายบัณฑิตหญิงผู้สูงส่งมากความรู้
ในตอนนี้กลุ่มของเด็กน้อยกำลังชื่นชมการร่ายรำอยู่ในศาลาริมน้ำ ทางด้านกลุ่มของอวิ๋นซีนั้นก็กำลังเดินเข้าไปหา แม้บริเวณนี้จะถือว่าค่อนข้างไกลจากที่แห่งนั้นพอสมควร แต่ก็ยังสามารถสังเกตเห็นรอยยิ้มงดงามและท่วงท่าร่ายรำอันชดช้อยของซือถูเวยได้อย่างชัดเจน อวิ๋นซีครุ่นคิดกับตัวเอง หากเป็ในยามที่ซือถูเวยไม่ทำตัวบ้าๆ บอๆ ราวกับเด็กสาวไม่กี่ขวบปี คนก็ไม่ต่างอะไรกับคุณหนูผู้ดีมีตระกูลอยู่มากจริงๆ
ฉับพลันนั้นสายตาของอวิ๋นซีตกลงบนร่างของหลัวเผิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางเห็นหลัวเผิงจดจ่อเพียงร่างคนที่อยู่ในศาลาริมน้ำ ในสายตาของหนุ่มน้อยสดใสยิ่ง ทั้งยังเต็มไปด้วยความตกตะลึงที่ปิดไม่มิด
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า คนผู้นี้มีสติมีเหตุผลยิ่ง อวิ๋นซีคิดในใจ หากซือถูเวยชอบพอบุรุษเช่นนี้เข้าจริงๆ ไม่แน่ในอนาคตอาจต้องพบเจอกับความยากลำบาก บุรุษก็ดี สตรีก็ช่าง บางครั้งการมีสติมีเหตุผลมากเกินไปก็อาจทำให้คนต้องมีชีวิตอยู่ราวกับต้องโทษ
อวิ๋นซีและจวินเหยียนมุ่งหน้าไปยังศาลาริมน้ำ เมื่อเข้าใกล้ บางทีอาจเป็เพราะการปรากฏตัวของคนทั้งสามที่ไปรบกวนคนในศาลาเข้า ทำให้ซือถูเวยที่กำลังร่ายรำอยู่เมื่อได้เห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ไม่ทันระวังจนข้อเท้าพลิก
ฉุนเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าช่วยพยุงร่างคนไว้ ซือถูเวยจึงไม่ได้ล้มลงไปเสียตรงนั้น อวิ๋นซีเองก็รีบเดินเข้าไป จากนั้นก็คุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบอาการที่ข้อเท้าของอีกฝ่าย “เหตุใดจึงไม่ระวังเพียงนั้น แค่ร่ายระบำเองมิใช่หรือ”
ซือถูเวยเบะริมฝีปากน้อย พึมพำเบาๆ “ต้องโทษเ้านั่นแหละ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้พาองค์พระใหญ่เช่นท่านอ๋องมา ทั้งที่เ้าก็รู้ดีว่าหากพระองค์อยู่ด้วย ข้าจะรู้สึกกดดันยิ่ง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงช่วยซือถูเวยนวดข้อเท้าพลางยิ้มพูดกับจวินเหยียน “ท่านอ๋อง เวยเวยบอกว่าเมื่อได้เห็นท่าน นางก็รู้สึกกดดันขึ้นมา เช่นนั้นท่านก็ควรจะพิจารณาตน แล้วหลบเลี่ยงนางสักหน่อยดีหรือไม่”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็เลิกคิ้วมองไปยังซือถูเวย “เ้าเห็นข้าแล้วรู้สึกกดดันอย่างนั้นหรือ? ”
เมื่อซือถูเวยได้ยินคำถามนั้น ในใจก็เกิดหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นว่าอวิ๋นซีอยู่ตรงหน้าตน ชั่วขณะนั้นนางก็ราวกับมีพลังแห่งความกล้าเข้ามาเติมเต็ม จากนั้นจึงพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลสักนิด “หรือท่านอ๋องคิดว่า หม่อมฉันไม่ควรกลัวพระองค์เพคะ? เชื้อพระวงศ์เช่นพวกท่าน หากคิดจะสังหารคน หรือจะตัดหัวใครก็ล้วนทำได้ราวกับคนเ่าั้เป็ผักปลา” นางหวนนึกถึงครั้งแรกที่ตนได้ไปเยือนเมืองหลวง และได้เห็นเหตุการณ์ที่ซื่อจื่อผู้หนึ่งจากจวนอ๋องสังหารคนกลางตลาด หลังจากนั้นเมื่อคนจากทางการมาถึงกลับบอกต่อชาวบ้านเพียงว่าผู้เคราะห์ร้ายเป็โจรเด็ดดอกไม้ [1] ที่สมควรตายแล้ว
ทว่า ในความเป็จริงชายคนนั้นหาใช่โจรเด็ดดอกไม้ที่ว่า เขาเป็เพียงหนุ่มน้อยชาวนาธรรมดาๆ คนหนึ่งที่โชคไม่ดีที่น้องสาวของเขาถูกซื่อจื่อผู้นั้นจับตัวไป เด็กหนุ่มหวังจะไปช่วยน้องสาวตน แต่สุดท้ายกลับถูกซื่อจื่อคนนั้นสังหาร
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่นางอยากเห็นอวิ๋นซีแต่งให้ท่านอ๋องนั้นก็เพียงเพราะนางคิดว่า เพื่อนรักของตนคู่ควรจะได้ชายที่สูงศักดิ์ที่สุดในหานโจว ถึงกระนั้นตัวนางก็ไม่เคยคิดจะไปมาหาสู่กับจวินเหยียนให้มากมายถึงขนาดที่ว่า ต่อให้คนจะอนุญาต ตนก็หวังเพียงว่าในวันหน้าจะไม่ต้องพูดจากับท่านอ๋องให้มากเื่มากความ
จวินเหยียนมองซือถูเวย นับแต่ที่เขาได้รู้จักกับอวิ๋นซี เขาก็ได้สืบเื่คนรอบตัวของอวิ๋นซีไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งยังรวมถึงชีเหนียงคนนั้นด้วย จึงได้พบว่าคนข้างกายของอวิ๋นซีนั้น นอกจากอวิ๋นซานผู้เป็บิดาแล้ว คนที่เหลือล้วนธรรมดายิ่ง ส่วนซือถูเวยผู้นี้ คนเป็สหายผ้าเช็ดหน้าที่เติบโตมาด้วยกันกับอวิ๋นซีั้แ่ยังเล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสตรีทั้งสองย่อมดีมาก
ตามหลักการที่ว่ารักบ้านก็รักรวมไปถึงอีกาที่อยู่บนบ้านด้วย [2] ทำให้จวินเหยียนพอจะทราบว่า ตนเองจะพูดจะทำสิ่งใดเกินไปมิได้ “หากว่าเ้าหวาดกลัวเปิ่นหวาง วันหน้าย่อมสามารถไม่มาที่จวนอ๋องนี้อีกก็ได้”
“หากว่าพระองค์ทรงให้สัญญากับหม่อมฉันเื่หนึ่ง หากหม่อมฉันพูดอันใดผิดไป พระองค์จะไม่ทรงตัดหัวหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่หวาดกลัวพระองค์อีกต่อไปอย่างแน่นอนเพคะ” ซือถูเวยเงยหน้ามองจวินเหยียน พูดอย่างตั้งใจ หากไม่ให้นางมาจวนอ๋องอีกจะเป็ไปได้อย่างไร เพราะนางและอาซีเป็สหายสนิทกัน และหากตนไม่มาจวนอ๋อง หรือวันหน้าจะให้อาซีไปหาตนที่บ้านซือถูแทนเล่า หากเป็เมื่อก่อนนั้นยังนับว่าไม่แปลก แต่ท่านแม่บอกแล้วว่า ยามนี้อาซีแต่งงานแล้ว คนย่อมมีเื่มากมายให้ต้องทำ ดังนั้นนางจะนัดอาซีออกมาบ่อยๆ มิได้
อวิ๋นซีมองจวินเหยียนไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงให้สาวใช้ข้างกายช่วยนวดข้อเท้าให้ซือถูเวยต่อ และในตอนที่นางยืนขึ้น ฉุนเอ๋อร์ก็ใส่ใจยิ่ง สั่งให้คนไปยกน้ำมากะละมังหนึ่งเพื่อให้อวิ๋นซีได้ล้างมือให้สะอาด
อวิ๋นซีนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลาพร้อมกับจูงหวานหว่านมาข้างกาย จากนั้นจึงบอกให้สองพี่น้องตระกูลหลัวนั่งลง นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองซือถูเวย เมื่อได้เห็นสหายตนมีท่าทีเขินอายเสียจนเป็ต้องก้มหน้างุดลงไปแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่
หลัวเผิงมองซือถูเวยไปทีหนึ่ง ทั้งยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า สตรีเบื้องหน้านี้ช่างหาญกล้าเสียจริง คนกล้าพูดเช่นนั้นกับท่านอ๋อง หรือว่านางจะไม่กลัวตาย? อีกทั้ง พระชายายังทรงนวดข้อเท้าให้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งท่านอ๋องเองก็หาได้ถือสาในเื่นี้ไม่ เช่นนั้นสตรีนางนี้เป็ผู้ใดกันแน่?
ทางด้านหลัวซืออวี่ผู้เป็น้องสาวนั้นยังดีหน่อย ทันทีที่นางนั่งลงก็เริ่มสนทนากับอวิ๋นซี แม้ใจลึกๆ จะหวาดกลัวจวินเหยียนเช่นกัน แต่ก็ชัดเจนแก่ใจตนเป็อย่างดีว่า หากมีพระชายาอยู่ด้วย ท่านอ๋องไม่มีทางกริ้วง่ายๆ อย่างแน่นอน ดังนั้น ขอแค่ยามจะพูดจะจาต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นสักหน่อยก็จะเป็การปกป้องชีวิตน้อยๆ ของตนไว้ได้
สาวใช้ช่วยซือถูเวยนวดข้อเท้าอยู่พักหนึ่ง ทว่าจู่ๆ ซือถูเวยก็ลุกยืน ทันทีที่หลัวเผิงเห็นเช่นนั้นก็รีบพูดขึ้นด้วยท่าทีตื่นตระหนก “เมื่อครู่นี้เท้าเ้าพลิก หากตอนนี้ออกแรงลุกยืนก็อาจไม่ดีต่อเท้าของเ้า”
เมื่อซือถูเวยได้ยินก็รีบนั่งลง ทว่า ในตอนที่กำลังจะนั่งลงนั้น นางออกแรงมากไปหน่อย ทำให้เกือบจะหงายล้มไปด้านหลังทั้งร่าง โชคดีที่หลัวเผิงเป็คนรวดเร็ว หูตาว่องไวจึงสามารถประคองร่างซือถูเวยไว้ได้อย่างทันท่วงที “แม่นาง ระวังหน่อย”
ในตอนที่มือััโดนซือถูเวย จู่ๆ ใบหน้าของหลัวเผิงก็แดงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งซือถูเวยนั่งลงอย่างมั่นคงแล้ว เขาจึงรีบเก็บมือตนกลับมา จากนั้นก็พูดขึ้น “ขออภัย ข้ามิได้ตั้งใจ”
ถ้อยคำที่เปล่งออกมาอย่างฉับพลัน ทำให้ซือถูเวยถึงกับหลุดหัวเราะ “ท่านพูดจาตลกเพียงนี้เชียวหรือ? เมื่อครู่ข้ายังคิดจะขอบคุณท่านอยู่เลย แต่เป็ท่านที่ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่าขออภัย”
อวิ๋นซีมองคนทั้งสองสนทนากัน ก่อนจะหันมองไปยังจวินเหยียน จากนั้นก็มองหลัวซืออวี่ แล้วจึงพูดขึ้น “หวานหว่าน เ้าช่วยแม่พาพี่อวี่เอ๋อร์ไปเล่นแถวเรือนฉิ่นเยว่ในเรือนชั้นสี่ก่อน ดีหรือไม่ อากาศบริเวณนั้นค่อนข้างเย็นสบาย”
เมื่อหวานหว่านได้ยินก็ยิ้มพยักหน้า “เ้าค่ะ” เมื่อพูดจบ นางก็ทำหน้าที่เป็เ้าบ้านที่ดีจูงมือหลัวซืออวี่ออกไปนอกศาลา
หลัวเผิงมองแผ่นหลังของน้องสาวตนไปทีหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมามองอวิ๋นซี รีบพูดขึ้น “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ น้องสาวตัวน้อยของกระหม่อมมีนิสัยซุกซน กระหม่อมจึงกังวลว่านางจะ...”
เขายังพูดไม่ทันจบ เป็อวิ๋นซีที่ส่งยิ้มตอบพร้อมส่ายศีรษะ นางพูด “เ้ากังวลมากไปแล้ว ซืออวี่เป็เด็กเฉลียวฉลาดยิ่ง นับว่าไม่เลวจริงๆ”
เมื่อนางพูดจบก็มีสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง พระชายาเพคะ พ่อบ้านแจ้งว่ามีเื่ด่วนที่ไม่อาจรอได้จึงอยากจะขอเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ ทั้งยัง้าให้พวกท่านรีบไปเพคะ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โจรเด็ดดอกไม้(采花大盗)หมายถึง โจรที่ข่มขืนลวนลามผู้หญิง
[2] รักบ้านก็รักรวมไปถึงอีกาที่อยู่บนบ้านด้วย(爱屋及乌)หมายถึง เมื่อรักใครแล้วก็จะรักสิ่งหรือคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นไปด้วย
