กำลังภายในถูกปล่อยออกมาจำนวนมาก ดวงตาของซูิเยว่วาวขึ้นมาเล็กน้อย จี๋โม่หานที่ดูผอมบาง ทั้งยังนั่งบนเก้าอี้รถเข็นมานานหลายปี ในสายตาของคนอื่นอาจดูแล้วเป็คนที่ไร้ค่า คิดไม่ถึงว่าเขาจะซุกซ่อนความสามารถเอาไว้
มือที่ยกออกไปของเฉินอวี้เหอค้างอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
ซูิเยว่คาดเดาว่าจี๋โม่หานอาจจะไม่ชอบให้ใครมาแตะต้อง ตอนที่คิดว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ดวงตาที่หลับมาตลอดของจี๋โม่หานก็ลืมขึ้น ั์ตาคู่นั้นราวกับหมึกและลูกแก้วสีดำส่องประกาย ขนตางอนจนเกิดเงาส่องกระทบลงมาด้านล่าง
ซูิเยว่พลันชะงักลืมสถานการณ์ไปชั่วขณะ นางเบิกตากว้างมองดวงตาที่ลืมขึ้นของจี๋โม่หาน
ส่วนเฉินอวี้เหอที่ยืนอยู่ตรงหน้าจี๋โม่หานสีหน้าก็ยิ่งตะลึงขึ้นไปอีก แววตาจ้องไปยังดวงตาของจี๋โม่หานตาไม่กะพริบ
ก่อนหน้านี้ซูิเยว่คิดว่า ถึงแม้จี๋โม่หานจะตาบอด ทั้งยังพิการนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่เขาก็ยังเก่งกาจขนาดนี้ เช่นนั้นหากตาไม่บอดจะเก่งกาจขนาดไหน
แต่ตอนนี้พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว นางกลับคิดไม่ออกว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรดี
ซูิเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองมองมานานแค่ไหน พอรู้ตัวอีกทีก็ดึงสายตากลับมา ตอนนั้นรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย ชีวิตหนึ่งจะต้องถูกความงดงามมาล่อลวงสักครั้ง
นางดื่มน้ำชาที่เย็นแล้วปลอบประโลมสติก่อนจะเงยหน้ามองดวงตาของจี๋โม่หานอีกครั้ง ตอนนี้ถึงได้พบความผิดปกติเล็กน้อย แม้ดวงตาของจี๋โม่หานจะงดงามมาก ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ตอนที่เขามองตรงไปข้างหน้า แววตากลับไม่มีจุดที่จับจ้องดูไร้แววว่างเปล่า
ตาบอดจริงๆ
ซูิเยว่หลังจากที่ได้สติเพราะใกับความงามไปเมื่อครู่ ตอนนี้ในใจก็รู้สึกกลวงโบ๋อีกครั้ง เป็ความรู้สึกที่พูดได้ไม่ชัดเจน อาจจะเป็ความเสียดายก็เป็ได้
คนที่งดงามขนาดนี้แต่กลับเป็คนตาบอด ช่างเป็เื่ที่น่าเสียดายมาก
ซูิเยว่หลุบตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ดูพอแล้วหรือยัง?” จี๋โม่หานเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรำคาญ
พอเฉินอวี้เหอได้สติกลับมาก็พิจารณาดวงตาของจี๋โม่หานอย่างละเอียด “เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จี๋โม่หานหลับตาลงอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ซูิเยว่เก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ในสายตาอย่างดี นางเดาว่าดวงตาของจี๋โม่หานนั้นสามารถลืมขึ้นได้ เพียงแต่พอลืมขึ้นได้ไม่นานก็รู้สึกไม่สบาย
“เป็อย่างไรบ้าง?” หลิงชวนมองเฉินอวี้เหอแล้วถามอย่างร้อนใจ
คนอื่นๆ เองก็ต่างส่งสายตาตั้งความหวังไปที่ตัวของเฉินอวี้เหอ คนถูกมองก็ขมวดคิ้วแน่นท่าทางหนักใจ “ดวงตาขององค์ชายสามนั้นตึงมือจริงๆ”
เขาพูดแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง จากนั้นก็มองทุกคนในห้องแล้วพูดต่อ “เื่นี้ข้าไม่อาจรับปากได้ว่าจะรักษาดวงตาขององค์ชายสามให้หายได้ แต่หากทำให้อาการกลับมาดีขึ้นก็ทำได้”
พวกหลิงชวนได้ยินดังนั้นแสงในดวงตาก็หม่นลง แต่ก็พูดออกมาอีก “ก็ได้ ไม่ทราบว่าหมอเฉินจะรักษาองค์ชายสามของพวกเราได้ตอนไหนหรือ?”
ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากทำให้อาการดีขึ้นมาหน่อยก็ดีมากแล้ว
“พรุ่งนี้แล้วกัน” เฉินอวี้เหอกล่าว “วันนี้เดินทางมาเหนื่อยแล้ว รอข้ากลับไปศึกษาดีๆ สักหน่อยก่อน”
จื๋อหลันได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดแน่น เฉินอวี้เหอคนนี้ตลอดทางมาก็วางท่ามาตลอด มีข้อเสนอมากมายไม่หยุด ต้องหารถม้าที่สบายที่สุดให้เขา ตลอดทางก็กินดีอยู่ดี ไม่ได้ลำบากเลยสักนิด
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องอดทนไปก่อน “พรุ่งนี้ก็ได้ขอรับ เช่นนั้นคืนนี้จะจัดที่พักผ่อนให้ พรุ่งนี้เช้าค่อยมารักษาให้องค์ชายสาม”
“ดีมาก” เฉินอวี้เหอหัวเราะ ท่าทางยังคงเย่อหยิ่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ซูิเยว่มองจี๋โม่หานซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เฉินอวี้เหอคนนี้เอ่ยปากขอห้าล้านแล้วยังมาทำท่าทีแบบนี้อีก เขายังทนได้อย่างนั้นหรือ?
“เชิญหมอเฉินตามข้ามาทางนี้ขอรับ” หลิงชวนพูดไปก็พาหมอเฉินไปพักผ่อน
“รอเดี๋ยว” ตอนที่เฉินอวี้เหอลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอกนั้นก็ถูกใครบางคนเรียกไว้
ฝีเท้าของเฉินอวี้เหอหยุดชะงักไป ทุกคนในห้องต่างพากันตกตะลึง สายตามองไปทางต้นกำเนิดเสียง
จี๋โม่หานเองก็มองมา
ซูิเยว่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือแก้วน้ำชาขึ้นมาเล่น มุมปากมีรอยยิ้มอ่อนๆ ไม่ได้มองไปทางไหน
หลิงชวนขมวดคิ้วถาม “คุณหนูซู มีเื่อะไรหรือขอรับ?”
“ก็ไม่ได้มีเื่อะไรหรอก” น้ำเสียงของซูิเยว่ติดจะสบายๆ ไม่ได้คิดอะไร “ก็แค่อยากจะถามหมอเฉินท่านนี้เสียหน่อยว่า มีความมั่นใจกับการรักษาดวงตาขององค์ชายสามมากน้อยแค่ไหน?”
เฉินอวี้เหอแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาตอบเสียงแข็ง “ข้าเพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือ องค์ชายสามตาบอดมานาน การจะรักษาให้หายนั้นเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ แต่หากแค่ทำให้อาการดีขึ้นมานั้นสามารถทำได้”
ซูิเยว่ก็พลันกลั้วหัวเราะออกมา นางวางแก้วในมือลงแล้วมองเฉินอวี้เหอก่อนจะพูดเหน็บแนม “เช่นนั้นหมอเฉินก็ไม่มีความมั่นใจเลยน่ะสิเ้าคะ? ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดแต่เอ่ยปากขอห้าล้านตำลึง เหตุใดท่านไม่ไปขโมยเงินเสียเลยเล่า”
“เ้า....” พอเฉินอวี้เหอถูกคำเหน็บแหนม ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาอยู่ที่คอจนกลืนไม่ลง ใบหน้าและหูแดงก่ำ เขาจ้องซูิเยว่นิ่งแล้วเอ่ยอย่างโมโห “เ้าพูดอะไร เ้าเป็เด็กที่ไหน รู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
“ไม่รู้สิ” ซูิเยว่ส่ายหน้า นางไม่รู้จักจริงๆ “แต่ข้ารู้ว่าเ้าเป็หมอต้มตุ๋น”
“เ้า.....เ้า.....” เส้นเืฝอยที่ตาของเฉินอวี้เหอแทบจะแตก เขาชี้นิ้วไปทางซูิเยว่ด้วยมือที่สั่นเทา แต่กลับพูดไม่ออกสักประโยค
ทุกคนในห้องต่างถูกการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของซูิเยว่รวมถึงคำพูดที่นางเอ่ยออกมาทำให้ตกตะลึงไป ทุกสายตามองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณหนูซู” สุดท้ายก็เป็ิจิ่วที่เอ่ยออกมาก่อน นางช่วยซูิเยว่เพราะเป็คำสั่งของจี๋โม่หาน แต่ก็ไม่อยากให้การช่วยเหลือในครั้งนี้นำพาความยุ่งยากมา นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหวินอวี้ที่อยู่ทางนั้นก็ยกมือขึ้นห้ามนางก่อน
ิจิ่วกัดริมฝีปาก ทำได้แค่ปล่อยไป
ต่อมาจื๋อหลันก็ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วมองซูิเยว่ ทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ.....”
หมอผู้นี้เป็คนที่เขาเชิญมาได้อย่างยากลำบาก ถึงแม้จะมีท่าทางเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่ยอม ถึงเขาจะไม่รู้ว่าระหว่างซูิเยว่กับองค์ชายสามนั้นมีเื่อะไร แต่การกระทำนี้ของซูิเยว่นั้นไม่ดีจริงๆ
“พอแล้ว” จี๋โม่หานขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เอ่ยออกมา ความหมายในน้ำเสียงคือไม่ยอมให้ใครสงสัย
ซูิเยว่มองจี๋โม่หาน เขาเองก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน หรือว่าจี๋โม่หานไม่ตำหนิที่นางทำให้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นหรือ?
แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว จะปล่อยไปแบบนี้โดยไม่สนใจก็ไม่ได้ ซูิเยว่เบนสายตาออกมา นางมองเฉินอวี้เหอที่ทำท่าทางไม่พอใจแบบแต่ก่อนแล้วพูดต่อ “เช่นนั้นข้าขอถามหมอเฉินอีกสักหน่อย ดวงตาขององค์ชายสามบอดเพราะอะไรหรือ?”
เฉินอวี้เหอถลึงตาใส่ซูิเยว่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วเบือนหน้าออกก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “เื่นี้ต้องให้ข้าใช้เข็มเงินในวันพรุ่งนี้เสียก่อนถึงจะตรวจได้”
“หมอต้มตุ๋น” ซูิเยว่กลั้วหัวเราะอีกครั้ง นางพูดออกมาโดยไม่ปกปิดการเหยียดหยาม
“เ้า...เ้าพูดอีกครั้งสิ” เฉินอวี้เหอมองซูิเยว่อย่างไม่อยากจะเชื่อ หากสายตาฆ่าคนได้ เกรงว่าซูิเยว่ในตอนนี้คงจะถูกแทงเป็ร้อยรูแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้