ในที่สุดถุงสัมภาระขนาดใหญ่สองถุงก็ถูกวางลงบนโต๊ะหิน เสี่ยวหมี่กลัวว่าหลี่หลินนายบ่าวจะคิดมาก จึงรีบอธิบาย “นี่คือน้องชายข้าเอง ปกติก็เป็จะกละ ขายหน้าพวกท่านแล้ว”
พูดจบ นางก็เปิดถุงออกหยิบห่ออะไรบางอย่างห่อหนึ่งออกมาส่งให้เด็กรับใช้คนนั้น
“พี่รองข้ากำชับมาอย่างดีว่าให้มอบสิ่งนี้ให้พี่ชาย เขาบอกว่าท่านชอบกินสิ่งนี้”
“โอ้ มีของข้าด้วยหรือ?” เด็กรับใช้ดีใจมาก รีบรับมาทันที เขาะโว่า “คุณชายรองลู่มีน้ำใจยิ่งนัก แต่ข้าเองก็เช่นเดียวกัน ข้าตั้งใจโน้มน้าวนายท่านอย่างดีให้จัดการเ้าที่ปรึกษากับเ้าเมืองสารเลวคนนั้น”
หลี่หลินดีดหน้าผากเขาไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงมองถุงสัมภาระตรงหน้า มีแต่ของกินทั้งสิ้น แน่นอนว่าย่อมไม่ผิดกฎแต่อย่างใด แต่มีไหสองใบที่มองไม่เห็นภายใน จึงเอ่ยถามว่า “ในไหนี่คือสุราหรือ?”
“ไม่ใช่เ้าค่ะ ข้าไม่มีความสามารถด้านการหมักสุรา” เสี่ยวหมี่หยิบไหใบหนึ่งออกมาแกะเชือกผูกแล้วดึงกระดาษไขที่ปากไหออก คีบเนื้อหมูสีแดงออกมาให้หลี่หลินดู ยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่ลองชิมดูเ้าค่ะ นี่คือเนื้อตากแห้งของบ้านข้า ไม่ว่าจะกินกับโจ๊กหรือแป้งทอด หรือกินเปล่าๆ ก็ล้วนอร่อยทั้งสิ้น”
หลี่หลินไม่อาจต้านทานกลิ่นเย้ายวนได้ เขาหยิบเนื้อชิ้นนั้นมาโดยไม่ใช้ตะเกียบ โยนลงท้องไปอย่างว่องไว
รสชาติกลมกล่อมหอมอร่อย เนื้อไม่เหนียวหรือแข็งจนเกินไป ทำให้เขาประหลาดใจมาก “พอดีใกล้จะถึงวันเกิดมารดาข้าแล้ว ออกมาคราวนี้ไม่เจอของดีอะไรจะเอากลับไปกตัญญูท่านได้เลย เนื้อหมูสองไหนี่นับว่าไม่เลว”
หลี่หลินประสานมือคารวะขอบคุณเสี่ยวหมี่ เสี่ยวหมี่จึงรีบเบี่ยงตัวหลบทันที
ด้วยสติปัญญาของเขาย่อมเดาได้ว่าเื้ัเสี่ยวหมี่มีบุคคลที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งคอยชี้แนะอยู่ กลับไม่คิดที่จะแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจเสี่ยวหมี่แม้แต่น้อย แต่วันนี้เขากลับประสานมือคารวะนางอย่างจริงจังเพื่อขอบคุณสำหรับเนื้อหมูสองไหนี้ที่จะนำกลับไปฝากมารดา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็คนกตัญญูเพียงใด
เสี่ยวหมี่รู้สึกประทับใจ ขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงขอกระดาษกับพู่กันจากเด็กรับใช้คนนั้น นางเขียนอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็วจากนั้นก็พับให้เรียบร้อยแล้วส่งให้ให้หลี่หลินด้วยสองมือ
“ใต้เท้าหลี่ เมื่อเปิดปากไหแล้ว เนื้อหมูไหนี้ต้องรีบกินให้หมดนะเ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะเสียได้ อีกไหหนึ่งก็เอากลับไปฝากฮูหยินผู้เฒ่า ในกระดาษนี้เขียนวิธีการทำเอาไว้ หากวันหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอยากกินขึ้นมาอีก ก็ให้คนที่บ้านทำขึ้นตามวิธีนี้ ไม่ยากเลยเ้าค่ะ”
“ไม่ได้หรอก...” หลี่หลินรีบปฏิเสธทันที อย่างไรเสียสูตรทำอาหารพวกนี้โดยปกติแต่ละครอบครัวจะมอบไว้ให้เป็สมบัติติดตัวบุตรสาวเมื่อออกเรือนไป ถือเป็ความสามารถติดตัวที่หาเลี้ยงชีพได้ด้วย
เสี่ยวหมี่กลับไม่สนใจเื่พวกนี้ เห็นว่าหลี่หลินไม่รับจึงเอาไปยัดใส่มือเด็กรับใช้คนนั้นแทน “ตัวข้าไม่มีงานอดิเรกอื่นใด แต่ชอบทำของอร่อยใหม่ๆ ออกมา ดังนั้นสูตรอาหารพวกนี้ไม่ใช่ความลับอะไร อีกเดี๋ยวข้าก็คิดสูตรใหม่ๆ ได้อีกเยอะแยะ ใต้เท้าหลินอย่าได้เกรงใจ ครั้งนี้เพราะบารมีของท่าน สกุลลู่ของเราจึงพ้นภัย ทรัพย์สมบัติใดในตระกูลก็คงไม่เพียงพอจะขอบคุณท่านได้ ยามนี้แค่สูตรอาหารหนึ่งแผ่นเล็กน้อยเพียงนี้ท่านยังไม่คิดรับไว้ จะให้เราสกุลลู่สบายใจได้อย่างไรเ้าคะ”
หลี่หลินหันไปมองเด็กรับใช้ข้างตัวที่ยัดสูตรอาหารเข้าอกเสื้อตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ก็ยิ้มอย่างปลงๆ “เช่นนั้นต้องขอบคุณแม่นางลู่ที่มีน้ำใจแล้ว”
“ใต้เท้าหลี่เกรงใจเกินไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งท่านให้เสียเวลาเดินทางแล้วเ้าค่ะ หวังว่าวันหน้าเมื่อใต้เท้าหลี่มาที่อันโจวอีกครั้ง จะให้เกียรติมาเป็แขกที่สกุลลู่ของเรานะเ้าคะ”
“ได้ วันหน้าค่อยพบกัน”
เด็กรับใช้โยนถั่วลิสงเคลือบน้ำตาลใส่ปาก มือไม้คล่องแคล่วเก็บสัมภาระขึ้นรถม้า รอจนเ้านายขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็สะบัดแส้บังคับม้าจากไป
เสี่ยวหมี่ยืนโบกมือจนพวกเขาลับตาไป
เกาเหรินเบะปากเอ่ยเร่ง “กลับบ้านได้แล้ว”
เสี่ยวหมี่ดีดหน้าผากเขาไปทีหนึ่ง “เ้านี่น้า เหมือนเด็กเล็กๆ เสียจริง พี่ใหญ่เฝิงบอกแล้วว่าใต้เท้าหลี่ท่านนี้จะเป็ผู้คุมสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ในเมื่อพี่สามข้ามีแววว่าจะต้องพึ่งพาเขา ก็จะละเลยไม่ได้ อีกอย่างเขาก็เป็ขุนนางที่ดีจริงๆ”
นางพูดพลางพยายามปีนขึ้นหลังม้า แต่ม้าตัวสูงเกินไป จะอย่างไรก็ขึ้นไม่ได้เสียที
เกาเหรินทนดูต่อไปไม่ไหวเข้าไปดึงคอเสื้อนางโยนขึ้นหลังม้าไป
เสี่ยวหมี่ใ บ่นอุบ “ใหมด เ้าอายุน้อยแค่นี้ทำไมแรงเยอะนัก ตอนอยู่ในท้องแม่กินอะไรเข้าไปกัน”
สายตาของเกาเหรินมีแววแปลกประหลาด เขารีบใช้เท้าเตะสีข้างม้าให้มันโจนทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว จนเสี่ยวหมี่ร้องอย่างตกอกใอีกครั้ง
เกาเหรินหัวเราะร่า มือหนึ่งโอบเอวนาง มือหนึ่งจับบังเหียนม้า
“เ้าเด็กนี่ หากยังทำให้ข้าใอีก วันหน้าข้าจะไม่ทำหมูผัดน้ำแดงแล้ว ต่อให้ทำก็จะให้ซูอีกินคนเดียว”
“อ๊า ข้าผิดไปแล้ว เ้าช้าๆ หน่อยสิ วันหน้าจะทำหมูผัดน้ำแดงให้เ้ากินทุกมื้อเลย”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเรือนหลังใหม่ของสกุลลู่ก็สร้างเสร็จ
เรือนที่แลดูโล่งๆ ในตอนแรก เมื่อติดประตูและกรอบหน้าต่างฉลุลายทั้งหลายลงไปกลับดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เรือนพักขนาดสองชั้น เรือนหน้ามีห้องหลักทั้งหมดสามห้อง ห้องหนังสือหนึ่งห้อง ห้องนอนหนึ่งห้อง ห้องโถงหนึ่งห้อง เรือนฝั่งตะวันออกตะวันตกมีห้องแยกฝั่งละสามห้อง ไว้สำหรับเป็ห้องพักแขกหรือห้องหนังสือของพวกเด็กๆ ก็พอเหลือหลาย มุมเรือนฝั่งปีกตะวันออกเป็คอกม้า ส่วนฝั่งปีกตะวันตกเป็ห้องครัว
เรือนหลังก็มีห้องหลักสามห้อง เป็ที่พักให้ลูกๆ ในอนาคตหรือแขกผู้หญิงที่มาเยี่ยมเยียน ปีกซ้ายขวาเอาไว้ทำเป็ห้องเก็บของ ไม่ก็ห้องเย็บปัก
ั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาในเรือน เถ้าแก่เฉินก็รู้สึกดีใจแทนบุตรสาว บุตรสาวคนอื่นออกเรือนไปล้วนต้องคอยดูแลพ่อแม่สามี และน้องชายหญิงของสามี ยามปกติถูกแม่สามีกดข่มก็ถือเป็เื่ธรรมดา บ้านเดิมของนางไม่เพียงไม่อาจช่วยเหลือ แค่ยามปกติแสดงความสงสารออกมาเพียงน้อยนิดก็จะถูกคนนอกนินทาทันที
นี่เป็สิ่งที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนล้วนต้องพบเจอ ออกเรือนยี่สิบกว่าปีต้องฝืนทนจนกว่าจะพ้นจากการเป็ลูกสะใภ้เปลี่ยนมาเป็แม่สามีได้ แล้ววัฏจักรก็ดำเนินต่อไป
เยว่เซียนนั้นก่อนจะได้ออกเรือนนางต้องฝืนทนมาแล้วไม่น้อย ในที่สุด์ก็มีตาชักนำให้นางมีวาสนาได้มาเกี่ยวดองกับสกุลลู่
สกุลลู่ไม่มีนายหญิงของบ้าน มีเพียงบิดาผู้เป็หนอนหนังสือ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกกดข่ม
ตัวเ้าใหญ่ลู่เองก็เป็คนซื่อสัตย์ขยันขันแข็งจิตใจดี เกรงว่าคงจะไม่รู้จักคำด่าเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนอันดับแรกจะต้องไม่ล้ำเส้นสกุลลู่
และเส้นที่ว่านั่นก็คือ ลู่เสี่ยวหมี่
แม่นางน้อยคนนี้คือรากฐานของบ้านสกุลลู่ ที่สกุลลู่เป็ได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าเด็กน้อยหรือคนแก่ไม่ว่าคนไหนในหมู่บ้านเขาหมีต่างก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็เพราะลู่เสี่ยวหมี่
แม่นางน้อยคนนี้เรียกได้ว่าเป็หัวใจหลักของสกุลลู่ หรือพูดให้ถูกก็คือของทั้งหมู่บ้านเขาหมี ใครจะมารังแกนางไม่ได้เป็อันขาด
ขอแค่เยว่เซียนเคารพรักลู่เสี่ยวหมี่ วันหน้านางก็สุขสบายแล้ว
เถ้าแก่เฉินมาที่หุบเขาหมีแต่เช้าพร้อมด้วยช่างไม้เพื่อวัดขนาดเรือนหลังใหม่ ในหัวก็คิดไปพลางว่ากลับไปแล้วจะต้องกำชับบุตรสาวเื่อะไรบ้าง
ธรรมเนียมต้าหยวนยึดถือฝั่งซ้ายสูงศักดิ์กว่าฝั่งขวา พี่ใหญ่ลู่ในฐานะบุตรชายคนโต แน่นอนว่าย่อมได้เรือนหลังใหม่หน้าปากทางเข้าหุบเขาฝั่งซ้าย และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ลานด้านหน้ายังยื่นยาวออกมากว่าเรือนฝั่งขวาถึงสามฉื่อ
เดิมทีพวกนายช่างยังกลัวว่าบุตรชายคนรองสกุลลู่จะไม่พอใจ แต่พี่รองลู่สนใจแต่เื่การประลองฝีมือและเสี่ยวเอ๋อ นอกนั้นเรือนพักจะใหญ่หรือเล็กเขาไม่สนใจ ขอแค่มีที่ให้ซุกหัวนอน มีน้องหญิงทำอาหารอร่อยๆ ให้กินแค่นี้ก็พอแล้ว
ที่เพิงทำอาหาร ท่านป้าหลิวและพวกสะใภ้ทั้งหลายกำลังเตรียมอาหารกัน เถ้าแก่เฉินที่มาหาแต่เช้าถือเนื้อสดติดไม้ติดมือมาฝากด้วย มื้ออาหารวันนี้จึงอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุด
เมื่อทุกคนเสร็จงานแล้ว ก็พากันมาช่วยตั้งโต๊ะรอบๆ เพิงทำอาหาร
เสี่ยวหมี่กวาดมองด้วยสายตา แรงงานทั้งมีฝีมือไร้ฝีมือที่มาช่วยงานสกุลลู่มีทั้งสิ้นเกือบเจ็ดแปดสิบคน
พวกเด็กๆ บนเขาเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนกันเลยเพราะช่วยคำนวณเงินค่าแรง ยามนี้มานั่งรอด้วยตาดำคล้ำไม่ยอมจากไปไหน
พี่เสี่ยวหมี่บอกไว้ว่า ครั้งนี้ที่ให้ช่วยคำนวณค่าแรงถือเป็การสอบสำหรับพวกเขา หากใครคำนวณผิดจะถูกตี แน่นอนหากคำนวณถูกทั้งหมดจะมีรางวัลให้
พี่รองลู่ถือตะกร้าไม้ไผ่มาวางลงบนโต๊ะหิน
เสี่ยวหมี่เรียกชื่อนายช่างจงเป็คนแรก ชายชรายิ้มร่าเดินเข้ามา พี่รองลู่หยิบถุงเงินถุงใหญ่ที่สุดส่งให้เขา
“ลำบากท่านจงแล้ว ค่าแรงและรายละเอียดอยู่ในถุงนี้ทั้งหมด ท่านลองตรวจสอบดูก่อน หากผิดพลาดอย่างไรให้รีบเอ่ยปากนะเ้าคะ”
“ได้ๆ” หัวหน้าช่างจงเองก็รู้ว่าเงินค่าแรงในวันนี้พวกเด็กๆ เป็คนช่วยคำนวณ เกรงว่าจะผิดพลาด จึงเปิดถุงผ้าออกแล้วหยิบรายละเอียดด้านในออกมาดูพลางตรวจสอบแล้วก็ต้องใมาก “หา ผิดแล้ว”
เด็กน้อยที่รับหน้าที่คำนวณค่าแรงให้หัวหน้าจงมีนามว่าซวนจู้ ได้ยินเช่นนี้ก็เกือบจะร้องไห้ออกมา ดีที่หัวหน้าจงพูดต่อไปว่า “ได้เกินมาหนึ่งส่วน”
เสี่ยวหมี่โบกมือเอ่ยว่า “ข้าลืมบอกไป เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกท่านลุงท่านอาทั้งหลายไม่เพียงเหนื่อยยากจากการทำงาน แต่เมื่อคราวสกุลลู่ของข้าประสบภัย ก็อยู่ช่วยเหลือไม่หนีหาย พวกเราจึงซาบซึ้งเป็อย่างมาก จึงเพิ่มค่าแรงให้หนึ่งส่วน อีกอย่าง หากวันหน้าสกุลลู่มีงานอะไรอีก จะต้องเชิญพวกท่านมาก่อนเป็อันดับแรก ดังนั้นค่าแรงนี้ไม่ได้คำนวณผิดเ้าค่ะ”
หัวหน้าจงยังไม่ทันพูดอะไร หนูน้อยซวนจู้ก็ร้องออกมาอย่างดีใจ “เย้ ข้าไม่ผิด ข้าคิดไม่ผิด”
บิดาของซวนจู้กลัวว่าลูกชายจะไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้คนอื่นเข้า จึงเข้ามาคิดจะตบหลังศีรษะเขาสักที แต่ก็ไม่กล้ารุนแรงกับลูกชาย จึงแค่เตะก้นเขาเบาๆ ภรรยาเขาบอกไว้ว่าวันหน้าลูกชายเขาอาจจะได้สอบรับราชการเป็จอหงวนเป็ขุนนาง จะต้องปกป้องศีรษะเขาไว้ให้ดี หากตีพลาดทำให้เขาเรียนหนังสือไม่ได้ความขึ้นมาจะเป็เื่ใหญ่
ทุกคนเห็นแล้วก็ขบขัน จากนั้นจึงเอ่ยปากชม “ซวนจู้เก่งมาก สำนักศึกษาแห่งนี้เปิดสอนไม่เสียเปล่าจริงๆ”
ซวนจู้หน้าแดง แต่ก็ยืดอกอย่างภูมิใจ
หัวหน้าจงััถุงเงินในมือแล้วหันศีรษะไปมองลูกหลานที่อยู่เื้ั ในใจก็คิดขึ้นมาว่า ยามนี้บ้านพวกเขาก็นับว่าอยู่สุขสบายแล้ว เขาควรจะส่งลูกๆ ในบ้านไปเรียนหนังสือได้แล้วหรือเปล่านะ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้