ลมหนาวยามเช้าพัดผ่านค่ายฝึก แดดอ่อนลอยล่องบนขอบฟ้า แต่ไม่มีใครในค่ายนี้ได้หยุดพักเพื่อชื่นชมมัน ทุกอย่างเคลื่อนไหวไปตามคำสั่งและเสียงสัญญาณที่ดังกึกก้อง
อาเธอร์ ไคล์ เด็กหนุ่มเผ่าอสูรวัย 15 ปี นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของโรงอาหาร เสียงจานชามกระทบกันดังระงมรอบตัว แต่เขาไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า มือของเขาถือ คู่มือพื้นฐานของพลทหาร หนังสือเล่มบางที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือขนาดเล็กและภาพร่างที่จืดชืด
เขาไม่ได้สนใจมันมากนักในตอนแรก แต่ข้อความบางบรรทัดดึงความสนใจของเขาให้ต้องอ่านซ้ำ
“มนุษย์คือเสาหลักของอารยธรรม ผู้สร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองผ่านปัญญาและอาร์คโนโลยี”
อาเธอร์ถอนหายใจ เขาเลื่อนสายตาไปยังบทที่ว่าด้วยเผ่าพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็หัวข้อที่เขาไม่อยากอ่านแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มนุษย์ (Humans)
“มนุษย์คือผู้นำแห่งอารยธรรมอาร์คาเซีย ความสามารถในการปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมทำให้พวกเขาเป็แรงขับเคลื่อนหลักของความเจริญในยุคปัจจุบัน”
ประโยคเหล่านี้สะท้อนความทะเยอทะยานและความมั่นใจที่มนุษย์มีในตัวเอง อาเธอร์นึกถึงวิคเตอร์ ทหารรุ่นพี่ที่มักใช้อำนาจของเขาเพื่อกดคนอื่น โดยเฉพาะพวกอสูร
“มนุษย์...” เขาพึมพำเบาๆ “เหมือนกับที่หนังสือบอก มักมองตัวเองว่าเหนือกว่าทุกสิ่ง”
เอลฟ์ (Elves)
“เอลฟ์เป็พันธมิตรที่ล้ำค่าของมนุษย์ พวกเขาเชี่ยวชาญเวทมนตร์และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับธรรมชาติ ซึ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาของอาร์คโนโลยีในยุคปัจจุบัน”
ข้อความยังกล่าวถึงเอลฟ์ในฐานะผู้รักษาสมดุลของพลังเวทในาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็ "บรรพบุรุษแห่งเวทมนตร์"
“สมดุล...” อาเธอร์พูดในใจ ความทรงจำเกี่ยวกับเื่เล่าของพ่อแม่ที่เล่าถึงการสังหารหมู่ที่เอลฟ์นำโดยเวทมนตร์อันทรงพลังผุดขึ้นมา แต่ในหนังสือเล่มนี้ พวกเขาเป็เหมือนผู้พิทักษ์อันสูงส่ง
อสูร (Beastkin)
“เผ่าอสูรเคยเป็ภัยร้ายแรงต่ออารยธรรม พวกมันดุร้าย ป่าเถื่อน และไร้ความเมตตา ใน่าศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังของมนุษย์และเอลฟ์ต้องร่วมมือกันเพื่อล้มล้างความโหดร้ายนี้ หลังจากา เผ่าอสูรได้รับการจัดการให้อยู่ภายใต้การควบคุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในอนาคต”
คำว่า “ดุร้าย” และ “ป่าเถื่อน” ที่เน้นในข้อความเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เผ่าอสูรถูกลดทอนคุณค่าและความเป็มนุษย์ในสายตาของผู้อ่าน
อาเธอร์กำมือแน่นขณะอ่าน ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เื่เล่าเหล่านี้ยังคงใช้เพื่อย้ำว่าพวกเขาคือ "ตัวร้ายในประวัติศาสตร์" เสียงหัวเราะเยาะที่เขาได้ยินในค่าย บวกกับข้อความในคู่มือเล่มนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
จักรกล (Automaton)
“จักรกลเป็สิ่งประดิษฐ์แห่งอัจฉริยภาพของมนุษย์และเอลฟ์ พวกมันคือผู้ช่วยที่ไม่รู้จักเหนื่อยล้า และเป็แรงผลักดันสำคัญในยุคแห่งอาร์คโนโลยี”
ข้อความกล่าวถึงจักรกลในฐานะ "ทรัพยากรสำคัญ" แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็สิ่งมีชีวิตหรือมีจิตใจ บางบรรทัดอ้างถึงการกำกับดูแลพวกมันเพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาเกินขอบเขตของผู้สร้าง
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ดึงเขาออกจากความคิด “เฮ้ ไคล์ แกจะอ่านอะไรอยู่นักหนา?”
อาเธอร์เงยหน้าขึ้นเห็นวิคเตอร์ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน ทหารรุ่นพี่วางถาดอาหารลงและนั่งข้างๆ
“รู้ไหม? หนังสือเล่มนั้นมันบอกว่าแกมีไว้ทำอะไร” วิคเตอร์ใช้ส้อมชี้มาที่อาเธอร์ “แค่ตัวตายตัวแทนในภารกิจ ไงล่ะ”
เสียงหัวเราะของวิคเตอร์และเพื่อนร่วมทีมดังลั่น ทำให้อาเธอร์รู้สึกเหมือนเสียงในคู่มือเล่มนั้นดังก้องอยู่ในหูอีกครั้ง เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงเก็บคู่มือใส่กระเป๋า ลุกขึ้น และเดินออกไป ทิ้งเสียงเย้ยหยันไว้ข้างหลัง
เขากลับมานั่งที่ลานฝึก ร่างของเด็กหนุ่มนั่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้ ใกล้กันนั้นเป็พื้นที่ฝึกซ้อมต่อสู้ที่มีเสียงดังก้องของดาบกระทบกัน
อาเธอร์ทอดสายตามองไปยังหุ่นไม้ที่ถูกจัดเรียงไว้สำหรับฝึก เขานึกถึงวันที่เขายังเป็เด็ก พ่อของเขาเคยสอนให้เขาต่อสู้ พูดถึงความแข็งแกร่งของเผ่าอสูรและศักดิ์ศรีของพวกเขา แต่ภาพเ่าั้ก็หายไปหลังา... และทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว
เสียงลมพัดผ่านทำให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน อาเธอร์ลุกขึ้น เดินไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่ง และเริ่มฝึกการฟันดาบอย่างช้าๆ
“เผ่าอสูรไม่มีสิทธิ์เลือกอนาคต...” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ แต่เสียงดาบที่กระทบกับไม้ดังขึ้นแทนคำพูดในใจ
“แต่ฉันจะสร้างมันขึ้นมาเอง...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้