วันต่อมา เซวียข่ายซินและอาโย่วมาปรากฏตัวอยู่ที่บ้านของฉีลั่วอิ่งในเวลาอาหารเช้า
อาโย่วรับผิดชอบหน้าที่ขับรถ ส่วนเซวียข่ายซินและฉีลั่วอิ่งก็นั่งอยู่เบาะหลัง เซวียข่ายซินไม่ลืมที่จะควบคุมเวลาพร้อมคอยกระซิบข้างหูฉีลั่วอิ่งตลอด นึกอะไรขึ้นมาได้ก็กำชับเื่นั้น
“ฉันรู้ว่าพอนายตอบรับแล้วก็จะทำอย่างเต็มที่ แต่หนังเื่นี้ก็เป็แนวรักร่วมเพศ ถ้ารู้สึกอึดอัดตรงไหนก็...” เซวียข่ายซินหยุดชะงัก เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี จนฉีลั่วอิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมาและตั้งใจฟังว่าผู้จัดการจะพูดอะไรต่อ แต่ก็คาดไม่ถึงว่าคำพูดที่ออกมาหลังหยุดนิ่งไปนานสามสี่นาทีก็คือ “ทนๆ ให้ผ่านไปแล้วกัน”
ฉีลั่วอิ่งรู้สึกขำจนหลุดหัวเราะออกมา “คิดว่าพี่จะมีวิธีอะไรดีๆ ซะอีก”
แม้กระทั่งอาโย่วที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “ผมก็นึกว่าเซวียเกอจะโชว์หล่อเหมือนกัน”
เซวียข่ายซินถูกหัวเราะใส่จนหน้าคล้ำและหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับอาโย่วว่า “ตั้งใจขับรถไป” แล้วหันไปออกคำสั่งกับฉีลั่วอิ่งว่า “สรุปแล้ว ห้ามปฏิเสธการแสดง ห้ามชกต่อย ห้ามทำพฤติกรรมใดๆ ก็ตามที่จะทำให้ถูกหักเงิน”
“ผมเคยชกต่อยมาแค่ครั้งเดียวเอง”
ฉีลั่วอิ่งเป็คนที่ตั้งใจทำงานมาก เขาเริ่มต้นการแสดงจากบทตัวประกอบ ทั้งยังทนต่อความลำบาก คอยสังเกตสีหน้าผู้คน ไม่เคยถือสาหาความอะไรกับใคร แต่เขาก็เคยมีเื่ชกต่อยและปฏิเสธการแสดงมาก่อนจริงๆ
จำได้ว่าตอนนั้นฉีลั่วอิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ซึ่งเป็่ที่เขาค่อนข้างเืร้อน เขาบังเอิญเจอผู้กำกับที่คิดจะใช้กติกาซ่อนเร้น เอาเื่สอนบทมาอ้างเพื่อไปบ้านของเขา โชคดีที่ฉีลั่วอิ่งไหวตัวทันและผู้กำกับคนนั้นก็ไม่ได้ระมัดระวังตัว หลังจากโดนลูบไล้ไปสองครั้งเขาก็อึ้งแล้วควงหมัดโจมตีกลับทันที จากนั้นก็สลัดตัวหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด
เซวียข่ายซินมาจัดการเื่นี้ให้ภายหลัง เขาและผู้กำกับที่ใบหน้าบวมปูดไปครึ่งหนึ่งต่างขู่กันว่าพวกเขามีหลักฐาน ดังนั้น หากเื่ใหญ่โตขึ้นมาก็จะไม่เป็ประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย เซวียข่ายซินจึงยอมเจรจาและถอนตัวจากกองถ่ายอย่างสงบพร้อมประกาศสู่สาธารณชนว่ามีการเปลี่ยนบท โดยจะลดบทบาทของฉีลั่วอิ่งลงและรีบถ่ายทำให้เสร็จก่อนกำหนด หลังจากแก้ไขอย่างลับๆ เสร็จสิ้น เซวียข่ายซินก็รายงานเื่นี้ให้ทางซิงเหอทราบ และท้ายที่สุดเขาก็ถูกหักเงินไปสามเดือนเนื่องจากทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
ตอนนั้นเซวียข่ายซินเองก็อายุยังน้อยจึงจัดการปัญหาได้ไม่ดีพอ คนภายนอกที่ไม่รู้เื่รู้ราวต่างก็คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็แรงจูงใจให้แอนตี้โจมตีฉีลั่วอิ่ง โดยใส่ร้ายว่าเขาวางมาดใหญ่โตถึงได้ถูกกองละครบีบให้ถอนตัว
“ครั้งเดียวก็พอแล้ว!” เซวียข่ายซินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่นายช่างสังเกตมากกว่านี้ ตามีแววมากสักหน่อย ตัวอ่อนกว่านี้อีกเล็กน้อย ก็จะช่วยแก้ปัญหาหรือหลีกเลี่ยงเื่ตั้งได้มากมาย”
คำพูดพวกนี้ฉีลั่วอิ่งฟังจนท่องได้แล้ว เขาจึงหาวอย่างเกียจคร้าน “รู้แล้ว ผมก็ปรับปรุงตัวแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“หลายปีมานี้นายทำตัวดีขึ้นมากแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังประมาทไม่ได้ อย่างพิธีประกาศรางวัลคืนนั้น แค่ฉันได้เที่ยวบินล่าช้ากลับมาไม่ทันก็มีเื่ขึ้นจนได้”
“ครับๆ ผมจะพิจารณาตัวเอง” ฉีลั่วอิ่งพูดอย่างสบายๆ ส่วนจะแก้ได้หรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกที
เซวียข่ายซินก็ไม่ได้ถือสาสิ่งที่ฉีลั่วอิ่งโต้กลับมากนัก อย่างไรแล้วนิสัยของฉีลั่วอิ่งก็เป็อย่างนี้ พูดจู้จี้ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ ฉีลั่วอิ่งจะหาว่าเขาน่ารำคาญอีก
“อ้อ! อย่าลืมรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเมิ่งเชวี่ยไป๋ด้วย อย่าสร้างปัญหา ถ้าการถ่ายทำไม่ราบรื่นก็จบเห่แน่ ข่าวที่เผยแพร่ออกไปยังไงก็ไม่น่าฟัง นายเป็รุ่นพี่ ต้องใจกว้างกับคนอื่นให้มากๆ”
“ผมรู้ เื่แบบนี้ไม่ต้องย้ำเป็พิเศษหรอก”
สายตาของเซวียข่ายซินแหลมคมมาก “ฉันรู้สึกได้ว่านายไม่ค่อยชอบเขา”
“จะเป็อย่างนั้นได้ยังไง?” ฉีลั่วอิ่งคิดไม่ถึงว่าการสังเกตของเซวียข่ายซินจะเฉียบแหลมขนาดนี้ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจกับเมิ่งเชวี่ยไป๋นั้น ล้วนมาจากแฟนคลับที่ยกย่องไอดอลของตัวเองจนเกินไป ตัวเมิ่งเชวี่ยไป๋เองไม่เคยทำอะไรให้เขาเกลียดมาก่อน นอกจากเื่ที่ไม่ค่อยน่าคุยด้วยแล้ว เขาก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับเมิ่งเชวี่ยไป๋มากมายขนาดนั้น
เซวียข่ายซินมองฉีลั่วอิ่งอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง “ไม่มีก็ดีแล้ว ถึงการไม่ลงรอยกันขณะถ่ายทำจะสามารถกระตุ้นความนิยมได้ แต่มันก็สร้างผลลัพธ์ที่ตรงข้ามขึ้นมาได้ไม่ยาก”
“ผมไม่อยากพึ่งข่าวซุบซิบแบบนี้มาเรียกกระแสหรอกนะ”
“มีกระแสแล้วไม่ดียังไง? มีกระแสถึงจะมีชื่อเสียงในสังคม นักข่าวบันเทิงมีมากมายขนาดนั้น ทุกคนต่างก็อยากได้เงินกินข้าว แล้วพวกเขาก็้าหัวข้อข่าวไปเขียน เื่นี้นับว่าเป็ผลประโยชน์ร่วมกัน”
“ถ่ายหนังหนึ่งเื่ ผมก็มีข่าวฉาวหนึ่งเื่ ข่าวแบบนี้ผู้ชมเห็นจนเบื่อแล้ว ร่องรอยการบิดเบือนชัดเจนเกินไป”
เซวียข่ายซินทำเหมือนปลอบใจแต่จริงๆ ก็ทำแบบขอไปที “โอเคๆ หนังเื่นี้ไม่เอาข่าวฉาวแต่เอามิตรภาพลูกผู้ชายเป็ไง?”
ฉีลั่วอิ่งกลอกตามองบน “ตามใจ อย่าให้เวอร์เกินไปก็พอ”
“วางใจได้ ฉันเคยทำจนเวอร์ั้แ่เมื่อไร? ฉันแจ้งผู้จัดการอีกฝ่ายให้รู้ก่อนตลอด หลายครั้งก็ต้นสังกัดของพวกเขานั่นแหละที่ขอร้องมา ทางโปรดิวเซอร์เองก็หวังให้นักแสดงมีกระแส สร้างประเด็นเพื่อช่วยโปรโมต แล้วส่วนไหนที่นายไม่ชอบฉันก็พยายามพูดถึงให้น้อยๆ หรือไม่ก็เลี่ยงไปเลย”
ฉีลั่วอิ่งเข้าใจดีว่าเซวียข่ายซินรู้ขอบเขต แม้เขาจะตั้งใจหาเงินให้บริษัท แต่เขาก็ยังนึกถึงความรู้สึกของฉีลั่วอิ่งอย่างเต็มที่ ระหว่างสองคนนี้อาจใช้คำว่า “เปิดใจให้กัน” ไม่ได้ แต่การทำงานด้วยกันหลายปีจนคุ้นเคยก็เรียกได้ว่าพวกเขาเป็เพื่อนร่วมงานที่รู้ใจกันในระดับหนึ่ง
ฉีลั่วอิ่งยิ้มออกมาบางๆ “ขอบคุณ”
“ขอบคุณอะไรกัน? เื่นี้อยู่ในขอบเขตงานของฉันอยู่แล้ว” เซวียข่ายซินตบบ่าของฉีลั่วอิ่งเล็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้านายอยากจะขอบคุณฉันจริงๆ ก็น่าจะรับเื่《ผจญภัยในหมู่ดาว》ไปนะ แบบนั้นฉันจะได้โบนัสเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย”
ฉีลั่วอิ่งเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หันไปมองนอกหน้าต่าง และไม่สนใจเซวียข่ายซินอีก ความอบอุ่นเมื่อกี้นี้เป็ภาพลวงตาอย่างแน่นอน!
เมื่อมาถึงอาคารใหญ่ของบริษัทภาพยนตร์ อาโย่วก็ขับรถไปหาที่จอด ส่วนเซวียเกอก็พาฉีลั่วอิ่งเดินขึ้นอาคารไปทักทายผู้กำกับเหอและทีมเขียนบท หลังจากทักทายกันอย่างอบอุ่นแล้ว ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ถูกดึงให้ใกล้ชิดกันขึ้นมาไม่น้อยและสร้างภาพจำที่ดีเอาไว้
เนื่องจากยังเหลือเวลาก่อนเริ่มการประชุมอีกมาก ฉีลั่วอิ่งได้ยินมาว่าชั้นนี้มีระเบียงซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองได้ เขาจึงอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย
เขาเดินย้อนกลับไปตามทางที่เดินมา พบว่าด้านข้างลิฟต์มีหน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้น บนระเบียงมีโต๊ะและเก้าอี้ไว้ให้พนักงานพักผ่อนอยู่หลายตัว หนึ่งในนั้นมีคนกำลังนั่งอยู่ ดูแล้วเหมือนกับคนที่จะมาเป็แฟนหนุ่มของเขาในอีกสามเดือนข้างหน้าเป็อย่างยิ่ง
เมิ่งเชวี่ยไป๋สวมเสื้อโค้ทขนสัตว์สีน้ำเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บรรยากาศสงบนิ่ง ขายาวทั้งสองข้างไขว้กันอยู่ สายตาเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างมีสมาธิ
ฉีลั่วอิ่งคิดอย่างมีเหตุผลว่าควรไปทักทายสักหน่อยและเปิดประตูออกไป มีลมเย็นหอบหนึ่งพัดมา ทำให้เขาต้องกระชับเสื้อโค้ทยาวคอปกบนตัวเอาไว้แน่น
เมื่อฉีลั่วอิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าโทรศัพท์ของเมิ่งเชวี่ยไป๋มีสายคล้องมือถือห้อยอยู่ เป็โซ่โลหะและมีสายสีน้ำเงินคาด มองแล้วดูคุ้นตาแต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อย่างไรแล้วตอนนี้คนที่ใช้สายคล้องมือถือก็มีน้อยมาก และปกติจะเป็เด็กผู้หญิงใช้ไม่ใช่หรือ?
คิดไม่ถึงว่าเมิ่งเชวี่ยไป๋จะมีมุมแบบนี้ด้วย
“นายชอบใช้สายคล้องมือถือด้วยเหรอ? ช่างมีจิตใจของสาวน้อยจริงๆ” ฉีลั่วอิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเล็กน้อย
เดิมทีเมิ่งเชวี่ยไป๋กำลังตั้งใจไถโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเสียงก็สะดุ้งใ และพอเห็นว่าเป็ฉีลั่วอิ่งก็รีบลุกขึ้นยืนทันที ทำให้โทรศัพท์ของเขาร่วงหลุดมือและหมุนกลางอากาศอย่างสวยงามหนึ่งรอบ สุดท้ายหน้าจอก็ปะทะกับพื้นอย่างรุนแรง
“โอเคไหม?” ฉีลั่วอิ่งมองโทรศัพท์ที่พื้นอย่างกระอักกระอ่วน ภาวนาให้โทรศัพท์มือถือของเมิ่งเชวี่ยไป๋ทนแรงกระแทกได้มากพอ
“ไม่เป็ไร” เมิ่งเชวี่ยไป๋ค้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา มีรอยแตกหนาๆ ราวกับใยแมงมุมปรากฏอยู่บนหน้าจอ
อืม มองยังไงก็พังแล้วนี่!
“ฉันผิดเอง ฉันจะชดใช้ให้นายหนึ่งเครื่อง โทรศัพท์นายรุ่นอะไร? แล้วนายชอบแบบไหน? บอกฉันมาได้เลย”
“ไม่ต้องหรอก” เมิ่งเชวี่ยไป๋ปฏิเสธอย่างเฉยเมยพร้อมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว
“ทำไมถึงไม่ต้องล่ะ? ไม่อย่างนั้นนายก็เอาเบอร์โทรศัพท์ของนายมา เอ่อ...หรือไม่ก็เบอร์ที่จะใช้ติดต่อนายก็ได้ เดี๋ยวฉันซื้อแล้วจะส่งไปให้”
“คุณไม่ผิด ผมเป็คนทำโทรศัพท์ตกเอง” ใบหน้าของเมิ่งเชวี่ยไป๋ยังคงเ็าเช่นเดิม
ฉีลั่วอิ่งเดาไม่ออกว่าเมิ่งเชวี่ยไป๋ไม่ใส่ใจจริงๆ หรือกำลังเกรงใจเขาอยู่ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าจะให้เื่นี้มาทำให้เสียบรรยากาศการทำงานร่วมกันไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงยืนกรานที่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้เมิ่งเชวี่ยไป๋ “แต่ว่า──”
ฉีลั่วอิ่งเพิ่งจะเปิดปากพูด เมิ่งเชวี่ยไป๋ก็ตัดบทเขา “ผมกลับไปที่ห้องประชุมก่อนก็แล้วกัน”
พูดจบ เขาก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ
ฉีลั่วอิ่งคิดไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธอย่างเ็าขนาดนี้ เขายืนกะพริบตาอย่างกระอักกระอ่วนอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของเมิ่งเชวี่ยไป๋ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ และรีบะโตามไปว่า “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวค่อยเจอกัน”
ไม่รู้ว่าเป็ภาพลวงตาของฉีลั่วอิ่งหรือเปล่า เพราะเหมือนเมิ่งเชวี่ยไป๋จะเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ไม่ใช่ว่าเขาโดนเกลียดแล้วหรอกนะ?
แล้วสามเดือนต่อจากนี้พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไร...
----------
สภาพจิตใจของสุ่ยเก้ออี้ฟาง : “เหมือนเพื่อนร่วมงานคนใหม่จะไม่ชอบฉันเลย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้