ลูกโป่งที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธในหัวใจของเจิ้งเฉวียนกังไม่ได้ะเิออก ราวกับว่ามีใครบางคนช่วยห่อหุ้มผิวลูกโป่งให้อีกชั้นหนึ่ง มันขัดแย้งเสียจนเขาพูดไม่รู้จะพูดอะไรดี สีหน้าเปลี่ยนจากถมึงทึงเขียวคล้ำเป็นิ่งค้าง ชะงักงันอยู่หลายวินาที แล้วค่อยเลิกคิ้วขึ้นพลางถามย้ำเสียงอ่อนลง “จริงเหรอ?”
เจิ้งหยวนฉีกยิ้ม “จริงค่ะ”
เจิ้งเฉวียนกังทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เขายังจำได้ว่าลูกสาวเพิ่งโกหกตัวเองไปหยกๆ แต่เธอพูดขนาดนี้แล้ว ก็ยากจะพูดอันใดอีก จะให้พูดอะไรเล่า หรือต้องคาดคั้นให้ได้ว่าลูกสาวโกหกจริงๆ หรือ เจิ้งหยวนไม่มีทางยอมรับหรอก คนรอบข้างก็เห็นกันอยู่ว่าแต่ละคนจะช่วยพูดแทนใคร อยู่ดีๆ เจิ้งหยวนก็ไม่เถียงเขา และชวนให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เนื้อตัวเก้งก้างไปหมด หลังอึดอัดอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงเอ่ย “ไม่ต้องไปขอโทษแล้ว เื่มันจบแล้ว”
เจิ้งหยวนขานรับคำหนึ่ง และไม่ดึงดันจะไปอีก ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับเฉินชุ่ยอวิ๋นแทน “งั้นตั้งโต๊ะเถอะค่ะ คนมากันครบแล้ว”
เฉินชุ่ยอวิ๋นยังคงเหวออยู่ ครั้นได้ยินแล้วนิ่งงันไปพักหนึ่ง แล้วจึงค่อยได้สติกลับมา “อื้อๆๆ ตั้งโต๊ะๆ ” ก่อนหันไปะโเรียกเจิ้งเจวียน “เจวียนจื่อ ไป ไปห้องครัว เอากับข้าวขึ้นโต๊ะได้แล้ว”
สมาชิกในครอบครัวต่างแยกย้ายกันในทันใด
ตอนกินข้าว เจิ้งเทียนิกับเจิ้งเจวียนยังคงเหลือบมองเจิ้งหยวนเป็ครั้งคราว โดยเฉพาะเจิ้งเจวียน เธอไม่เชื่อหรอกว่าพี่สาวรองจะยอมจบง่ายๆ เช่นนี้
ส่วนเฉินชุ่นอวิ๋นก็ยังห่วงชื่อเสียงของเจิ้งหยวน หากจัดการเื่นี้ไม่ดี ชื่อเสียงลูกสาวเธอจะเสียหาย ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สกุลเฝิง เกรงว่าคนในหมู่บ้านคงไม่มีใครยินดีสู่ขอลูกสาวเธอแล้ว เธอหนักอกหนักใจจนแทบกินข้าวไม่ลง
เจิ้งหยวนเห็นดังนั้น จึงคอยคีบกับข้าวให้เฉินชุ่ยอวิ๋น
เมื่อเอาเนื้อกลับมาไม่ได้ คนที่ไม่พอใจที่สุดในครอบครัวคือเจิ้งเทียนเลี่ยง เด็กคนนี้อายุสิบขวบแล้ว เป็่วัยที่ตะกละเนื้ออย่างยิ่ง เมื่อเห็นครอบครัวเพื่อนได้กินเนื้อ มีแต่เขาที่ไม่ได้กิน ย่อมไม่สบอารมณ์เป็ธรรมดา และตัวเขายังคงมองสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากมายภายใต้สถานการณ์นี้ไม่ออก จึงโยนความผิดใส่หัวเจิ้งหยวนคนเดียว หากเขาโตกว่าเจิ้งหยวน ไม่แน่เขาอาจจะตีเจิ้งหยวนสักยกไปแล้ว ทว่าความจริงเจิ้งหยวนเป็เหมือนเ้าถิ่นในบ้าน เขากวนใครก็ไม่กล้ากวนพี่สาวคนรอง เลยทำได้เพียงเก็บกดความรู้สึก ก้มหน้าก้มตากินข้าว
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เด็กๆ หลายคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รับรู้ถึงความผิดปกติ ทุกคนเลยว่านอนสอนง่าย กินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมจนเสร็จ
หลังมื้ออาหาร เจิ้งหยวนช่วยเจิ้งเจวียนเก็บชามตะเกียบ ล้างจานขัดกระทะ พอทั้งสองยกกะละมังไปนั่งข้างบ่อน้ำ เจิ้งเจวียนก็สะกิดเจิ้งหยวนเงียบๆ และชะโงกหน้ามาถาม “พี่สาวรอง พี่สาวรอง เนื้อนั่นจะเอายังไงดี?”
เจิ้งหยวนงมจานในกะละมังขึ้นมา สมัยนี้ยังไม่มีน้ำยาล้างจาน ปกติแล้วมักจะใช้ใยบวบล้างกัน ซึ่งปกติทางเหนือจะมีปลูกติดบ้านไว้แทบทุกเรือน ตอนต้นอ่อนนำมากินเป็อาหาร พอแก่ได้ที่แล้วก็ตากแดดเพื่อนำมาใช้ล้างถ้วยชาม เธอเอ่ยพลางล้างไปด้วย “จะทำอะไรได้ล่ะ ช่างมันสิ”
“พี่สาวรอง พี่บอกฉันเถอะนะ” เจิ้งเจวียนไม่เชื่อว่าพี่สาวคนรองของเธอจะไม่มีความคิดดีๆ
“ไปกดน้ำมาไป” เจิ้งหยวนพยักพเยิดหน้า
เจิ้งเจวียนยอมไปกดน้ำอย่างว่าง่าย เจิ้งหยวนหยิบจานที่ขัดเสร็จเรียบร้อยแล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นจึงวางลงในกะละมังเปล่าด้านข้าง ก่อนมองไปรอบๆ ครั้นไม่เห็นเจิ้งเฉวียนกังอยู่แถวนี้ จึงค่อยๆ กวักมือเรียก “แกเอาหูมานี่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้