“หากข้าถาม ท่านจะบอกหรือ? ” นางไม่ได้หันกายไป และทำเพียงถามเรียบๆ กลับไปประโยคหนึ่ง
เขาอืมออกมาเสียงหนึ่ง “ขอแค่เ้าถาม ข้าจะบอกทั้งหมด”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ถามแล้ว รีบนอนเถิด” ขอแค่ถาม เขาก็จะบอกงั้นหรือ นี่เป็การแสดงท่าทีบริสุทธิ์ใจของเขาที่มีต่อนางมิใช่หรือ ดังนั้น นางจึงไม่มีความจำเป็อะไรที่จะต้องสงสัยให้มากมาย เพราะบางครั้งความสงสัยก็อาจเป็บ่อเกิดที่ชักนำคนไปสู่ความตาย ด้วยเื่นี้ถือเป็ความจริงแท้อย่างยิ่ง
เขายิ้มอย่างปลงๆ “เหนือความคาดหมายของข้าไปหน่อยนะ เดิมทีคิดว่าเ้าจะสงสัยและซักไซ้เอาความจากข้าจนถึงที่สุด”
อวิ๋นซีเพียงแค่อิงแอบอยู่ในอ้อมอกเขา โดยไม่คิดปริปากถามอะไรอีกทั้งสิ้น และทำเพียงหลับตาเตรียมตัวเข้าสู่นิทรา ถึงแม้คิดจะหลับตอนนี้จะเป็เื่ยาก แต่นางก็ยังเลือกที่จะบังคับให้ตนเองหลับ
อวิ๋นซีที่เดิมคิดว่าจะหลับได้ยากกลับคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าการได้อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนจวินเหยียนเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ตนก็จะสามารถหลับต่อได้ ชายหนุ่มสดับรับฟังเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของอวิ๋นซี จากนั้นจึงได้ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจแล้วหลับตาลง
แท้จริงแล้วท่าทีของอวิ๋นซีที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไปมาก แม้คนอื่นอาจมองไม่เห็น ทว่าตัวจวินเหยียนกลับสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
เช้าวันที่สอง ตอนที่อวิ๋นซีตื่นนอน จวินเหยียนก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว ยิ่งกว่านั้น พื้นที่ว่างข้างกายนางยังเย็นเฉียบ ทำให้คิดได้ว่าเขาคงจะลุกออกไปนานแล้วกระมัง นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า กำลังวังชาของคนผู้นี้เหนือธรรมดาจริงๆ คนนอนไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ลุกตื่นขึ้นมาแล้ว เพราะหากเป็นาง คงรับประกันได้เลยว่าทำไม่ได้อย่างเขาแน่
หากเป็เมื่อก่อนนางยังพอทนได้บ้าง แต่เมื่อมาเกิดใหม่อยู่ในยุคสมัยนี้ นางก็เคยชินกับชีวิตที่ถูกคนปรนนิบัติพัดวีอย่างดี ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็ความคุ้นชินไปแล้ว เช่นเดียวกับการนอน ในทุกๆ วันอย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้นอนสักหกชั่วโมงครึ่งถึงเจ็ดชั่วโมง นี่ถือเป็ขีดจำกัดขั้นต่ำสุดของนาง
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเ้าคะ” เซียงเอ๋อร์ยิ้มขณะยกน้ำเข้ามาให้ “เมื่อเช้านี้มีคนในหมู่บ้านมาขอพบนายท่านเ้าค่ะ หลังจากนั้นนายท่านก็ออกไปกับคนคนนั้น”
นางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แต่งตัว “หวานหว่านกินข้าวเช้าหรือยัง? ”
“กินแล้วเ้าค่ะ บ่าวสงสัยว่าคุณหนูอาจจะตื่นเต้นเกินไปกระมัง เช้านี้จึงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และเมื่อกินอาหารเช้าเสร็จก็สั่งให้แม่นมพาไปเที่ยวเล่น” ก่อนหน้านี้เซียงเอ๋อร์ได้ยินมาว่า พระชายาอนุญาตให้คุณหนูสามารถเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านได้ แม้ตัวนางจะรู้สึกว่าการปล่อยให้เป็ไปเช่นนั้นจะไม่ดีนัก แต่นางก็เชื่อมั่นว่า การที่ฮูหยินอนุญาตเช่นนี้จะต้องมีความคิดที่ลึกซึ้งแฝงไว้อยู่เป็แน่
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินว่าเด็กน้อยแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะได้ออกไปหาสหายตัวน้อยที่ข้างนอก นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จจึงเตรียมตัวจะออกไปหาหวานหว่าน ทว่า ในขณะนั้นหวานหว่านกลับจูงมือเด็กหญิงอายุราวสี่ห้าขวบในเสื้อผ้าหยาบๆ เดินเข้ามา
“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว” เมื่อเห็นอวิ๋นซี หวานหว่านก็ปล่อยมือเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพุ่งเข้ามาหานาง
อวิ๋นซีกอดหวานหว่านไว้ จากนั้นก็จุมพิตลงไปบนดวงหน้าเล็กๆ นั้น “เป็อย่างไรบ้าง เล่นสนุกมากเลยสิ”
นางยิ้มพยักหน้า “สนุกมากเ้าค่ะ”
แม่นมที่ตามหลังอยู่เห็นฉากนี้เข้าก็มีท่าทีราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบไป อวิ๋นซีเหลียวมองบ่าวชราทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่ตามหวานหว่านกลับมา “หวานหว่าน พาสหายน้อยมาเป็แขกที่บ้านหรือ? ”
หวานหว่านพยักหน้า “ท่านแม่ ให้พี่หญิงเอ้อนีมาเล่นเป็เพื่อนลูกที่นี่จะได้ไหมเ้าคะ? ”
“ได้ ได้แน่นอน” เมื่อพูดจบ นางก็สั่งให้เพ่ยเอ๋อร์ตามติดเด็กทั้งสอง
ขณะที่นางเดินผ่านเอ้อนีก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพลางมององค์ประกอบของใบหน้าเล็กๆ นั้น “เ้ากินข้าวเช้าหรือยัง? หากยังไม่ได้กินก็บอกหวานหว่าน ไม่ก็เพ่ยเอ๋อร์ได้เลยนะ ประเดี๋ยวนางจะจัดเตรียมให้เ้าเอง”
เมื่อเอ้อนีได้ยินก็เบิกตากลมโตจดจ้องอวิ๋นซี “ถ้าเช่นนั้น ข้าสามารถนำกลับไปให้ท่านแม่กับพี่สาวข้าได้หรือไม่เ้าคะ? ”
“ได้แน่นอน” เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำขอของอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้ารับ ช่างเป็เด็กน้อยที่กตัญญูยิ่ง ไม่ว่ายามใดก็ไม่ลืมเลือนแม่และพี่สาวตน
“ท่านแม่ พี่เอ้อนีบอกว่า มารดาของนางจวนจะคลอดน้องชายตัวน้อยแล้ว แล้วเมื่อไรท่านจะคลอดน้องชายตัวน้อยให้ข้าบ้างเล่าเ้าคะ? ” หวานหว่านมองอวิ๋นซี สีหน้าสงสัย
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้ว สีหน้าพลันแข็งค้าง แต่สุดท้ายก็สามารถดึงสติตนให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว “เื่พวกนี้คงต้องแล้วแต่วาสนา รู้หรือไม่? ”
หวานหว่านอยากให้นางคลอดน้องชายตัวน้อย? กับจวินเหยียน? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไร ระหว่างนางกับจวินเหยียน แม้ตัวนางจะเชื่อใจอีกฝ่าย แต่ก็มิอาจเทียบได้เลยกับความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ ดังนั้น เื่คลอดน้องชายตัวน้อยอะไรนี่ บางทีชั่วชีวิตนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
ในมุมมองของนาง การได้มีหวานหว่านก็นับว่าเพียงพอแล้ว เพราะยามนี้ไม่ว่าจะเป็สิ่งใด นางก็ล้วนไม่ใส่ใจ
อวิ๋นซีมองไปยังแม่นม จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น? ”
“คนในหมู่บ้านนี้ล้วนเป็ผู้เช่าของตระกูลฉินทั้งสิ้น เมื่อพวกเขาทราบว่าคุณหนูเป็บุตรสาวของตระกูลฉินต่างก็คิดว่านางจะต้องเป็คุณหนูผู้สูงศักดิ์ จึงมิมีใครกล้าแม้แต่จะเล่นกับคุณหนูเลยสักคนด้วยกังวลว่า หากกระทบกระทั่งจนนางหกล้มเข้า พวกเราจะไปเอาเื่กับพวกเขา ในตอนแรกคุณหนูเองก็เสียใจกับเื่นี้เป็อย่างมาก แต่เมื่อเดินๆ ไปจนถึงบริเวณเขตแดนระหว่างหมู่บ้านบนและหมู่บ้านล่าง เดิมทีบ่าวคิดจะอุ้มคุณหนูกลับจวน แต่เอ้อนีกลับล้ำหน้าไปก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายเดินมาอยู่ข้างกายคุณหนู ทั้งยังมอบดอกไม้ป่าที่เด็ดมาได้ให้คุณหนูอีกด้วย”
อวิ๋นซีพอจะคาดเดาเื่ราวหลังจากนี้ได้แล้ว เื่ของเื่ก็คือ บุตรสาวนางออกไปด้านนอก แต่กลับไม่มีใครกล้าเล่นด้วย เพราะรู้ดีว่าคนเป็บุตรสาวของฉินเหยียน ทำให้นางรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเื่อะไรกัน หากเด็กน้อยจะล้มบ้าง กระทบกระทั่งบ้าง ก็ถือเป็เื่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด
“แล้วเอ้อนีนั้นเป็มาอย่างไร? นางเป็คนจากหมู่บ้านบนหรือหมู่บ้านล่าง”
แม่นมตอบเสียงเบา “หมู่บ้านล่างเ้าค่ะ นางไม่รู้ฐานะของคุณหนู เพียงแต่เห็นคุณหนูร้องจึงเข้าไปปลอบ บ่าวเห็นว่าคนมีเจตนาดีก็เลยไม่กล้าบอกความจริง และได้แต่ปล่อยให้พวกนางเล่นด้วยกัน เพราะก่อนหน้านี้คุณหนูเองก็ไม่มีสหายเลยสักคน ส่วนเอ้อนีนี้ บ่าวก็คิดว่าคนหาใช่เด็กที่ไม่ดีอะไรเ้าค่ะ”
อวิ๋นซีอืมไปเสียงหนึ่ง “เ้าก็คอยเฝ้าดูระหว่างที่พวกนางเล่นกันเถิด แล้วให้คนครัวตระเตรียมของกินให้เอ้อนีนำกลับไปด้วย อีกเดี๋ยวหากนางจะกลับบ้านก็ให้เซียงเอ๋อร์เดินไปส่งด้วยตัวเอง”
ในเมื่อเป็สหายคนแรกของบุตรสาว แน่นอนว่าต้องเป็มิตรด้วย อวิ๋นซีขบคิดอีกครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม “ไม่ต้องเตรียมอาหารเลิศรสให้เอ้อนีนำกลับไป เพราะหากคนบ้านนั้นเห็นของดีมีค่ามากก็ไม่แน่ว่าจะกล้ากิน และก็ไม่แน่อาจทำให้เอ้อนีและครอบครัวใเอาได้ ดังนั้น เ้าก็ให้คนนึ่งมันเทศ และเตรียมซาลาเปาไส้เนื้อไว้มากๆ หน่อย ข้าคิดว่าคนในบ้านนางน่าจะเยอะ”
เมื่อแม่นมได้ยินคำของอวิ๋นซีก็ตอบรับ
อวิ๋นซีเห็นแม่นมตอบรับแล้วก็ให้วางใจขึ้นมาก ถึงแม้จะยังรู้จักกันได้ไม่นาน ทว่านิสัยของแม่นมนั้น อวิ๋นซีก็รู้อย่างชัดเจนแล้ว จวินเหยียนเองก็เคยพูดว่าแม่นมเป็คนที่เชื่อถือได้ ดังนั้น หากมีบ่าวชราผู้นี้อยู่ นางก็มั่นใจว่าคนจะต้องจัดการเื่ราวต่างๆ ได้ดีแน่
หลังจากจัดแจงทุกสิ่งเสร็จ อวิ๋นซีก็ให้สาวใช้ที่อยู่ดูแลเรือนแห่งนี้คนหนึ่งเป็ผู้พาตนเดินชมรอบๆ หมู่บ้านรอบหนึ่ง และระหว่างทางนี้ หากบังเอิญได้พบกับจวินเหยียนก็คงจะดีไม่น้อย แต่หากไม่ได้พบก็ไม่เป็ไร อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ล่วงหน้า
พวกเขาอาจต้องพักอยู่ที่นี่ราวแปดถึงสิบวัน หลายวันนี้คงจะไม่อาจหมกตัวอยู่แต่ในห้องได้ ในเมื่อที่นี่เป็สวนของตระกูลฉิน นางก็จำต้องออกมาเดินให้คนท้องถิ่นได้รู้จักคุ้นเคย เพราะหากถึงเวลาที่ต้องทำเื่อะไรขึ้นมาก็จะได้ง่ายดายขึ้น
ทว่า ใครเล่าจะรู้ นางที่เพิ่งออกไปได้ไม่นานก็มีคนเริ่มสังเกตเห็นได้จากที่ไกลๆ ทั้งยังมีบางคนที่กล้าอยู่สักหน่อยเข้ามาถามไถ่ว่านางคือ ฮูหยินฉินใช่หรือไม่ และทันทีที่ได้ทราบความจริง คนเ่าั้ต่างก็มีสีหน้ากระตือรือร้น เมื่อพิศไปแล้วก็รู้ว่าเป็คนซื่อสัตย์จริงใจ
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่า ข่าวการมาถึงของพวกเขาจะแพร่ไปทั่วทั้งจางเจียวานแล้ว ไม่ว่าจะเป็หมู่บ้านบนหรือล่างก็ล้วนมีคนไม่น้อยที่ทราบเื่การมาเยือนของพวกเขาแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้