สิ่งที่เรียกว่าการทดสอบระหว่างเดือนนั้น เป็การสอบรายตัวที่ศิษย์ทุกคนต้องเข้าร่วมทุกเดือน
การสอบครานี้ มีอาจารย์ของสำนักกำหนดคำถาม เนื้อหาของคำถามเกี่ยวกับกระบวนท่าวรยุทธ์เสียส่วนมาก เมื่อนักเรียนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเข้าทดสอบสำเร็จหมดแล้ว ก็อาจมีการจัดลำดับรายชื่อตามพลังใหม่ก็เป็ได้
อีกทั้งในการทดสอบระหว่างเดือนนี้ ศิษย์คนอื่นมีสิทธิ์ท้าสู้กับใครก็ได้ในรายชื่อทั้งสิบ หากโค่นล้มลงได้ก็จะได้แทนที่ สำหรับคนอื่นแล้ว มันเป็โอกาสล้ำค่าเหนืออะไรดี
อาจกล่าวได้ว่า ลักษณะสำคัญของการทดสอบระหว่างเดือนนี้ก็ยังเป็การทดสอบสู้ศึกนั่นแหละ
เพราะท้ายที่สุดการจัดรายชื่อผลทดสอบระหว่างเดือนย่อมถูกรู้เห็นโดยคนทั้งนครอยู่ดี ศิษย์ระดับแนวหน้าอย่างไรก็ถูกจับตามองเป็พิเศษอยู่แล้ว และยังอาจลามไปถึงเป็ฝ่ายถูกผู้คน รุมตอมเป็ิญญาตามติดด้วย
ชื่อเสียงนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ เป็เช่นนี้นี่เอง
แน่นอนว่า สำนักไม่สิ้นศิษย์ผู้มีใจใฝ่วรยุทธ์ ้าขัดเกลาตัวเอง ยืนยันพลังที่แท้ของตนให้ได้รู้
ทว่ากับเ่ิูแล้ว เขากลับไม่สนใจมันมากมายถึงเพียงนั้น
ข้อแรกคือผลาญเวลาเสียเปล่า ข้อสองคือเื่หลิวเล่ย เขาไม่อาจแสดงพลังที่แท้ออกมาต่อสาธารณชนได้
เ่ิูในยามนี้ มองภายนอกมีพลังแค่ขั้นแรกเริ่มของอาณาพิภพขั้นหก ด้วยเหตุนั้นคนอื่นๆ ถึงมองว่าเขาไร้หนทางสังหารหลิวเล่ยและนักเรียนปีสองสองคนนั่นสนิท แต่หากเขาเผยพลังระดับนักยุทธ์แรกเริ่มน้ำพุิญญาขึ้นมาแล้วล่ะก็ หลิวหยวนชั่งยิ่งมีแต่จะได้เหตุผลมาสงสัยในตัวเขาขึ้นไปอีก ต้องทำความวุ่นวายตามมาเป็พรวนแน่
ยังไม่ได้เอ่ยถึงความจริงที่ว่าการจัดลำดับรายชื่ออะไรนั่น ไม่ได้สลักสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น
พลังที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากการจัดอันดับหรอก
และเ่ิูก็ใช้เวลาสองสามวันต่อมาในการทดสอบระหว่างเดือน เขาสนองตอบไปชนิดงูๆ ปลาๆ ยิ่งในกระบวนท่าวรยุทธ์ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ได้แสดงพลังเลิศล้ำออกมาให้ผิดสังเกต ทำผลให้ชนะหนึ่งแพ้สองอย่างรีบเร่ง
เวลาหลงเหลือจากการสอบ เขาก็จะไปขลุกอยู่กับหอสมุดคลังแสง หรือไม่ก็กลับห้องนอนตัวเองเพื่อฝึกกระบวนท่าถัว
พลังที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม กำลังค่อยๆ เติบโตขึ้น
เด็กหนุ่มเปรียบเหมือนหนอนบุ้งนอนในดักแด้ เพียงรอวันกะเทาะดักแด้ออกมา สยายปีกกระพืออย่างเสรีกลางแสงตะวัน ทิ้งทวนสีสันอันงดงามให้ผู้พบเห็นได้ตกตะลึงและบูชา
สามวันต่อมา
การทดสอบระหว่างเดือนซึ่งเป็ที่จับตามองของประชาชนสิ้นสุดลง
และสำนักก็ได้กำเนิดรายชื่อการจัดอันดับศิษย์ฉบับใหม่ออกมาอย่างรวดเร็ว
บนกระจกศิลากลางลานแสดงยุทธ์ รายนาม นามแล้วนามเล่าปรากฏขึ้นมา ความเคลื่อนไหวไม่แพ้ตอนสอบเข้าสำนักเลยทีเดียว
“ฉินอู๋ซวงยังเป็ที่หนึ่งเหมือนเดิม แกร่งเกินไปแล้ว ไม่มีใคระเืบัลลังก์ได้เลยหรือไงกัน!”
“อัจฉริยะสำนักเ้าเมือง ใครเล่าจะอาจหาญโค่นล้มได้? คุณสมบัติแต่กำเนิดของศิษย์พี่ฉินน่ะ คนอื่นแค่คิดก็ไม่กล้าจะคิดแล้ว...”
“เยี่ยนสิงเทียนก็ใช่ว่าจะเคี้ยวง่ายๆ นะ ตอนนี้ยังครองที่สองไว้ได้อยู่เลย คนจนยากแค้นทำได้ถึงจุดนี้ น่ายกย่องนัก เห็นบอกว่าพลังที่เขาแสดงออกมาตอนสู้บนสังเวียน ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินอู๋ซวงเลยเชียวนะ!”
“ซ่งชิงหลัวยังอยู่ที่สิบ อืม ความมั่งคั่งของเครือการค้านี่สุดจะพร์เลยนะ ไม่เคยมีขีดจำกัดเลยจนวันนี้...เห็นข่าวลือกันว่าเตรียมจัดงานแต่งเชื่อมทองแผ่นเดียวกันกับสำนักเ้าเมืองแล้วนี่...”
“คนที่อันดับพุ่งพรวดเร็วที่สุด เห็นจะเป็่เี่ินะ เด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวทั้งมึนทั้งงงนั่น ถีบตัวเองมาจนถึงหนึ่งในสิบห้าจนได้ ขึ้นมาร้อยอันดับเชียว...”
“นางเป็หนึ่งในรายชื่อสิบคนนี่ ได้คำแนะนำจากหัวหน้าหมวดหวังโดยตรง พัฒนาได้ขนาดนี้ก็สมแล้วล่ะ!”
นักเรียนแออัดกันอยู่หน้ากระจกศิลาพูดคุยกันสนุกปาก
“โอ้ ใช่สิ เ่ิูเล่า? เห็นว่าพร์ฉูดฉาดนัก ทำไมข้าถึงไม่เห็นเขาในห้าสิบอันดับแรกนะ?” มีคนนึกอะไรออกกะทันหัน ะโถามดังลั่น
“เอ๊ะ ใช่ๆ ชื่อของเ่ิู...ห้าสิบอันดับแรก ไม่มี...ร้อยอันดับแรก...ก็ดูเหมือนจะไม่มีอีก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“สองร้อยอันดับก็ไม่มีเหมือนกันนะ หรือจะออกผิดกันจริงๆ...”
“มาดูเร็ว อยู่ตรงนั้น...อันดับที่ห้าร้อยเจ็ดสิบ!”
“ไม่มีทางมั้ง? เอ๊ะ? เื่จริงหรือนี่!”
“นี่...อันดับตกฮวบฮาบขนาดนี้...เ่ิูคนนี้ แย่ลงจริงๆ น่ะหรือ? ไม่ถูกเลย เขาไม่ใช่คนเดียวกันกับที่โค่นเซี่ยโหวอู่กับหลิวเล่ยที่เคยอันดับเยอะกว่างั้นหรือ?”
ที่สุดก็มีคนพบชื่อของเ่ิู ผิดหวังกันบานตะไท ตกมาเป็อันดับที่ห้าร้อยกว่าๆ เทียบกับอันดับตอนสอบเข้าแล้วร่วงลงมาห้าร้อยสี่สิบเก้าลำดับ
“เฮอะๆ สุดท้ายก็ไม่จีรังยั่งยืนจริงๆ สินะ!”
“สวะมันก็สวะอยู่วันยันค่ำ เข้าเป็ศิษย์มาได้ ก็อย่าคิดผยองจะเปลี่ยนพันธุ์!”
“ข้ายังหลงคิดว่าอันดับหนึ่งผู้ซึ่งฟ้าประทานจะกำเนิดขึ้นมาได้ เป็ได้แค่นี้หรือนี่...เฮอะๆ แค่ทดสอบระหว่างเดือนครั้งแรก ยังพลาดท่าร่วงลงบานเบอะ น่ากลัวว่าถ้าเจอทดสอบอีกสองสามครั้ง เ่ิูจะเจอะทางตันเข้าให้เถอะ!”
กลุ่มลูกผู้ดีที่ไม่ชอบขี้หน้าเ่ิูแต่แรกจำนวนหนึ่ง ล้วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยออกมา แค่เยี่ยนสิงเทียนคนเดียวก็ทำพวกเขาเจ็บแสบเหมือนมีหนามทิ่มกระดองใจพอแล้ว เป็เหมือนตะปูขวางลูกตา และเมื่อเร็วๆ นี้ยังมีคนยกเ่ิูมาเปรียบเทียบกับฉินอู๋ซวงอีก สำหรับพวกเขาแล้วเป็เื่ที่รับไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้ดูท่าว่าเ่ิูคนนี้จะกลายเป็ตัวตลกไปจริงๆ เสียแล้ว
ไม่จำเป็จะต้องใส่ใจให้เปลืองสมองอีกต่อไป
และศิษย์ฐานันดรต่ำต้อยส่วนน้อยก็ถอนหายใจเศร้าๆ ออกมา ทว่าก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร เพราะตลอดเวลาผ่านมา เ่ิูหมกมุ่นอยู่กับการซ้อม ไม่ได้เป็กลุ่มเป็พวกเดียวกับกลุ่มยาจก ภาพลักษณ์เขาในใจคนเหล่านี้ มีแต่เย่อหยิ่งไม่คบเพื่อนฝูงเท่านั้น
คำครหานินทานานาแต่งแต้มอยู่ตามสายลม ราวกับเ่ิูได้กลายเป็ตัวตลกอีกครา
พอรายชื่ออันดับประกาศออกมาแล้ว ความสนใจของคนส่วนมากก็เลื่อนไปที่การท้าประลองคนในรายชื่อทั้งสิบ
นี่คือเนื้อหาสุดท้ายของการทดสอบ
เหล่าหนุ่มสาวฟ้าประทานทั้งสิบจะได้รับการทดสอบและล้างมลทินของการต่อสู้จริง แต่หากคนที่เชื่อมั่นในพลังตัวเอง สามารถรับการทดสอบง่ายๆ อย่างเดียวแล้วขึ้นสังเวียนท้าดวลใครก็ได้ในสิบคนตามประสงค์
หากแม้นได้ชัยชนะ ก็จะได้เข้าแทนที่อันดับของผู้นั้นทันที
“ฮ่าๆ เดือนหนึ่งแล้ว ข้ารอวันนี้ใจจดใจจ่อมานาน วันที่ข้าจะได้่ชิงตำแหน่งหนึ่งในสิบรายชื่อนี่มาให้จงได้!”
“ผลสอบตอนสอบเข้าสำนักมันไม่ได้วัดผลอะไรชัดเจนเลย มีแต่พลังในการต่อสู้ศึกจริงเท่านั้นถึงจะอธิบายทุกอย่างได้กระจ่าง หนึ่งเดือนมานี้ข้าฝึกฝนเืตาแทบกระเด็นทุกวันทุกคืน พลังเพิ่มขึ้นมาก ต้องชนะได้แน่!”
“ข้าจะยืนยันให้รู้ดำรู้แดงว่าการที่หัวหน้าหมวดหวังไม่เลือกข้า เป็เื่ผิดมหันต์!”
“การตัดไฟั้แ่ต้นลมกับพวกสิบคนนี้ เป็เื่น่าสนุกไม่เลวเลยนะ!”
เหล่าหนุ่มสาวมั่นอกมั่นใจใหญ่ หากเป็มีดก็คงเป็มีดที่ลับจนคมกริบพร้อมเฉือน
กลางสนามแสดงยุทธ์ของนักเรียนปีหนึ่ง มีสังเวียนตั้งตระหง่านขึ้นมา น่าเกรงขามและโอ่อ่า กระบวนพลังโอบล้อมรอบ พลังงานเอ่อท้นประหนึ่งคลื่นซัด มองเห็นบางๆ ในอากาศ
แต่ละสังเวียนจะมีเ้าสังเวียนประจำที่อยู่หนึ่งคน
แม่หญิงน้อยเองก็เป็หนึ่งในคนทั้งสิบรายชื่อ นางจึงเป็เ้าสังเวียนคนหนึ่งด้วยเช่นกัน
รอบนอกของสังเวียน มีอาจารย์ของสำนักประจำการรักษาขั้นตอน ผู้ท้าชิงต้องได้รับการทดสอบพลังที่จำเป็ การจะขึ้นไปประลองได้นั้นย่อมต้องมีคุณสมบัติพลังที่พร้อมเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วหากแห่ขึ้นไปกันหมด อัจฉริยะทั้งสิบอาจเหนื่อยตายเอาได้
ม่านฉากนี้ดึงดูดศิษย์ปีหนึ่งเกือบทุกชีวิตให้เข้ามารายล้อม
เมื่อเสียงระฆังดังกังวานเพราะพริ้ง เมื่อนั้นการท้าประลองเริ่มต้น
่เี่ิยืนอยู่บนสังเวียน นางเลื่อนลอยเล็กน้อย ถึงจะผ่านประสบการณ์ลงสนามจริงมาบ้างแล้ว แต่การต่อสู้เช่นนี้ก็ทำเอาไม่คุ้นเคยเลยได้เช่นกัน
ั์ตาของผู้ท้าชิงล้วนแดงก่ำด้วยอารมณ์รุนแรง เด็กหญิงรู้สึกราวกับมีไอแห่งสัตว์ป่าอบอวลออกมา เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เดิมดูเป็มิตรไมตรี พอถึงยามนี้กลับเปลี่ยนไปเป็คนละคน มีความป่าเถื่อนชนิดที่ไม่อาจบรรยายเป็คำพูด
ในบรรดาสังเวียนทั้งสิบนั้น สังเวียนที่ฉินอู๋ซวงประจำตำแหน่งอยู่ ไร้ซึ่งเงาผู้กล้าขึ้นท้าชิง
ด้านหนึ่งก็เป็เพราะฉินอู๋ซวงแข็งแกร่งเกินไป ดุจหงส์งามในฝูงกาดำ ไม่มีใครเชื่อว่าตัวเองจะดันทุรังไปเอาชนะเขาได้สักคน อีกด้านหนึ่งก็เพราะเบื้องลึกเื้ัฐานันดรของฉินอู๋ซวง ไม่มีใครกล้าพอจะยุแยงเลย
และยามเดียวกันฝ่ายเยี่ยนสิงเทียนที่พลังมากมายใกล้เคียงกัน กลับไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัวเขาเลย ถูกศิษย์ไม่น้อยท้าประลองมาั้แ่ต้น แค่เวลาพักผ่อนหายใจออกให้โล่งปอดเต็มๆ ยังแทบไม่มี
สังเวียนของคนอื่น สถานการณ์แตกต่างออกไป
เสียงกู่ร้องสนับสนุน ดังเซ็งแซ่เป็ว่าเล่นกลางลานแสดงยุทธ์ ราวกับคลื่นั์พัดถล่มก็ไม่ปาน ทางนู้นทีทางนี้ที กึกก้องไปทั่วสารทิศ วันนี้เป็วันคึกคักติดอันดับของสำนักกวางขาวอย่างไม่ต้องสงสัย
คนต่างนิสัยต่างหน้าตา ล้วนแล้วแต่ยืนชมอยู่รอบสังเวียนเหมือนๆ กัน
สำหรับลูกศิษย์ส่วนใหญ่แล้ว นี่เป็โอกาสชมและพิเคราะห์การต่อสู้จริงซึ่งหาได้ยากยิ่ง อาจได้แรงบันดาลใจมาจุดประกายในการฝ่าฟันอุปสรรคนานาที่ไม่แน่นอนในวันข้างหน้า
มีที่ยืน เท่ากับมีประสบการณ์โชกโชน อิทธิพลแผ่ขยายไปเจ็ดย่านน้ำ
มีอิทธิพล เท่ากับมีการทะเลาะเบาะแว้ง
มีทะเลาะเบาะแว้ง เท่ากับมีแผนการลับลมคมในต่างๆ นานา
และการต่อสู้แอบแฝงของศึกสังเวียนครานี้ คือการประมือจากความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุดระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำที่มีมานับแต่สถาปนาสำนัก
แม้กระทั่งยามเริ่มบุกเบิกภพไทวะ สถาปนาอาณาจักรเสวี่ยเป็ต้นมา กลุ่มคนสองจำพวกนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว มีแต่ความกระทบกระทั่ง ไล่ั้แ่ราชสำนัก โรงยา กระทั่งเมืองสามัญชนคนธรรมดา ล้วนแล้วแต่หลีกปัญหานี้ไม่พ้น
ชนชั้นสูง้าสร้างความมั่นคงให้ตำแหน่งและสิทธิอำนาจเหนือกว่าของตัวเอง อิทธิพลล้นฟ้า ยื่นอกรับบรรณาการต่างๆ นานา เทียบกับเหล่าชนชั้นล่างที่อยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตตนเองแล้ว พวกเขาถือไพ่เหนือกว่ากันนัก ทว่าหลายสิบปีผ่านมานี้ บรรดาคนชั้นยากได้ให้กำเนิดทรัพยากรบุคคลแข็งแกร่งลือลั่นขึ้นมา สนับสนุนเหล่าผู้ยากจนข้นแค้น
สำนักกวางขาวเองไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมนี้
และในศิษย์รุ่นใหม่ปีนี้เอง ฉินอู๋ซวงก็เป็ผู้นำของกลุ่มชนชั้นสูงอย่างไร้ข้อพิพาท แน่นอนว่าผู้นำของกลุ่มคนยากคือเยี่ยนสิงเทียน ยามที่เ่ิูเก็บตัวเงียบฝึกปรือวิชาตัวเองอยู่นี้เอง การซุ่มวางแผนและสู้ศึกระหว่างสองกลุ่มได้เริ่มขึ้นแล้ว
....
กลางลานแสดงยุทธ์
“อะไรกันเนี่ย? ทำไมคนไปท้าประลองศิษย์พี่เยี่ยนมีแต่พวกชนชั้นสูงทั้งนั้น...พวกน่าอับอายนี่เล่นาประสาท มีลูกไม้อะไรอยู่หรือไง?”
ท่ามกลางหมู่คน มีหนุ่มคนยากจนผู้หนึ่งจับเื่ไม่ชอบมาพากลขึ้นได้
คนท้าประลองกับเยี่ยนสิงเทียนมีมาไม่ขาดสาย ต่อกันเป็แถวยืดยาว
“ฮึ พวกชั้นสูงน่าจะตายๆ ไปซะ น่ารังเกียจเหลือเกิน อยากให้วิธีสกปรกพวกนี้ทำให้ศิษย์พี่เยี่ยนเหนื่อย คิดจะลบชื่อศิษย์พี่ออกจากรายชื่อใจจะขาดล่ะซี่!”
“ไม่เพียงพุ่งเป้าศิษย์พี่เยี่ยนเท่านั้นนะ ศิษย์พี่หลี่ต๋าพื้นเพยากแค้นเหมือนพวกเราก็พลอยโดนไปด้วย...”
“ทำอย่างไรดีล่ะ? พวกเราจะมัวแต่ยืนนิ่งนอนใจเฉยๆ ไม่ได้นะ!”
“ให้แต่ละคนทำตามวิถีทางของตัวเอง รักษาตัวให้ดี ให้ยอดฝีมือของกลุ่มคนจนเช่นเราไปท้าประลองพวกผู้ดีตีนแดงบ้าง ถึงเวลาต้องถีบมันร่วงลงมาได้บ้างล่ะน่า!”
“อืม...ไม่เลว”