เมื่อผู้ดูแลกล่าวจบ ฝูงชนก็รู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
คนที่ทำให้มันเชื่องได้สามารถนำมันกลับไปด้วยได้! นั่นเป็สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในลานประลองเชลยรู้สึกสนใจ! การได้เป็เ้าของสัตว์อสูรที่ทรงพลังจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว
แน่นอนว่าหากอยากพาปีศาจสิงโตเพลิงกลับไปด้วย ก็ต้องทำให้มันเชื่องเสียก่อน หากล้มเหลวก็อาจนำไปสู่ความตายได้
คนที่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้จะต้องมีขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ขึ้นไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถเอาชนะสิงโตเพลิงนั่นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำให้เชื่องเลย
ผู้ดูแลเริ่มพูดอีกครั้งว่า “ขอแนะนำว่าผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ ควรมีพลังในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ขึ้นไป แต่ถ้าผู้ที่มีระดับต่ำกว่าขั้นที่ 5 และสามารถสังหารปีศาจสิงโตเพลิงได้ ข้าจะมอบรางวัลเป็หินหยวน 100 ก้อน”
ดวงตาของฝูงชนพลันลุกวาวขึ้น พวกเขาล้วนถูกล่อลวงด้วยของรางวัล
คนในกลุ่มของหลินเชียนต่างก็เป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ พวกเขาทุกคนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินเชียน
“ศิษย์พี่มู่ฟ่าน ไม่ใช่ว่าท่าน้าจับสิงโตเพลิงหรอกหรือ?”
ศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นมา ส่วนชายที่ถูกเรียกว่ามู่ฟ่าน ขณะนี้กำลังจ้องสิงโตเพลิงด้านล่างด้วยสายตาเป็ประกาย
เขาทะลวงผ่านขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 แล้ว ซึ่งเป็ระดับเดียวกันกับสิงโตเพลิง
“ศิษย์พี่มู่ฟ่าน หากท่านอยากลองดู ข้าสามารถพูดคุยกับคนดูแลให้ได้ แม้ว่าท่านจะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เพียงแต่อย่าาเ็ก็พอ”
ศิษย์อีกคนหนึ่งกล่าว ทำให้ดวงตาของมู่ฟ่านเป็ประกายขึ้นมา เขาหันไปมองคนพูดอย่างชั่งใจเล็กน้อย
มู่ฟ่านรู้สถานะของอีกฝ่ายดี แล้วยังรู้ว่าอีกฝ่ายมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้น
ถ้าเขาชนะและสามารถทำให้สัตว์อสูรปีศาจเชื่องได้ในขณะต่อสู้ เขาก็สามารถนำมันกลับไปได้ ไม่เพียงแค่นั้น… เขายังได้รับหินหยวนระดับกลาง 20 ก้อนอีกด้วย และถึงแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ตราบใดที่เขาไม่ได้รับาเ็สาหัส ข้อเสนอนี้ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก แล้วใครกันจะกล้าปฏิเสธ?!
เมื่อเห็นมู่ฟ่านมองมาที่ตน ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้มู่ฟ่านอย่างมีเลศนัย
“ก็ได้ ข้าจะลองดู”
ดวงตาของมู่ฟ่านเป็ประกายสดใสขึ้นมา เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างบ้างแล้ว ที่แท้... อีกฝ่ายก็อยากจะยกเ้าสิงโตเพลิงตัวนั้นให้กับเขานั่นเอง
“ศิษย์พี่มู่ฟ่าน ท่านเป็คนที่กล้าหาญมาก” ศิษย์คนอื่นๆ ต่างประจบสอพลอขึ้นพร้อมกัน
จากนั้นมู่ฟ่านก็ะโขึ้นไปในอากาศและทะยานเข้าสู่ลานประลอง เรียกสายตาอิจฉาให้จ้องมองมาที่ตน
“ท่าร่างของศิษย์พี่มู่ฟ่านช่างงดงามยิ่งนัก! สมแล้วที่ชื่อว่าเงาทะยาน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อย่างพวกเราทรงพลังแค่ไหน!”
ศิษย์คนหนึ่งะโออกมาเสียงดังจนดึงดูดความสนใจของทุกคนได้
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่แข็งแกร่งขนาดนี้”
“ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ล้วนมีสถานะที่สูงส่ง พวกเขาจะกลายเป็บุคคลสำคัญในอนาคต”
ฝูงชนแสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา ทำให้ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่แสดงท่าทางหยิ่งยโสและภาคภูมิใจออกมา
ในวันก่อตั้งลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้มีคนเข้ามาก่อกวน ทำให้ชื่อเสียงของนิกายได้รับความเสียหายเป็อย่างมาก เหล่าศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จึงหาโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง และเวลานั่นก็มาถึงแล้ว พวกเขาจะใช้ที่นี่กระจายชื่อเสียงของนิกายตัวเอง อีกไม่ช้านิกายของพวกเขาจะต้องถูกเรียกว่า ‘นิกายอันดับหนึ่ง’ หลายปีผ่านไปพลังของนิกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้นนิกายของพวกเขาก็จะขึ้นมาแทนที่สำนักเทียนอี้!!!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจเป็อย่างมาก
หลินเชียนที่นั่งอยู่ในกลุ่มก็เผยสีหน้าหยิ่งผยองออกมา การได้กลายเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ทำให้นางรู้สึกภูมิใจเป็อย่างมาก ในอนาคตนางจะสวมเครื่องแบบของนิกายกลับไปที่เมืองหยางโจว ให้ผู้คนในเมืองหยางโจวได้รู้ว่านางโดดเด่นมากแค่ไหนยามที่อยู่ในเมืองหลวง!!!
ขณะที่มู่ฟานกำลังเดินตรงไปที่ลานประลองเชลย ทันใดนั้นก็มีเงาสายหนึ่งพุ่งผ่านหน้าเขาไปเสียก่อน
เหตุการณ์นี้ทำให้ม่านตาของมู่ฟ่านพลันหดลง ใครกัน? ใครกันที่กล้าตัดหน้าข้า!!!
ฝูงชนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน พวกเขามองออกว่าศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่้าออกมาแสดงความสามารถของตัวเอง แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าตัดหน้าพวกเขา ซึ่งการกระทำของอีกฝ่ายราวกับไม่เห็นศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อยู่ในสายตา
ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ทุกคนพลันเปลี่ยนสีหน้า โดยเฉพาะมู่ฟ่านกับศิษย์ที่ส่งสัญญาณให้เขา ในดวงตาของพวกเขาฉายแววร้อนใจขึ้นมา
คนผู้นั้นเหลืออีกก้าวเดียวก็จะเข้าไปในลานแล้ว มู่ฟ่านจึงะโออกไปว่า “หยุด!”
ร่างเบื้องหน้าเขาก็หยุดลง ชายคนนั้นสวมหน้ากากเงินซึ่งทำให้ทุกคนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
แน่นอนว่าคนคนนี้คือ หลินเฟิง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน แต่เพราะว่าเขาสวมหน้ากากอยู่ จึงทำให้เสียงที่ลอดออกมาฟังดูประหลาด
“เ้าไม่เห็นหรือว่าข้ามาถึงก่อน?”
มู่ฟ่านกล่าวอย่างฉุนเฉียว ตอนที่เขากำลังทะยานร่างเข้ามา เขาคิดว่าคงไม่มีใครกล้ามาตัดหน้าเขา แต่จู่ๆ คนผู้นี้กลับพุ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว
“เ้าอยากจะบอกว่า เ้า้าเข้าไปในลานประลอง?”
หลินเฟิงถามอย่างเ็า ทำให้มู่ฟ่านเริ่มโกรธขึ้นมา
เมื่อหลินเฟิงเห็นมู่ฟ่านไม่ตอบกลับมา เขาจึงกล่าวต่อ “หากเ้าไม่ได้ป่าวประกาศว่าจะเป็คนต่อสู้กับสิงโต ฉะนั้นกฎก็ย่อมเป็กฎ ผู้ที่เข้าไปในลานประลองเชลยก่อนก็คือผู้ที่ท้าประลองได้”
ประกายแสงวาบผ่านดวงตาของมู่ฟ่าน ก่อนที่เขาจะพูดว่า “ข้ามู่ฟ่าน เป็ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ หวังว่าสหายจะไว้หน้าข้า ด้วยการปล่อยให้ข้าต่อสู้ในรอบนี้”
มู่ฟ่านจงใจย้ำคำว่า ‘ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่’ เพื่อให้หลินเฟิงกลัว
หลินเฟิงแสยะยิ้มออกมา ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่?
“ขอโทษที ข้าไม่เคยได้ยินชื่อลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่มาก่อน และนอกจากนี้ ข้าก็ไม่รู้จักเ้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้หน้าเ้า”
หลินเฟิงกล่าวจบ ในขณะนั้นผู้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจ เขาเป็คนแปลกอะไรขนาดนี้! เขาไม่เคยได้ยินชื่อลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่มาก่อน!
ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน และจ้องมองหลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว ผู้ชายคนนี้มันบ้าไปแล้ว!
“อย่าทำอะไรที่เ้าจะต้องเสียใจภายหลัง”
มู่ฟ่านกล่าวขณะจ้องมองหลินเฟิงอย่างชั่วร้าย หลินเฟิงหัวเราะและกล่าวว่า “ฮ่าๆ ข้าไม่เคยเสียใจภายหลังอยู่แล้ว”
หลินเฟิงหันหลังกลับไปและกำลังจะเดินเข้าสู่ลานประลอง
“ช้าก่อน”
ใครบางคนกล่าวอย่างร้อนรนขัดจังหวะการเคลื่อนไหวของหลินเฟิง หลินเฟิงหยุด และหันไปมอง ก็พบว่าเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ที่ลอบส่งสายตามีเลศนัยให้มู่ฟ่าน
“เ้า้าอะไรอีก?” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้มอย่างเ็า พวกเขาทุกคนล้วนเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และเป็สหายของมู่ฟ่าน หลินเชียนก็เช่นกัน
“ให้ศิษย์พี่มู่ฟ่านของข้าต่อสู้กับเ้าสิงโตนี่ซะ”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าและไม่แยแส เขาสวมเสื้อผ้าที่สวยงามและราคาแพง เห็นได้ชัดว่าเขามีฐานะมั่งคั่งและมาจากตระกูลที่ร่ำรวย
“เ้าเป็คนตัดสินว่าใครสามารถต่อสู้ในลานประลองได้ั้แ่เมื่อไรกัน?”
หลินเฟิงถามอย่างเ็า
“ข้าไม่ได้เป็คนตัดสินใจ แต่เ้าสามารถถามผู้ที่รับผิดชอบได้ว่าใครมาก่อน”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่แยแส แต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างมั่นใจ ทุกคนต่างหันกลับไปมองชายที่นำสิงโตเพลิงมา
ชายคนนั้นชี้ไปที่มู่ฟ่านและกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เขาเป็คนที่มาถึงกรงก่อน เขาจะได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรปีศาจตัวนี้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ รอยยิ้มขนาดใหญ่ก็ประดับบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้ที่ช่วยมู่ฟ่านไว้ “เ้าได้ยินชัดแล้วนะ”
เมื่อหลินเฟิงเห็นการแสดงออกที่หยิ่งยโสบนใบหน้าของมู่ฟ่าน และศิษย์คนอื่นๆ ที่มาจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ จึงกล่าวว่า “ที่แท้เ้าก็ปกครองที่นี่นั่นเอง ถ้างั้นข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก และข้าอยากแนะนำให้ทุกคนอย่าได้กลับมาที่นี่เพื่อเสียค่าโง่มานั่งดูงิ้วที่น่าสมเพชนี้อีก”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินหลินเฟิง เขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เ้าหมายถึงอะไร?”
“สิ่งที่ข้าพูดมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ถ้างั้นข้าจะอธิบายให้เ้าฟังอีกรอบ” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้มอยู่ภายใต้หน้ากาก “ข้าเคยได้ยินมาหลายครั้งเกี่ยวกับเื่อื้อฉาวที่เกิดขึ้นที่นี่ น่าแปลกนักที่มีใครบางคนพ่ายแพ้ในการต่อสู้แต่กลับถูกช่วยไว้ได้ ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อข่าวลือพวกนี้ แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่าเื่อื้อฉาวเหล่านี้จะต้องเป็ความจริงอย่างแน่นอน ลานประลองเชลยไม่ยอมใช้กฎที่พวกเขามีในสถานที่แห่งนี้”