จางกุ้ยฮัวมีความสุขมากที่ได้ยินสิ่งนี้ โอบกอดนางไว้ในอ้อมกอด ยิ้มแล้วเอ่ย “ฉลาดหลักแหลมนักนะ เ้าไปฟังมาจากไหน? พูดได้มีเหตุผลยิ่งนัก”
“ท่านแม่ จะฟังที่ไหนได้อีก หากไม่ใช่ในหมู่บ้าน!” หลิวเต้าเซียงนิสัยแก่นแก้ว ราวกับลิง มักจะชอบออกไปเสเพลข้างนอก ไม่เหมือนหลิวชิวเซียงที่เป็เด็กดีว่างาย
ปังปังปัง!
ขณะที่ทั้งครอบครัวกําลังพูดคุยกัน ประตูด้านนอกลานบ้านก็ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“เปิดประตู เปิดประตูเร็ว แม่ เรากลับมาแล้ว!”
“เอ๋ ลุงรองกลับมาแล้วหรือ?” หลิวเต้าเซียงยื่นศีรษะออกมาจากอ้อมกอดของจางกุ้ยฮัว มนุษย์ตัวจิ๋วในใจกรีดร้อง ช่างเป็ค่ำคืนที่น่ารื่นเริงใจเสียจริง!
หลิวซานกุ้ยฟังออก จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ข้าไปเปิดประตูดีกว่า เดาว่าแม่คงหลับไปแล้ว”
เขายืนขึ้นและเตรียมที่จะออกไปข้างนอก แต่ขณะจะก้าวเท้าก็พบว่ากางเกงถูกดึงไว้ พอก้มลงมอง บุตรสาวคนรองของตนกำลังใช้มือเล็กๆ คว้ากางเกงเขาไว้แน่น
“พ่อ ห้ามไป”
หากคนเรา้าเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเริ่มจากรายละเอียดเล็กๆ
หลิวเต้าเซียงปวดศีรษะเล็กน้อยกับพ่อผู้แสนดีของตนที่มีนิสัย ‘ข้ารับใช้’ เมื่อเห็นว่าหลิวซานกุ้ยจะพูดอะไร จึงรีบเอ่ย “นั่นคือลุงรอง”
“อืม พ่อรู้ว่าคือลุงรองของเ้า” ดังนั้น ลูกรัก เ้าเอามือออกได้หรือไม่
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาและอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “พ่อ นั่นคือลุงรอง เขาไม่ได้มีสะใภ้กับลูกหรือ? เรียกเสียงดังเพียงนี้ ป้ารองไม่ได้ยินหรือ? แม้ว่านางสั่งพ่อให้ไปเปิดประตู ข้าก็ไม่ให้พ่อไป”
หลิวเต้าเซียงดื้อรั้นเล็กน้อย แน่วแน่ไม่ยอมปล่อยมือ
จางกุ้ยฮัวคิดเกี่ยวกับเื่นี้และยังโน้มน้าวว่า “พ่อของลูก ลูกรองพูดไม่ผิด เรียกเสียงดังเช่นนี้ ทั้งบ้านมีใครไม่ได้ยินบ้าง ป้ารองไปเปิดเองไม่เป็หรือ นั่นคือสามีของนางเชียวนะ”
ดังนั้น หลิวซานกุ้ยทำเหมือนเป็การห่วงเื่ชาวบ้านมากเกินไป
หลิวเต้าเซียงเห็นว่ามีคนคอยสนับสนุน หางน้อยๆ ด้านหลังก็ชี้ขึ้นฟ้า เอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน “ห้ามไปก็คือห้ามไป พ่อ หากพ่อกล้าไป ข้าจะลงกลอนประตู ไม่ให้พ่อเข้ามานอนคืนนี้”
“เอ๋ ลูกรองของเราใช้ได้ั้แ่เมื่อใดกัน” จางกุ้ยฮัวได้ยินเช่นนี้ก็อยากโอบลูกรักไว้ในอ้อมกอด แล้วจับมาบดเป็ก้อนแล้วขยำ!
ในขณะเดียวกันก็ถอนหายใจ เฮ้อ ในที่สุดนางก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเฒ่าทารกตัวน้อยนี้แล้ว บุตรสาวบ้านใดชอบทำหน้าเคร่งเครียดราวกับเฒ่าทารก
ในที่สุดหลิวซานกุ้ยก็ไม่ได้ออกไปเปิดประตู เพราะหลิวเต้าเซียงพบว่าวิธีการออดอ้อนใช้ได้ผลชะงัด จึงรีบออกมาจากอ้อมกอดของจางกุ้ยฮัว โอบขาของหลิวซานกุ้ยราวกับหมีโคอาล่าไม่ยอมปล่อยมือ
แน่นอน ผ่านไปเพียงชั่วขณะ หลิวซุนซื่อก็เปิดประตูห้องปีกทิศตะวันออกแล้วออกมาอย่างเชื่องช้า
หลิวเต้าเซียงถือโอกาสพูดว่า “พ่อ เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้ว ป้ารองเองก็ได้ยินแล้ว นางแค่รอพ่อออกตัวไปก่อน พ่อทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน รีบล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อนเถิด”
คำพูดนี้ช่างใส่ใจเหลือเกิน หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าในบ้านมีบุตรสาวมากกว่านี้ ต่อไปยามแก่เฒ่า ชีวิตคงอยู่อย่างสุขสบาย
ในความเป็จริง หลิวเต้าเซียงกําลังคิด ในเมื่อหลิวเหรินกุ้ยกลับมาแล้ว นางจะพลาดความสนุกสนานนี้ได้อย่างไร กำมือน้อยๆ แอบฟังผนังห้อง ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!
“เหรินกุ้ยหรือ? เหตุใดจึงกลับมาเวลานี้?” หลิวฉีซื่อกำลังเปิดหน้าต่างตรงห้องตะวันออกตรงกลาง ยื่นศีรษะออกมาถาม
หลิวเหรินกุ้ยพาหลิวจื้อไฉเข้าไปในลานบ้านและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ แม่ วันนี้อาจารย์ของจื้อเอ๋อร์ฉลองวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด ดื่มสุราแต่งกลอนกันจนดึก ข้าจึงส่งลูกกลับมา พอดีกับวันนี้แขกจองอาหารไว้ แต่กลับไม่มีใครมา เถ้าแก่จึงเป็รางวัลให้ข้า ข้าหิ้วเนื้อลาย่างน้ำแดง เนื้อเป็ดอบแห้ง แล้วก็เนื้อหมูผัดกระเทียม ล้วนเป็สิ่งที่แม่ชอบกิน”
หลิวฉีซื่อชอบหลิวเหรินกุ้ยตรงจุดนี้มาก เมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับอาหารดีๆ ในโรงเตี๊ยม เขาจะขอให้ใครบางคนส่งกลับบ้าน
“รีบเข้าบ้านพักผ่อน ดึกดื่นค่ำมืด รุ่งเช้าค่อยให้จื้อเอ๋อร์เอากลับมาก็ได้”
ในความเป็จริง ตอนมื้อเย็นนางพบว่าหลานชายคนรองไม่อยู่ ทว่า นี่คือเื่ปกติ หลิวจื้อไฉเองก็มีเพื่อนฝูงบ้างในหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้ เวลาอาหารค่ำจึงไม่ได้เอ่ยถามมากนัก
“ย่า ท่านควรรีบไปพักผ่อน ข้ากับพ่อจะเอาอาหารไปไว้ในโอ่งน้ำห้องครัว” หลิวจื้อไฉโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังหลิวเหรินกุ้ย เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม ดูไม่ออกว่าในใจเกิดความไม่พอใจกับความอยุติธรรมของหลิวฉีซื่อ
หลิวซุนซื่อไม่ชอบหน้าหลิวฉีซื่อเลยตอนนี้ ในใจมีเื่มากมายอยากบอกกับหลิวเหรินกุ้ย จึงเอ่ยตาม “แม่ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเข้านอนเถิด กลางคืนอากาศหนาวร่างกายจะไม่สบายเปล่าๆ”
ในห้องตะวันออกมีเสียงฮึดฮัดเ็าดังขึ้น
หลิวเสี่ยวหลันยังไม่คลายโมโห ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลิวฉีซื่อจะยกเงินให้หลิวสี่กุ้ยสิบตำลึงเงิน แล้วหลิวซุนซื่อยังหน้าไม่อายมาแทรกแซงเื่นี้ด้วย เมื่อเห็นว่าหลิวเหรินกุ้ยกลับมา นางจึงไม่ได้กล่าวทักทาย
หลิวเต้าเซียงเขย่งเท้าไปที่หน้าต่าง แล้วแอบมองไปที่ลาน อาศัยแสงดวงดาว มองเห็นเงาใครบางคนเดินไปทางห้องปีกทิศตะวันตกรางๆ
“น้องรอง เหตุใดเ้าจึงยังไม่นอน?” หลิวชิวเซียงถูกหลิวเต้าเซียงลากไปข้างหน้าต่าง แอบฟังผู้อื่นคุยกัน
หลิวเต้าเซียงเอานิ้วชี้วางข้างริมฝีปาก เอ่ยถามเสียงค่อย “ชู่! พี่ใหญ่ พี่ว่าตอนกินอาหารค่ำ ป้ารองโวยวายเช่นนั้น แล้วเหตุใดต่อมาจึงหยุดเสียอย่างนั้น?”
หลิวชิวเซียงเบ้ปากตอบ “ยังจะเพราะอะไรอีก ย่าบอกแล้วว่า หากนางยังโวยวาย ก็จะไม่แบ่งเงินให้นาง”
“ใช่ ก็แค่คลอดบุตรชายได้ ย่าก็อนุญาตให้นางโวยวายอาละวาดเช่นนี้ ในเมื่อป้ารองพูดจาไม่น่าฟัง แต่ว่าย่าก็ยังยินยอมจะแบ่งเงินให้กับนาง” หลิวเต้าเซียงไขว่คว้าโอกาสตลอดเวลา เพื่อปลุกระดมหลิวชิวเซียง
“ย่าลำเอียงเกินไป แม้ว่าจะไม่มีน้องชาย แต่พวกเราทุกคนก็กตัญญูเชื่อฟัง แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวฝั่งนางจะไม่มีชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปข้าจะต้องรักคนในครอบครัว ทำให้ย่าต้องอิจฉาไปตลอดชีวิต” แม้ว่าหลิวชิวเซียงจะรู้สึกว่าตนเองคงไม่ได้มีโอกาสได้ออกเรือนกับชนชั้นสูง แต่นางก็มีความแน่วแน่ที่จะทะเยอทะยานไขว่คว้า
หลิวเต้าเซียงยิ้มเล็กน้อย “พี่ พี่วางใจได้ พี่ต้องได้ออกเรือนกับตระกูลที่สูงส่ง”
อย่างน้อยก็ต้องดีกว่าหลิวฉีซื่อ!
เ้าถั่วงอกพูดได้ถูกต้อง มีเงินก็สามารถข่มยายละโมบผู้นี้ได้!
“พี่ พี่ไม่สงสัยหรือว่า เหตุใดลุงรองดึกดื่นป่านนี้ยังเร่งเดินทางกลับมา!”
หลิวชิวเซียงเอื้อมมือออกไปและดีดหน้าผากนางเบาๆ ด่าพร้อมกับหัวเราะ “เ้าเล่ห์นัก เ้าชักใยอะไรอยู่เื้ัอีกแล้ว?”
“พี่ พี่ดูไปเถิด บ้านเราต้องแยกบ้านเป็แน่ แม้ว่าจะไม่ใช่ปีนี้ หรือปีหน้า หรือปีถัดไป แต่เราต้องแยกบ้านแน่นอน”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความมั่นใจในตนเอง ทําให้เปลวไฟเล็กๆ ในหัวใจของหลิวชิวเซียงเริ่มปะทุขึ้นมา
บางทีในตอนที่ปู่ย่าตายายของนางยังมีชีวิตอยู่ ครอบครัวนี้ก็สามารถประสบความสําเร็จได้เช่นกัน!
นางเข้าใจทันทีว่าเื่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับน้องสาวของนางเอง “น้องรอง เ้าทําได้อย่างไร” หลิวชิวเซียงรู้สึกว่าน้องสาวฉลาดเกินไปจริงๆ
หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ “ไปกันเถอะ ลุงเนียงคนรอง พวกเขาเข้าไปในบ้านแล้ว” นางดึงหลิวชิวเซียงไปที่ประตู ลดเสียงลงและตอบว่า “มันเป็เงินที่ย้ายหัวใจของผู้คน!”
“เ้าว่าอย่างไรนะ?” หลิวชิวเซียงได้ยินไม่ค่อยชัดเจน
หลิวเต้าเซียงหันมาเม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วยิ้ม แววตาอ่อนโยนนั้นมองไปทางเงาดำตรงหน้า “ไม่มีอะไร ข้าแค่จะบอกว่า หากไม่แอบตามไป เราคงพลาดอะไรดีๆ แน่นอน”
ในคืนที่มืดมิด ดวงตาของหลิวชิวเซียงที่ปกตินิ่งสงบกลับเปล่งประกายขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของน้องรองว่าต้องแยกบ้านได้แน่นอน!
นางเดินออกจากห้องปีกตะวันตกไปกับหลิวเต้าเซียง คืนฤดูใบไม้ผลิอ่อนนุ่ม ดวงดาวระยิบระยับสุกสกาว ผืนนามีเสียงร้องของกบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นช่างดูมีชีวิตชีวาเหลือล้น ความผ่อนคลายที่ไม่รู้ที่มา ฝีเท้าก็เริ่มเบาสบาย
หลิวเต้าเซียงพานางทะลุผ่านห้องครัวไป แล้วอ้อมไปทางด้านหลังของปีกห้องตะวันออก
เมื่อสองพี่น้องมาถึงใต้หน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงของหลิวซุนซื่อดังขึ้น “เหรินกุ้ย ข้าว่าแม่ยืนกรานหนักแน่นเื่ยกสิบตำลึงเงินให้ครอบครัวพี่ใหญ่ ไม่ลองคิดว่า สิบตำลึงเงินนั้นก็มีส่วนของครอบครัวเราอยู่ในนั้นด้วย เหตุใดจึงยกให้เขาหมด”
“ท่านพ่อ ท่านแม่พูดถูก ในสิบตำลึงเงินนั้น อย่างน้อยก็มีสามหรือสี่ตำลึงเป็ของครอบครัวเรา แม้ว่าลุงใหญ่จะขอเงิน ย่าก็ควรให้ครอบครัวเราสามหรือสี่ตำลึงเงิน แล้วให้อาสี่สองตำลึงเงิน ที่เหลือถึงจะเป็ของครอบครัวลุงใหญ่”
นี่คือเสียงของหลิวจื้อไฉ หลิวเต้าเซียงได้ยินก็ถอนหายใจเงียบๆ ครอบครัวนี้ไม่เคยมีหลิวซานกุ้ยอยู่ในสายตาจริงๆ
ในห้องเงียบไปสักพัก ผ่านไปชั่วครู่ หลิวซุนซื่อก็ยื่นมือไปผลักหลิวเหรินกุ้ยที่สูบยาสูบอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ เพียงแต่จุดไฟจึงไล่ถาม “เหรินกุ้ย ท่านคิดว่าอย่างไร? ถึงอย่างไรก็คงไม่สามารถปล่อยให้เงินของเราไหลไปอยู่ในกระเป๋าของลุงใหญ่ได้หรอกนะ นี่เป็การเสียผลประโยชน์ให้บ้านเขา”
หลิวเหรินกุ้ยโกรธเป็ฟืนเป็ไฟอยู่ในใจเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวซุนซื่อก็ยิ่งหงุดหงิดใจ คำพูดนี้จึงแฝงความโกรธเคือง แล้วด้วยความรำคาญใจ “ก็ไม่ได้คิดเช่นไร แม่บอกว่าหากยังโวยวาย ต่อไปค่าเล่าเรียนของจื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ แม่ก็จะไม่ส่งเสียให้”
หลิวซุนซื่อไม่เชื่อ หลิวฉีซื่อมีความฝันมาตลอดชีวิต เกี่ยวกับสถานะฮูหยินของขุนนาง นางน่ะหรือจะปล่อยวางได้ง่ายดายเช่นนี้?
นางตอบทันทีว่า “คำพูดนี้ก็เชื่อหรือ? ความคิดของแม่เ้าเป็อย่างไร เ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง จื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ของเราการเรียนก็ไม่ได้แย่ แม่จะรู้แน่จริงได้อย่างไรว่าเซิ่งเอ๋อร์นั้นจะได้เื่”
“เื่นี้เ้าอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าบอกเื่นี้กับเ้าสี่แล้ว เขาบอกว่า ่นี้มีการมอบของกำนัลร่วมแขนงค่อนข้างเยอะ ใช้จ่ายมาก จึงให้เราบอกกับแม่วันรุ่งขึ้น ให้แม่ส่งเงินไปให้เขา”
ใบหน้าของหลิวซุนซื่อนิ่งขรึม จากนั้นเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างมีความสุข “สมแล้วที่อาสี่เป็ผู้เล่าเรียนมาเยอะ ลำพังจะขอเงินยังหาวิธีที่อ้อมไปมาได้แตกต่างจากข้าที่ไม่เคยเล่าเรียน เื่นี้แม่ต้องรับปาก ใช่สิ เขา้าเท่าใด?”
หลิวเหรินกุ้ยยื่นออกมาหนึ่งนิ้ว หลิวจูเอ๋อร์ที่นั่งปักผ้าอยู่ข้างๆ ได้ยินถึงกับเบ้ปาก “หนึ่งตำลึงเงิน? เป็ไปได้อย่างไร? อาสี่ไม่มีทางเหลียวแลหนึ่งตำลึงเงินอยู่แล้ว”
“ไปไปไป เด็กจะไปเข้าใจอะไร!” หลิวซุนซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกไปทางหลิวจูเอ๋อร์ หันหลังแล้วสังเกตสีหน้าของหลิวเหรินกุ้ย เห็นเขาทำหน้าดูแคลน จึงลองทดสอบถามอีก “สิบตำลึงเงิน?”
“ไม่ใช่ เหอะ บางทีข้าว่าเ้าสี่ของเราอาจจะไร้ความรู้สึกที่สุดก็ได้!” หลิวเหรินกุ้ยตอบพร้อมกับมีรอยยิ้มแฝง
คนโตหลิวสี่กุ้ยร้อนเงินเพราะกำลังจะมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่ม ส่งผลให้หลิวซุนซื่อมีความคิดอยากได้เงินบ้าง ส่วนหลิวเหรินกุ้ยเพียงแค่มองดูการกระทำ เขาเองก็ไม่พอใจ นี่จึงทำให้่บ่ายหลิวจื้อไฉเข้าไปในตำบล บอกกล่าวเื่ราวที่หลิวจูเอ๋อร์บังเอิญได้ยินมา หลิวเหรินกุ้ยจึงไปหาหลิววั่งกุ้ย จากนั้นก็บอกกล่าวเื่นี้ั้แ่ต้นจนจบอีกรอบ สิ่งใดที่ควรปกปิดก็ปกปิดไว้ ส่วนใดที่ควรสาดน้ำมันเข้าไปเพิ่มก็ไม่ได้ยั้งมือแต่อย่างใด
-----