บทที่ 71 ฝ่ามือัพเนจรและสัตว์ปีศาจที่ถูกกักขัง
ค่ำคืนมืดมิดไร้ดวงดาว พระจันทร์เย็นเฉียบราวน้ำค้างแข็ง
ที่ลานกว้างของโรงเตี๊ยม ร่างของฉู่อวิ๋นะโไปมาระหว่างกำแพงกั้นลาน การเคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่หยุดพักราวกับฟ้าร้อง ก้าวเท้ารวดเร็วจนผู้คนไม่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เมื่อะโขึ้นไปกลางอากาศ ทั้งตัวก็คล้ายนกที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยมีเงาฝ่าเท้าซ้อนทับกัน ทั้งงดงามและอันตราย
นี่คือผลจากการฝึกก้าวเงาบิน นอกเหนือจากการเพิ่มความเร็วแล้ว ยังสามารถใช้ก้าวเงามาสร้างภาพลวงตา ทำให้ศัตรูสับสนเมื่อเผชิญหน้ากันได้
เมื่อพลังปราณหมดลง ฉู่อวิ๋นก็หยุดเคลื่อนไหว ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก และพักนั่งขัดสมาธิบนพื้นพร้อมร่างกายที่เหงื่อท่วมตัว
สำหรับฉู่อวิ๋น แม้ว่าก้าวเงาบินนั้นยากกว่าทักษะกระบี่ แต่หลังจากฝึกฝนต่อเนื่องสองสามชั่วยาม ควบคู่ไปกับความเร็วของการดูดซับพลังจิติญญาที่น่าอัศจรรย์ของิญญายุทธ์กระบี่บาป์ ตอนนี้เขาก็เชี่ยวชาญทักษะการเคลื่อนไหวนี้ในระดับเริ่มต้นแล้ว
“ฟู่ว... พลังปราณเต็มแล้ว! เอาล่ะ ก้าวเงาบินข้าก็ฝึกได้ไม่แย่แล้ว ถ้าต้องฝึกมากกว่านี้ก็คงต้องใช้เวลา เช่นนั้นฝึก ‘ฝ่ามือัพเนจร’ ก่อนดีกว่า”
ฉู่อวิ๋นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากด้วยแขนเสื้อแล้วหยิบคัมภีร์วิชายุทธ์อีกเล่มออกมาจากวงแหวนอวกาศ
ความจริงแล้ว เดิมทีฉู่อวิ๋นวางแผนที่จะระดมพลังปราณปรับสภาพิัและกล้ามเนื้อของเขา และฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อ
แต่เขาเพิ่งทะลวงผ่านระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณมา หากไม่อยู่ในระดับนี้ไปสักระยะ รากฐานเขาอาจไม่มั่นคง พลังต่อสู้ลดลง ณ ตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็ฟองน้ำที่พอระเหยเป็ไอ ก็กลับกลายสู่สภาพเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีอาวุธ์ สมบัติทางโลก หรือยาเม็ดกลั่นหลอมให้ใช้ ด้วยความเร็วในตอนนี้ของฉู่อวิ๋น ่เวลาสั้นๆ นี้ เขาอาจจะไม่ได้พัฒนาไปมากเท่าใดนัก
ดังนั้น หาก้าปรับปรุงพลังยุทธ์ การศึกษาทักษะวิชายุทธ์ให้มากขึ้นเป็วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ทว่า ไม่นานหลังจากที่เขาเริ่มเข้าใจ "ฝ่ามือัพเนจร" เปลือกตาอันหนักอึ้งของฉู่อวิ๋นก็เริ่มปิดลง ภาพตรงหน้าพร่ามัวเล็กน้อย
“ง่วงจังเลย...” ฉู่อวิ๋นหาววอดและยกมือมาขยี้ตา
แม้ว่าเขาจะมีนิสัยเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้ แต่หลังจากเจอกับปัญหาในลานตะวันตก บุกประตูเมือง จากนั้นก็เดินป่ามาถึงหมู่บ้านหงอู้ จนกระทั่งฝึกฝนทักษะวิชายุทธ์ ตอนนี้เขาเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
“ไปนอนพักก่อนดีกว่า” ฉู่อวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองไปที่ห้องรับแขกบนชั้นสอง สายตาเหลือบไปเห็นประตูที่มีรูลูกศร รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “แต่ซินเอ๋อร์คงจะนอนแล้วกระมัง ข้าไม่รบกวนนางดีกว่า”
ห้องนั้นมีเพียงเตียงเดียว แม้ว่ามู่หรงซินจะมีเสน่ห์เหนือแม่นางน้อยทั่วไป แต่ฉู่อวิ๋นก็ไม่้าลักหยกขโมยบุปผา
“เฮ้อ ตอนนี้พี่หญิงจะนอนหลับสบายหรือไม่นะ?”
ฉู่อวิ๋นคิดถึงฉู่ซินเหยาที่อยู่ห่างไกล ดวงตาของเขามืดลง รู้สึกเป็กังวล
ยามนี้ เขานั่งเงียบๆ บนพื้น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันกว้างใหญ่ ดวงตาสั่นระริก ริมฝีปากเม้มแน่น และนั่งเงียบอยู่นาน
ไม่นาน ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง สติพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ คล้ายเม็ดทรายที่ลอดร่วงลงไประหว่างร่องนิ้ว ไม่นานก็ถึงวันใหม่อีกครั้ง
“ฟิ้ว!”
ในลานเล็กๆ ที่ทรุดโทรม มีเสียงลมพัดเป็ครั้งคราว ฟังคล้ายเสียงัคำราม ทว่ากลับดูอ่อนแรง แต่ในบางครั้งกลับแข็งแกร่งขึ้นมาราวกับว่าัหมอบกำลังตื่นขึ้น
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!”
มองเห็นเงาฝ่ามือสีเหลืองอ่อนชุดหนึ่งถูกฟาดออกไป ฝ่ามือดูเหมือนัแต่ก็ไม่ใช่ั คล้ายว่ายังขาดความรุนแรงอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พลังของฝ่ามือแต่ละครั้งก็ไม่อาจมองข้ามได้
นี่คือฝ่ามือัพเนจรที่ฉู่อวิ๋นเริ่มฝึกั้แ่ดวงอาทิตย์ขึ้น
หลังจากนอนหลับเต็มอิ่ม ฉู่อวิ๋นก็เต็มไปด้วยพลัง ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เขาใช้พลังเพียงครึ่งเดียวก็ได้ผลลัพธ์จากการฝึกกลับมาเป็สองเท่า ในที่สุดตอนเที่ยงวัน เขาก็เข้าใจฝ่ามือัพเนจรแล้ว
“ฝ่ามือัพเนจร สมกับเป็ทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับสูงจริงๆ แม้จะฝึกหนักเพียงนี้แล้วแต่ก็ยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ ข้าควบแน่นแสงฝ่ามือัยังไม่ได้ด้วยซ้ำ” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ
ฝ่ามือัพเนจร มีกระบวนท่าฝ่ามือสามท่า ท่าหนึ่งแข็งแกร่งกว่าอีกท่าหนึ่ง ท่าหนึ่งสง่างามกว่าอีกท่าหนึ่ง
ท่าแรก ัหมอบเคลื่อนภพ ควบแน่นแสงจากฝ่ามือให้เป็รูปัด้วยพลังอันมหาศาลและพลังปราณที่พลุ่งพล่าน
ท่าที่สอง ัคลั่งโจนสมุทร แสงฝ่ามือเคลื่อนไหวเหมือนัเล่นน้ำ สง่างามและดุร้าย พร้อมกลิ่นอายของพลังเสียงคำรามของั
ท่าที่สาม เก้าัเขย่านภา ด้วยการรวมผนึกฝ่ามือัทั้งเก้าเข้าด้วยกัน พลังจึงใกล้เคียงกับทักษะยุทธ์ขั้นกลางระดับิญญา
แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุด คือฝ่ามือัพเนจรไม่เปลืองพลังปราณมากนัก แม้ว่าจะฝึกถึงท่าที่สาม แต่ปริมาณพลังปราณที่ใช้นั้นต่ำมากและยังใช้ได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับฉู่อวิ๋น นี่เป็ทักษะยุทธ์เสริมที่ยอดเยี่ยม
ทว่า ฝ่ามือัพเนจรเป็ทักษะยุทธ์ระดับสูง ย่อมยากจะฝึกฝน จนถึงตอนนี้ ความคืบหน้าของฉู่อวิ๋นยังไม่ถือเป็ระดับเริ่มต้นด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนว่าการที่ข้าเข้าใจสองกระบวนท่าสุดท้ายของวิชากระบี่ดาวตกได้เร็ว คงจะเป็โชคดี” ฉู่อวิ๋นส่ายหัวเบาๆ และยิ้มอย่างขมขื่น
เหตุผลที่ครั้งที่แล้วเขาสามารถเรียนรู้ทักษะวิชากระบี่ระดับสูงทางจิติญญาทั้งสองนี้ในชั่วข้ามคืน ก็เพราะว่าฉู่อวิ๋นค่อนข้างคุ้นเคยกับวิชากระบี่ดาวตกอยู่แล้ว ฝึกฝนมันมาเป็เวลานาน ทั้งเขายังบรรลุถึงจิตไหวกระบี่ได้แล้วด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะฝึกทักษะการใช้ฝ่ามือที่ไม่คุ้นเคยได้ยากสักหน่อย
“ตามคาด การฝึกยุทธ์ไม่สามารถบรรลุได้ในชั่วข้ามคืน ข้ายังต้องพยายามต่อ!”
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!”
ฉู่อวิ๋นสูดหายใจเข้ายาวๆ ดวงตาหรี่ลง และยกฝ่ามืออีกหลายครั้ง พลังปราณของเขาสั่นไหวและค่อนข้างทรงพลัง
ในเวลานี้ พระอาทิตย์กำลังขึ้น ดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า นักรบกลุ่มัเหล็กค่อยๆ ลุกขึ้นหาวพลางเดินออกจากห้อง แต่ทันทีที่เข้ามาบริเวณทางเดินก็ได้ยินเสียง “ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!” ของลม
พวกเขาเดินไปสองสามก้าวแล้วมองลงไป และเห็นร่างของฉู่อวิ๋นที่กำลังฝึกฝนอยู่ที่ลานบ้าน โดยมีฝ่ามือสีเหลืองอ่อนเต็มท้องฟ้า
“นี่! เ้าหนู ตื่นเช้านี่หว่า? กำลังวังชาดีเสียจริง เมื่อคืนส่งเสียงดังเสียขนาดนั้น” เมิ่งซานโบกมือล้อเลียนฉู๋อวิ๋น
“ใช่แล้ว เล่นเอาประตูพังไปเลย!” เฟิงเยี่ยนนำผลผิงกั่วมาอีกลูกจากที่ใดไม่รู้ กัดเคี้ยวแล้วพูดติดตลก
เมื่อได้ยินดังนั้น นักรบทุกคนก็หัวเราะร่า โดยคิดว่าฉู๋อวิ๋นเต็มไปด้วยพลังจริงๆ
“อรุณสวัสดิ์” แม้ว่าฉู๋อวิ๋นจะไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร แต่ก็ยังทักทายพวกเขาอย่างสุภาพและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เมื่อคืนข้าบังเอิญพังประตูไป คราวหน้าข้าจะระวังนะ”
การเคลื่อนไหวของลูกศรพลังปราณของมู่หรงซิรุนแรงมากจริงๆ ฉู่อวิ๋นตอบกลับอย่างสงบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งท่าทางยังปกติมาก
แต่คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก ตกตะลึง เสียงวิ้งดังลั่นอยู่ในสมอง และพวกเขาก็แอบชื่นชมเขา
“ว้าว จอมยุทธ์ฉู่ ยอดเยี่ยมมาก!”
“สมกับที่เป็จอมยุทธ์หนุ่มฉู่ เราต้องเรียนรู้จากเขา!”
เหลือเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนออกเดินทาง ฉู่อวิ๋นวางแผนที่จะฝึกยุทธ์ต่อไปในลาน แต่ใน่บ่าย เขากลับถูกมู่หรงซินบังคับให้ออกจากโรงเตี๊ยมเถาเป่า[1] ลากไปที่ลานจัตุรัส
เดิมทีฉู่อวิ๋นคิดจะปฏิเสธ แต่ประการแรก ฝ่ามือัพเนจรยากจะคืบหน้า ประการที่สอง เขารู้สึกขอบคุณมู่หรงซิน ดังนั้นจึงทำตามความปรารถนาของนาง ท้ายที่สุดแล้ว การจะให้หญิงงามเดินคนเดียวในที่ทางเช่นนี้ย่อมไม่ปลอดภัยนัก
แต่ระหว่างทาง ใบหน้าของมู่หรงซินดูสับสน จ้องมองที่ฉู่อวิ๋นอย่างสงสัยและถามว่า “นี่ เ้าพูดอะไรกับคนในกลุ่มัเหล็กหรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงมองข้าแปลกๆ ?”
“ข้าแค่บอกว่าทักษะการยิงธนูของเ้าดีมากจนพังประตู... ความจริงข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนชื่นชมข้าอยู่ตลอดเหมือนกัน” ฉู่อวิ๋นดูหมดหนทาง รู้สึกว่าผู้คนัเหล็กกลุ่มนี้แปลกจริงๆ
“ถ้าข้ารู้ว่าเ้าพูดจาแย่ๆ เกี่ยวกับข้า ข้าจะเอาลูกศรปักอกเ้า!” มู่หรงซินทำท่าทางชักธนู พูดขู่แล้วก้าวไปข้างหน้า ทำให้ฉู่อวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหน้าเบาๆ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงลานจัตุรัสที่มีผู้คนพลุกพล่านอีกครั้ง
วันนี้ที่ลานจัตุรัสมีคนเยอะมาก เห็นได้ชัดว่าเพราะป่าสีเืถูกปิด ไม่สามารถผ่านไปได้ หมู่บ้านหงอู้จึงมีคนมามากขึ้นเรื่อยๆ
และความนิยมอย่างล้นหลามนี้ ย่อมทำให้เหล่าพ่อค้าทำงานหนักขึ้น ะโขาย ะโบอกราคา และแม้แต่นักล่าบางคนที่ไม่ค่อยพบเห็นในวันธรรมดาก็ออกมาขายสัตว์ป่า
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา! สัตว์แห่งลม สัตว์ปีศาจระดับห้า เป็สัตว์พาหนะที่จำต้องมีสำหรับเดินทางกลับบ้าน! ตัวหนึ่งราคาเพียงห้าพันเหรียญทองเท่านั้น นักรบทุกท่านรีบเร่เข้ามา!”
“สุนัขงาช้างระดับสาม คู่ควรแก่การของท่าน! กันโจร กันขโมย กันภัยร้าย รับรองว่าจะไม่มีพวกนิสัยเสียอยู่ในบ้าน แต่ละตัวราคาสามพันเหรียญทอง มีขนหลายสีและผิวััสวยงาม ท่านสามารถเลือกได้เลย!”
“อยากปลดปล่อยสองมือที่ต้องลากเกวียนแล้วหาสัตว์ปีศาจไปแทนหรือ? เร่เข้ามาเลย สัตว์ปีศาจระดับเจ็ดของข้า วัวเขียวสี่เขา! รับประกันว่าสามารถรองรับผู้แข็งแกร่งได้สิบคน และยังสามารถปกป้องเ้าของในยามอันตรายได้ด้วย! ราคาเพียงแปดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเหรียญทอง ห้ามต่อราคา!”
เมื่อเดินไปที่บริเวณขายสัตว์ปีศาจ เสียงเรียกร้องทุกชนิดจากทั่วทุกมุมก็ดังเข้ามากระแทกโสตประสาท
“มอ--”
“ฟ่อ--”
ในเวลาเดียวกัน สัตว์ปีศาจที่ถูกล่ามโซ่ก็ส่งเสียงไม่พอใจ บางสายพันธุ์ก็มีดวงตาที่โกรธแค้น ราวกับ้าหลบหนี
แต่หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง พวกมันก็ถูกนักล่าที่โหดร้ายเฆี่ยนด้วยแส้ ทำให้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเ็ป น่าสงสารมาก
“อ๊ะ! สัตว์ปีศาจพวกนี้น่าสงสารจังเลย! พ่อค้าสัตว์ปีศาจของเราในเมืองไป๋หยางยังไม่รุนแรงเท่านี้!” มู่หรงซินอดไม่รู้สึกสงสารไม่ได้เมื่อเห็นสัตว์แห่งลมคร่ำครวญกรีดร้องหลังจากถูกนักล่าทุบตี มันนอนอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา
“เมืองไป๋หยางค่อนข้างมีอารยธรรม และนักล่าก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นมานานแล้ว แต่ที่นี่ผู้คนล่าสัตว์ด้วยตัวเอง คุณภาพก็ย่อมแตกต่างกันไป คงหลีกเลี่ยงไม่ได้” แม้ว่าฉู่อวิ๋นจะเข้าใจความเป็จริง แต่เขาก็ยังทนไม่ได้และส่ายหัวเบาๆ
“ว้าว สัตว์น้อยตัวนี้น่ารักมาก!”
“เอาล่ะ มาเลย ะโ ะโ!”
“ฮ่าๆๆ ทำไมเ้าถึงดูโง่ขนาดนี้? ดูอ่อนแอมากเลย!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังโหวกเหวกมาแต่ไกล ฉู่อวิ๋นเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันตรงหน้าเขา พวกเขาส่งเสียงดัง ดูเหมือนกำลังดูอะไรบางอย่างอยู่
“พวกเราไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกัน” ฉู่อวิ๋นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาคว้ามู่หรงซินแล้วเดินผ่านฝูงชน จากนั้นจ้องมองไปที่ศูนย์กลางความสนใจของทุกคน
บนที่โล่งมีก้อนขนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เล็กกว่าฝ่ามือ ถูกล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ ั์ตาโตวาววับ สีหน้าเศร้าหมองและโศกเศร้า เต็มไปด้วยน้ำตา เผยให้เห็นแววตาที่หวาดกลัว
มันดูอ่อนแอมากแต่ก็ยังถูกทุกคนบังคับให้ะโ แม้แต่ขนปุกปุยสีเหลืองอ่อนก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น น่าสงสารมาก
“เ้า... ก้อนขนตัวน้อย?!” ฉู่อวิ๋นจำสัตว์ปีศาจตัวน้อยนี้ได้ทันที หลังจากชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว
----------
[1] เลียงเสียนมาจากเว็บขายสินค้าชื่อดังของประเทศจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้