ไทเฮาไม่เพียงแต่เป็กังวลเื่หลี่เฉิงซู ยังใส่ใจท่านลุงของนางมาก
แม้ไม่อาจบอกได้ว่าเป็ความห่วงใย แต่พระนางก็สนพระทัยสองคนนี้ มิเช่นนั้นแล้วไหนเลยจะเปรยถึงพวกเขาอย่างคลุมเครือ แต่เพื่อสิ่งใดนั้น เฉียวเยว่ยังไม่อาจรู้ได้ในตอนนี้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับไทเฮา เคยเข้าเฝ้าแทบจะนับครั้งได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดคะเนความคิดอ่านของพระนางได้ ไทเฮาทรงหมายความว่าอย่างไร ต้องมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่เป็แน่ เฉียวเยว่จำต้องดูไปเรื่อยๆ แทนที่จะคาดเดาโดยอาศัยเหตุการณ์เฉพาะหน้า
"เฉียวเฉียว" ฉีอันเดินเข้ามาในห้องอย่างเร่งร้อน เฉียวเยว่เลิกคิ้วมองเขาอย่างงุนงง "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
ฉีอันพยักหน้า "เมื่อวานเ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าในจวนมีแขกหรือไม่?"
เฉียวเยว่มองเขาไม่ขยับ
"ข้าไปถามมาแล้ว พี่หญิงใหญ่กับพี่เขยกลับมาเยี่ยมบ้าน ข้ามีข่าวดีจะบอก พี่หญิงใหญ่ตั้งครรภ์แล้ว" ฉีอันพูดต่อ
เฉียวเยว่ได้ยินเื่นี้ สีหน้าก็แจ่มใสเบิกบานขึ้นมาทันควัน นางยกมือประคองใบหน้าแล้วเอ่ยว่า "ข้าจะได้เป็น้าคนแล้วหรือ?"
หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างเริงร่า "ช่างดียิ่ง"
ฉีอัน "ก็นั่นสิ ข้าก็จะได้เป็ท่านน้าแล้วเหมือนกัน แต่... วันนี้สีหน้าของพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง พี่หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ นางเป็พี่สะใภ้เหตุใดดูไม่มีความสุขเล่า สุดจะบรรยายจริงๆ"
เฉียวเยว่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยเสียงเบา "ไม่เห็นจะมีอะไรเข้าใจยากเลย พี่ิเยว่กับพี่ใหญ่แต่งงานไล่เลี่ยกัน บัดนี้พี่ิเยว่มีข่าวดี แต่ท้องของพี่สะใภ้ยังเงียบเชียบ แล้วนางจะไม่ร้อนใจได้หรือ"
สำหรับเื่นี้ เฉียวเยว่กลับเข้าใจ แม้ว่านางจะไม่รู้สึกว่าการมีบุตรช้าจะมีปัญหาตรงไหน แต่ที่นี่คือต้าฉี ในแต่ละยุคสมัยต่างมีกรอบธรรมเนียมที่ยึดมั่น ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน
นางถอนหายใจรำพึง "ป้าสะใภ้ใหญ่เคร่งครัดเ้าระเบียบ ไม่ใช่คนคุยง่ายนัก เ้าคิดว่านางจะมีสีหน้าดีๆ ให้พี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่เล่า?"
แม้ว่าพวกนางกับพี่สะใภ้จะไม่สนิทสนมกัน แต่เฉียวเยว่ก็หาใช่คนชอบซ้ำเติมคน นางยังมีความเกรงใจต่อพี่สะใภ้ใหญ่คนนี้อยู่ แต่ไรมาเรือนใหญ่ดูไม่น่าไปมาหาสู่ ประกอบกับหลายวันก่อนท่านลุงใหญ่ถูกลดตำแหน่งสามขั้นเพราะชายาอ๋องสี่แห่งซีเหลียงผู้นั้น ตอนนี้อารมณ์ก็ยังไม่ดีนัก
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ก็ไม่คาดคิดว่าลุงใหญ่ของนางจะถึงกับมีความสัมพันธ์กับสตรีผู้นั้น นางไม่เคยรู้สึกดีต่อคนที่ทรยศพวกพ้อง ทรยศต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นเฉียวเยว่ยังไม่ลืมเื่ที่มารดาของนางถูกลอบสังหาร ที่แท้เื่ครานั้นก็เกี่ยวข้องกับเรือนใหญ่จริงๆ
หลายปีมานี้ ท่านลุงกับบิดาของนางแทบไม่เคยเอ่ยถึง นางเองก็ไม่เคยถาม
เฉียวเยว่เชิดหน้า เอ่ยเสียงเรียบ "เ้าเองไม่ใช่เด็กแล้ว ไฉนยังลุกลี้ลนเยี่ยงนี้อีกเล่า มีเื่อันใดก็ค่อยพูดค่อยจา ไม่จำเป็ต้องตื่นตระหนกกับเื่เล็กน้อย"
ฉีอันแค่นเสียงเยาะ "เสแสร้งเก่งจริงๆ เ้าเองก็เหมือนกันนั่นแหละ"
แท้จริงแล้วไม่เพียงแต่จวนซู่เฉิงโหว กระทั่งคนข้างนอกต่างก็รู้ทั่วหน้า ถึงความร่าเริงสดใสของคู่แฝดัหงส์ของเรือนสามจวนซู่เฉิงโหว อาจเป็เพราะพวกเขาคลุกคลีตีโมงกับผู้าุโฉีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นั้แ่ยังเล็ก อุปนิสัยจึงค่อนข้างซุกซนขี้เล่นกว่าเด็กทั่วไป แต่พอนึกถึงอุปนิสัยที่ไม่เหมือนผู้ใดของผู้าุโฉี เด็กสองคนนี้กลับปรกติกว่ามาก
บางครั้งเฉียวเยว่เองก็อดทอดถอนใจไม่ได้ บางที์อาจ้าชดเชยให้กับความคับข้องใจของนางในอดีตที่เคยไร้ญาติขาดมิตร จึงมอบชีวิตใหม่ที่ดีกับนางขนาดนี้
นางมีความทรงจำของอดีตชาติ แม้ไม่รู้ว่าจะนับว่าเป็การข้ามภพได้หรือไม่ แต่นางก็เป็ซูเฉียวเยว่ที่ไท่ไท่สามฉีอิ่งซินให้กำเนิดอย่างแท้จริง แต่การที่นางมีความทรงจำของชาติก่อน พฤติกรรมหลายอย่างจึงไม่ค่อยเข้ากับยุคสมัยนี้ หากเป็สถานการณ์ทั่วไป นางคงถูกจับเผาไฟไปแล้ว
แม้ว่านางจะไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ก็รู้ว่าเื่ผีสางเทวดาในยุคปัจจุบันก็ไม่ต่างกับสมัยโบราณ หากผิดแผกจนเกินไป เกรงว่าคงถูกเผาตายเป็แน่ แต่ที่ไม่มีใครรู้สึกว่านางผิดปรกติแม้แต่น้อยก็ต้องยกให้เป็ความดีความชอบของท่านตานางแล้ว
ผู้าุโฉีเป็ยอดนักปราชญ์แห่งยุคสมัย อุปนิสัยของเขาแปลกประหลาดไม่มีใครเหมือน ส่วนท่านลุงของนางก็ไม่ค่อยจะเดินตามเส้นทางเฉกเช่นคนปรกติทั่วไป
แม้ว่านางจะดูเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นสตรีมีชาติสกุล ทว่าบิดาของนางก็เป็อัจฉริยะหนุ่มรูปงามที่ขึ้นชื่อในใต้หล้า แต่ถึงจะมีวิชาความรู้มากล้น ก็ยังมีอุปนิสัยและความคิดที่ต่างจากคนทั่วไป
แม้แต่พี่สาวของนางก็เป็ยอดพธูผู้มีพร์ความสามารถ ดังนั้นถึงนางจะแปลกอย่างไร ก็ไม่มีคนประหลาดใจ กลับเห็นว่าเป็เื่ธรรมดา เพราะอย่างไรก็ได้เชื้อมาจากวงศ์ตระกูล
เฉียวเยว่เข้าใจในจุดนี้
"นี่ เ้าคิดอะไรอยู่หรือ?" ฉีอันเห็นนางใจลอยไปถึงไหน ก็ยื่นมือเข้าไปโบกตรงหน้า "อะไรของเ้า ไม่เห็นจะสนใจข้าเลย ข้ายังอยู่ทั้งคน เ้ายังจะเหม่อลอยอีก"
เฉียวเยว่เงยหน้า หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างเสแสร้ง "ข้ากำลังขบคิดถึงความหมายของชีวิตอยู่น่ะ"
ฉีอันแค่นเสียงเยาะ "เฮอะ ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ เ้าได้ยินหรือไม่"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ นางอยากจะสารภาพกับฉีอันจริงๆ ว่าตนเองมัวแต่ใจลอย จึงไม่ได้ยินอะไรเลย
อาจเป็เพราะสีหน้าของนางเผยความละล้าละลังออกมา ถึงแม้ว่าอยากจะปิดบัง ก็ปิดไม่อยู่แล้ว
"น่าโมโหจริงๆ" ฉีอันบ่น แต่พอเห็นสีหน้าของนางแล้ว ก็จำต้องเอ่ยอีกหน "อยากไปล่องเรือสำราญหรือไม่?"
เฉียวเยว่อยากไปโดยมิต้องกังขา แต่นางกลับไม่รู้ว่าหัวข้อวนมาถึงเื่นี้ได้อย่างไร
"ใครมายั่วยุเ้า?"
ความหมายชัดเจนยิ่ง
"ข้าอยากไปเองไม่ได้หรือไร" ฉีอันย้อนกลับมา
"ท่านลุงหรือ?"
"ชายหนุ่มที่อ่อนโยนซื่อสัตย์สงบเสงี่ยมเช่นข้า ต้องมาอยู่กับคนอย่างเ้า ช่างเหนื่อยเหลือเกิน" ฉีอันรำพึงพลางทำท่าถอนหายใจ หลังจากนั้นก็พูดต่อ "ใช่ ท่านลุงเป็คนเสนอความคิด เขาบอกว่าสองสามวันมานี้ท่านตาอยู่แต่ในบ้าน รู้สึกเบื่อหน่าย ก็เลยอยากจะหาอะไรสนุกครึกครื้นทำสักหน่อย"
เมื่อบอกกันขนาดนี้แล้ว เขาในฐานะหลานชายจะไม่ตอบสนองได้อย่างไร
"ท่านลุงบอกว่าเขางานยุ่ง ไม่มีเวลาจัดการเื่เหล่านี้ ก็เลยให้โอกาสพวกเราแสดงฝีมือสักครั้ง"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ต้องได้อยู่แล้ว เช่นนั้นเ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ข้าร่วมด้วย"
เื่ออกไปเที่ยว เฉียวเยว่ย่อมเต็มที่เสมอ
"เ้านี่มันเ้าเล่ห์จริงๆ"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ
"คิดจะกินแต่อาหารสำเร็จ [1] หรือไร?" เขาเลิกคิ้ว
"ข้าแค่ให้โอกาสเ้าแสดงฝีมือเท่านั้นเอง" เฉียวเยว่ตอบ
ฉีอันอยากจะโต้แย้ง แต่พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ หลังจากนั้นก็ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ค่อยๆ เอ่ยว่า "เช่นนั้นพวกเราจะต้องเชิญท่านอ๋องอวี้ไปด้วยหรือไม่ เฉียวเฉียว?"
เฉียวเยว่เงยหน้า ย้อนถามทันควัน "เหตุใดจะไม่เชิญเล่า?"
ฉีอันถูกนางทำะเืใจอย่างรุนแรง เ้าช่วยสงวนทีท่าเยี่ยงสตรีบ้างจะได้หรือไม่
"คุยกับเ้าทีไร ข้าก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวทุกคราไป สาเหตุที่ข้าเติบโตมาอย่างบิดเบี้ยวเช่นนี้ ล้วนเป็เพราะเ้าคนเดียว เพราะเ้าประหลาดเกินไปจึงมีผลกระทบมาถึงข้าด้วย"
เฉียวเยว่มองดูการกระทำของฉีอันเงียบๆ หลังจากนั้นก็เบือนสายตาไปอย่างเ็า และไม่สนใจเขาอีก
ฉีอัน "..."
แต่ถึงแม้ว่าเฉียวเยว่จะไม่นำพา ฉีอันก็ยังวางแผนเตรียมการได้อย่างรวดเร็ว เฉียวเยว่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเชิญรัชทายาทกับพี่หญิงอิ้งเยว่มาด้วย
คนไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่มีแต่คนรู้จักคุ้นเคยกันทั้งสิ้น นอกจากคนในครอบครัวของตนเอง ก็ยังมีิ่จื้อรุ่ยกับหยางโม่หลันอีกสองคน
เฉียวเยว่อยากจะบอกเหลือเกินว่า หนุ่มน้อย เ้าทำอะไรเด่นชัดเกินไปหรือไม่ แต่ฉีอันกลับวางท่าประหนึ่งบอกว่าข้าเป็คนเปิดเผยตรงไปตรงมา
เฉียวเยว่เบะปาก แต่พอเห็นรถม้าของหรงจ้านมาถึง นางก็โบกมือน้อยๆ ให้เขาทันที หรงจ้านลงจากรถเห็นสาวน้อยยืนอยู่บนหัวเรือ นางสวมชุดชวีจวีสีชมพูอ่อน มวยผมมัดด้วยสายคาดสีอ่อน ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้น พูดในใจ ดูท่าเฉียวเยว่จะชอบเขามาก มิเช่นนั้นไหนเลยจะมีท่าทางดังไม่พบหน้าหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารทเยี่ยงนี้ แม้ว่าปรกติจะแสร้งทำเหมือนไม่แยแส แต่ในใจมิเคยห่างจากเขาเลย
แต่นึกดูแล้วก็จริง หากคุยถึงเื่ความหล่อเหลาสง่างาม หากเขาบอกว่าเป็ที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าอ้างว่าเป็ที่หนึ่งแล้ว
หรงจ้านยกมือขึ้นโบกพัด มีรอยยิ้มประดับมุมปาก แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
เฉียวเยว่โบกมือไม่หยุด "พี่สาว พี่สาว ทางนี้"
หรงจ้านสะดุดเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยืนเก้อมองไปด้านหลัง รถม้าจวนรัชทายาทก็มาถึงพอดี
หรงจ้านมุมปากกระตุกยืนนิ่งไม่ขยับ แต่เขาก็สงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากมองรัชทายาทกับชายาอย่างพินิจก็หัวเราะเอ่ยว่า "ช่างบังเอิญจริงๆ"
คำกล่าวประโยคนี้ทำให้รัชทายาทกับชายารู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อทุกคนล้วนนัดหมายกันไปล่องเรือสำราญ จะบอกว่าบังเอิญได้อย่างไร?
รัชทายาทอมยิ้มอย่างสง่างาม "ญาติผู้พี่ ท่าน..."
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นหรงจ้านสะบัดแขนเสื้อ เดินนำไปแล้ว
รัชทายาทแข็งค้างอยู่กับที่ ทว่าเขาก็เคยชินกับนิสัยแปลกประหลาดของหรงจ้านเสียแล้ว หันไปประคองอิ้งเยว่ "เ้าระวังหน่อย"
อิ้งเยว่าเ็เท้าแพลง บัดนี้นับว่าดีขึ้นแล้ว แต่รัชทายาทก็ยังคงประคองนางด้วยความห่วงใย
เฉียวเยว่เห็นภาพฉากนี้มาแต่ไกล ก็เปรยว่า "พี่จ้านนี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ"
อาจารย์ฉีกลับอมยิ้มเอ่ยว่า "การเป็ตัวของตัวเองหาใช่เื่เลวร้าย ข้ากลับคิดว่า หากคนคนหนึ่งไม่สามารถแม้แต่จะใช้ชีวิตอย่างที่ตนเอง้า จะต่างอันใดกับปลาเค็มตัวหนึ่งเล่า?"
เฉียวเยว่งงเป็ไก่ตาแตก แต่นางก็ชินกับอุปนิสัยของท่านตาเสียแล้ว
หรงจ้านไม่ค่อยเป็มิตรกับรัชทายาท แต่กลับนอบน้อมมีมารยาทกับอาจารย์ฉีอย่างยิ่ง หลังจากขึ้นเรือก็ทักทายทันที "ผู้าุโฉี"
เฉียวเยว่ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฉีอันกระทุ้งนาง แล้วถามเสียงเบา "เขากำลังตบสะโพกม้า [2] หรือ?"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าฉีอันเก็บอาการไม่เป็เอาเสียเลย พูดออกมาเช่นนี้กลัวคนไม่ได้ยินหรือไร ไม่มองเสียบ้างเลยว่ารอบข้างของตนเองมีใครบ้าง
แต่นางกลับทอยิ้มอ่อน พูดอย่างจริงใจ "พี่จ้านหาใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย เขาจริงใจที่สุด ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบประจบสอพลอ หากเขาเป็คนเยี่ยงนั้นจริง เหตุใดเมื่อครู่จึงปฏิบัติต่อเสด็จพี่รัชทายาทเยี่ยงนั้นเล่า"
รัชทายาทกำลังเตรียมขึ้นเรือ ก็ซวนเซแทบจะล้มคะมำไปด้านหน้า
เฉียวเยว่นึกถึงท่าทางสะดุดของหรงจ้านเมื่อครู่ ก็เอ่ยปากอย่างจริงจัง "คนบ้านนี้ดูเหมือนกระดูกจะมีปัญหา ควรดื่มน้ำแกงกระดูกหมูให้มากหน่อย จะได้เป็การเสริมแร่ธาตุอย่างเหมาะสม"
รัชทายามพลันกระอักกระอ่วน จะเดินต่อไปก็ไม่ได้ จะไม่เดินก็ไม่ได้
แต่อิ้งเยว่กลับยิ้มมุมปาก พยักหน้าให้เฉียวเยว่ "ซุกซนนัก"
เฉียวเยว่รีบกระวีกระวาดเข้ามาประคองอิ้งเยว่ "พี่สาวออกเรือนแล้วก็เข้าข้างผู้อื่น ข้ามิได้ทำอันใดเลย ก็หาว่าข้าซุกซน ข้าเป็ผู้บริสุทธิ์นะเ้าคะ"
หรงจ้านหันกลับมาทันควัน แล้วเอ่ยปากอย่างมีเหตุผล "แท้จริงแล้วก็ครอบครัวเดียวทั้งนั้น"
เฉียวเยว่อึ้งเล็กน้อย หลังจากหน้าก็หน้าแดงขึ้นมา
...
[1] กินอาหารสำเร็จ ใช้อุปมาถึงคนที่อยากได้ผลประโยชน์แต่ไม่อยากลงแรง
[2] ตบสะโพกม้า หมายถึงการยกยอปอปั้นเอาอกเอาใจผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้