คำโปรย
ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า
----------------
“คุณอยู่ไม่ห่าง...เท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะไปส่งเอง...” ชายหนุ่มจ้องแววตาสีน้ำตาลใสกลมโตดุจแก้วตาเสือที่เห็นซี่เล็กๆ อยู่รอบขอบตาดำด้านนอกที่โตเกือบเต็มจอ
ชายหนุ่มไม่ละสายตายังจดจ้องแววตาคู่นั้น แต่ใจกลับจมไปกับภาพเก่าๆ ของอดีตคนรักที่โผล่ขึ้นมาราวกับว่าเธอยังไม่จากเขาไปไหน พิมพ์ชญาชอบเปลี่ยนสีแก้วตาด้วยการใช้คอนแทคเลนส์ สี dolla brown ที่เธอชื่นชอบมักถูกสั่งซื้อโดยฝากชายหนุ่มสั่งจากเพื่อนที่เมืองไทยส่งมาให้อยู่เป็ประจำ
“อะ...เออ คุณใส่คอนแทคเลนส์รึ” บุรณีถลึงตาใส่ชายหนุ่ม
แต่ตอนนี้เธอเห็นแววตาที่กร้าวมาตลอดจากที่เกิดเหตุจนถึงที่นี่ มันเริ่มฉายแววอบอุ่นที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในออกมา
“โอ๊ย...จะบ้าตาย นายนี่...หัดรู้กาลเทศะบ้าง...ก็ดีนะ” บุรณีสั่งสอนเขาเหมือนเป็น้องชาย
“เอาล่ะ...จะออกกันกี่โมงดี” เขาเปลี่ยนเื่ทันควัน ไม่อยากต่อคำกับเธอ ซึ่งท่าทางและคำพูดคำจาบอกเลยว่า เธอไม่ใช่สาวน้อยกุ๊กกิ๊กที่จะมาล้อเล่น ยิ่งสายตาที่สาดใส่ตอนเขามองท่าทีเธอตอกกลับขณะอยู่ในรถ...ประหนึ่งเสือชีต้าเพรียวลมพร้อมกระโจนขย้ำคอเขาได้...เธอแตกต่างจากพิมพ์ชญา ที่ทั้งดุทั้งสั่งสอนราวกับคุรุ
“Dottore หมอสั่งให้ฉันนอนพักสักชั่วโมงนึง...”
“โทรบอกที่บ้าน...ก่อนดีไหม”
“Mamma mia …โอ๊ย แม่เ้า...ฉันสายมากจริงๆ” บุรณีอุทาน ลืมไปว่าตอนนี้มันเกือบสี่โมง ถ้าขืนพักอีกหนึ่งชั่วโมง เธอจะกลับถึงบ้านเกือบหนึ่งทุ่ม
“มือถือฉัน มันคงตกอยู่ที่ร้านนั่น...” หญิงสาวทำตาโตหวาดผวา ใจสั่น...มือไม้รีบควานหา แต่มันคืออากาศธาตุรอบเตียงคนไข้ กระเป๋าถือหายไปจากห้วงจิตสำนึกตอนไหนบุรณีปะติดปะต่อภาพจิกซอนั้นไม่ได้เลย สมาธิที่ควบคุมจิตมันเตลิดกระเจิดกระเจิงไป่ที่เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
“อย่ากลับไปอีก ผมเตือน... จำไว้ด้วยล่ะ!!!” ชายหนุ่มกระชากเสียงหนักลงท้าย
“โห...สั่ง อย่าง...ฉันนี่!!!...จะเชื่อเหอะ รู้ไหมชั้นในแบรนด์แบบนั้น ฉันฝันมาเป็ชาติ หลายปีดูแต่ภาพจากเว็บ...เก็บเงินกว่าจะซื้อได้...” บุรณีเสียงเบาหงอยๆ ตอนประโยคลงท้าย
“La Perla แค่ ลา เพอร์ลา ...จะหามาให้” น้ำเสียงห้วนๆ ทำบุรณีค้อนขวับ เธอคิดว่าหนุ่มคนนี้พื้นฐานธรรมชาติไม่น่าใช่คนก้าวร้าวอะไรมากมาย ดูมาดแล้วเขาน่าจะอบอุ่นมากกว่าเ็าไร้หัวใจเช่นที่แสดงออกมา
“ไปเถอะ... หมอจี คงติดคนไข้หลายคน ดีโนก็อาการสาหัส...เฮ้อ” ชายหนุ่มหมายถึง Dott. Gino ดอตตอร์ จีโน เพื่อนของเขาที่ยังวุ่นวายกับอาการของหนุ่มที่เคราะห์ร้ายคนนั้น
ขณะที่รอหญิงสาวตามมาขึ้นรถพันธ์ศักดิ์ค้นหาตำแหน่งบ้านของบุรณีจากในแผน
ที่ตรงจอหน้าแผงคอนโซลในรถแวนสีดำกันะุคันที่ขับมา
“โอ๊ย... พรึ้บบ...” มีเสียงร้องดังขณะหญิงสาวกำลังลุกขึ้นอย่างโซเซ...ตามด้วยเสียงก้นกระแทกกลับนั่งลงไปบนรถเข็นอีกครั้ง บุรุษผิวเข้มที่ทำหน้าที่เข็นรถมาส่งคว้าเธอไว้เกือบไม่ทัน
“เอ้า...เป็อะไรนั่น” ชายหนุ่มเดินกลับมาดูหน้าตายู่ยี่แดงก่ำของบุรณี เธอร้องครางเพิ่งมารู้ตัวเพราะข้อเท้าซ้ายที่พลิกตอนวิ่งหนีออกมา ขณะนี้น่าจะเริ่มระบม
เขาเอามือไปจับข้อเท้าของหญิงสาวเห็นมันบวมแดงโตเท่าลูกมะนาว ฝ่ามือที่กำลังลูบคลึงยิ่งทำให้เธอร้องโอยและเบี่ยงหนีทำให้หัวเข่าของเธอเด้งไปกระแทกโดนโหนกแก้มของเขาจนได้ พันธ์ศักดิ์ทั้งอายทั้งโกรธ แต่เห็นหนุ่มผู้ช่วยพยาบาลมองยิ้มๆ เหมือนเขาเป็ตัวตลก ชายหนุ่มจึงเอ่ยกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองแบบเขินๆ
“เดี๋ยวผม...อุ้มเธอไปที่รถเอง”
“เฮ้ย...ฉันเดินเองได้...” บุรณีหันไปพูดอิตาเลียนขอร้องให้หนุ่มผิวเข้มช่วยพยุงเธอไปที่รถ แต่พันธ์ศักดิ์รีบเข้ามาคว้าเอวเธอแล้วเอามือช้อนใต้ขาทั้งสองข้างอุ้มเธอ เดินฉับฉับไปที่รถ จากนั้นก็โยนเธอลงไปด้านหลังที่เขาเปิดประตูรอไว้แล้ว
“เอ้า...Signora คุณนาย เชิญนอนตามสบาย” เขาทำหน้ามุ่ยเปิดประตูคนขับแล้วกดคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วราวพายุ
“แล้วยาแก้ปวด แก้อักเสบมีไหม...” ชายหนุ่มเริ่มนึกขึ้นได้ขณะขับมาเกือบครึ่งทาง
ก่อนถึงบ้านเธอแถวหมู่บ้านในโมนิโตลา
“คงมีอยู่ล่ะ...ไม่ลำบากนายหรอก” บุรณีพูดเบาๆ เธอถอนหายใจนึกย้อนว่าทำไมถึงได้เฉยไม่บอกหมอว่ามีอาการเจ็บตรงไหน ได้แต่ส่ายหน้าตอนที่ผู้ช่วยพยาบาลถามอาการต่างๆ เธอกลับไม่รู้สึกว่าข้อเท้ามีปัญหา คงด้วยอาการช็อกและพิษระบมของกล้ามเนื้อยังไม่เริ่มแสดงอาการ
“ทำไม...คุณถึงไม่เป็อะไรเลย ะุไม่เฉียดผิว...แปลกพิลึก” ชายหนุ่มเอ่ยถามลอยๆ แต่เหลือบมองดูหน้าหญิงสาวคนนี้จากกระจกหลังว่าเธอจะตอบเขาอย่างไร
“คงมีพระดีมั๊ง...”
“ฮ่ะ...อ่า มีของดีนี่เอง” ชายหนุ่มเหลือบดูกระจกอีกครั้ง จ้องประกายแววตาที่สะท้อนออกมาซึ่งเธอน่าจะเชื่อมั่นศรัทธาอะไรบางอย่าง
“ผมไม่เห็นคุณห้อยพระอะไร...” พันธ์ศักดิ์นึกสงสัย เพราะตอนที่อยู่ในห้องลองเสื้อที่ร้าน ไม่เห็นเธอสวมสร้อยคอ
“ฉันท่องคาถา...น่ะ”
“เหรอ...ครับบบ คาถาอะไร ขอเอาไปท่องมั่ง” ชายหนุ่มหยอกเล่นไปอย่างนั้น
“ขอพระเ้าผ่านนักบุญ...นะ” หญิงสาวตอบเฉยๆ ไม่คิดว่าจะกลายเป็เื่จริงจังสำหรับชายหนุ่ม
“คุณเป็คาทอลิก???!!!” เขาเอ่ยไม่เชิงยิงคำถาม เพราะเขาเองไม่ค่อยนับถือศาสนาจริงจัง จะกลับไปบวชก็ยังรีๆ รอๆ
“จะ...ยังไงดีล่ะ” บุรณีไม่อยากสาธยายเพราะความเชื่อของเธอยืดยาว
“ต้องคิด...แล้วค่อยมาบอกก็ได้นะ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”
“ไปไหน...ฉันมีธุระต้องจัดการ”
“ไปซื้อของที่อยากได้...ชุดชั้นในไง...” เขาพูดสั้นๆ ขณะจอดรถใต้ต้นไม้หน้าบ้านแล้วกำลังเปิดประตูด้านหลัง
“มา...ผมอุ้มคุณไปส่งหน้าประตู กินข้าวเยอะกว่านี้หน่อยก็ดี ตัวเบาโหวง” ชาย
หนุ่มส่งแววตากรุ้มกริ่ม
“เออ...เออ...จะมารับกี่โมง” บุรณีหน้าแดงเปลี่ยนเื่
“สิบโมงดีไหม...เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผม...พันธ์ศักดิ์ เรียก ‘พัน’ หรือ แพนด้าก็ได้ ถ้าชอบกอดหมี” เขารีรอเพื่อฟังว่าเธอชื่ออะไร
“บุรณี...เรียก ‘ลาร่า’ (Lara) ตามแม่สามีฉันล่ะกัน”
“ดูไม่ร่าเริง...เหมือนชื่อเลยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วเดินกลับไปที่รถ ก่อนจะขึ้นรถสตาร์ทก็ยังหันหลังกลับมาทำท่า ‘บายบาย’ ทำเอาเธออมยิ้มหน้าแดง
----------------
รุ่งขึ้นพันธ์ศักดิ์มารอรับบุรณีที่หน้าบ้านก่อนสิบโมงเล็กน้อย เขาเดินเกร่ไปมาชมความงดงามของบรรยากาศแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง บริเวณโดยรอบใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวค่อยกลายเป็สีเหลือง บางต้นเริ่มเป็สีน้ำตาลจางๆ เขามองไปยังเนินเขาลูกเตี้ยๆ ไล่เรียงเลยออกไป สีน้ำตาลอมฟ้าหม่นเทาคราพระอาทิตย์ยังไม่สูงเลยจากขอบฟ้าไปจรดเมฆ ช่างเหมือนภาพสีน้ำแต่งแต้มของพวกศิลปินโบราณ
แม่สามีได้ยินเสียงกดกริ่งจึงเดินออกมาเปิดประตู และยิ้มทักทาย Ciao Ciao สวัสดีชายหนุ่มเป็ภาษาอิตาเลียน นางหันกลับไปเพื่อส่งเสียงบอกหญิงสาวว่ามีคนมาหา พันธ์ศักดิ์ฟังภาษาที่นี่ไม่ค่อยรู้เื่ เขาอยู่ยังไม่นานและไม่อยากเรียนรู้สักเท่าไหร่ เื่ภาษาเป็อะไรที่น่าเบื่อสำหรับชายหนุ่ม เขานึกถึงคำพูดของอดีตคนรัก
“ศรัทธาด้วยหัวใจ ไยฤา...มิไขว่คว้า” พิมพ์ชญาเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบอ่านและ
แปลให้เขาฟังด้วยคำที่กลั่นกรองอย่างสวยงาม ปรัชญาเ่าั้สื่อถึงจิติญญาของคนเรา เธอบอกเขาว่า ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรเราต้องเชื่อและศรัทธาก่อน จากนั้นมันจะไขว่คว้าไปให้ถึงจนได้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับภาษาเนี่ย” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด
“เอ้า...ก็เชื่อว่าทำได้ พูดได้ ก็เป็เองแหละ” อดีตคนรักมองหน้าเขาอย่างขำขำ
จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สนใจที่จะเรียนรู้กับมัน พูดแบบงูๆ ปลาๆ ภาษานี้มันมีเพศชายเพศหญิง ดูตลกสิ้นดี สิ่งของอะไรต่างๆ ต้องจำเพศไม่อย่างนั้นก็ใช้ไม่ถูก ยุ่งยากสำหรับเขามาก หมอจีเคยบอกเขาติดตลกว่า เวลานึกเพศไม่ออกก็ใช้มั่วๆ ไป ขนาดคนที่นี่ก็พูดผิดๆ ถูกๆ ภาษาเขียนนี่ยากมากสำหรับชายหนุ่ม เขามาเรียนหลักสูตรนี้ก็เพราะมันเป็ภาษาอังกฤษ ซึ่งจริงๆ เขาเองก็ไม่เคยเป็นักเรียนนอกจะมาใช้ภาษาหรูหราอะไรได้
บุรณีเดินขากะเผลกๆ เปิดประตูหลัง แต่ชายหนุ่มเปิดประตูข้างคนขับให้เธอนั่งข้าง
“อย่ามากเื่ วันนี้ไม่ใช่คุณนาย”
“ได้...เราจะไปไหนกัน ร้านเดิมคงไม่ได้แล้ว”
“ไม่หรอก ผมจะพาไปห้องเสื้อที่ผมออกแบบให้” บุรณีมองหน้าชายหนุ่มอย่างงุนงง คำตอบของเขาทำให้เธอประหลาดใจมาก
“ทำไม...คนอย่างผมทำพวกนี้...ไม่ได้รึ” เขาพูดขึ้นขณะขับรถออกไป
“ปะ...เปล่า...ฉันแค่...มองว่า นายน่าจะเป็นักฆ่ามากกว่านักออกแบบ”
บุรณีหันไปมองด้านข้างเห็นเขาขบกรามจนแก้มนูน คำพูดเธอคงจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวจากเมื่อวานทวีขึ้น
“ว่ามา...คุณเป็คริสตัง???” เขาเปลี่ยนเื่ทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์
“เปล๊า...” เธอตอบเสียงสูงกวนๆ
“เอ้า...แล้วไง”
“...แม่ฉันเป็คนลาวมาแต่งงานกับพ่อที่เป็ลูกครึ่งฝรั่งเศส-ไทยที่หนองคาย ฉันเลยเหมือนลูกผสม นับถือทุกอย่างที่บ้านบอกว่าดี” เธอหวนนึกถึงภาพครั้งเป็เด็กหน้าตาลูกเสี้ยวผสมนิดผสมหน่อย จนญาติพี่น้องบอกว่าไม่เลวนัก
“มิน่าล่ะ...หน้าตาเข้าท่า...ออกแนวๆ คนที่นี้”
“ใช่ คนที่นี่...ว่าฉันเป็ลูกครึ่งอิตาเลียน”
“ท่องคาถาอะไรเมื่อวาน” ชายหนุ่มรู้สึกสนใจเื่นี้เป็พิเศษ
“นึกถึงนักบุญโยเซฟเวลามีภัยอะไร และ...” พันธ์ศักดิ์พูดแทรกขณะที่เธอพูดยังไม่ทันจบ
“โอ๊ะ...โอ... แล้ววันนั้นคุณนึกถึงท่านเหรอ”
“ไม่เลย...ช็อก...จนขี้กระจายขึ้นสมอง”
พันธ์ศักดิ์ะเิหัวเราะเสียงดังกลบเพลงเบาๆ ที่กำลังเปิดคลออยู่ในรถ
“บ้า...ทำฉันใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม...หายใจไม่ทั่วท้อง”
“ไม่จริง...คุณทำผมใจสั่นวาบหวิวมากกว่า...” เขาอมยิ้มกริ่มตาหวานเยิ้มเมื่อนึกถึงกลิ่นลมหายใจและเสียงรัญจวนออกจากริมฝีปากของเธอเมื่อวันวาน
“ประสาท...Merde” บุรณีด่าเป็คำอิตาเลียน
“ผมว่า...เรากำลังถูกตาม!!!” เสียงเตือนของชายหนุ่มทำลายความเงียบ ใจเธอเต้นตูมตามแทบะเิจนคนข้างๆ น่าจะได้ยิน
“Mamma mia …โอ...แม่เ้า” หญิงสาวยกมือทำเครื่องหมายกางเขน พระบิดา พระบุตร พระจิต (Sign of the Cross)
ทันใด...ระบบเสียงสั่งการ ดังพร้อมสัญญาณ
“เปิดเกราะกันะุควอนตัม”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้