คนที่เหลือทำเช่นเดียวกันกับโม่โม่จนสามารถมายืนอยู่นอกกำแพงได้อย่างราบรื่น
สุดท้ายก็มาถึงตาจี้เต้าเขามีร่างกายกำยำมาั้แ่เด็ก ทว่าเขากลับเป็พวกนักพรต ไม่ใช่นักรบแม้ว่าตอนนี้จี้เต้าจะมีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแล้วแต่นักพรตกับนักรบก็ยังไม่เหมือนกันอยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็สายบุ๋นหรือบู๊ต่างก็ฝึกพลังิญญาด้วยกันทั้งนั้นแตกต่างกันที่นักสู้จะใช้พลังิญญาในการฝึกร่างกายทว่านักพรตจะใช้พลังิญญาเพื่อฝึกจิตใจนั่นเอง
เมื่อมีพลังอยู่ในระดับดาราจักรหรือระดับศาสตร์แห่งพรตแล้ว นักสู้สามารถคว้าเดือนคว้าดาวด้วยพลังทางร่างกายและนักพรตเองก็สามารถย้ายูเาแยกทะเลด้วยพลังจิตได้ด้วยเช่นกันซึ่งเรียกได้ว่ามีพลังสูสี ไม่มีใครด้อยไปกว่าใครเลยทีเดียวทว่าในระดับหลอมจิตนั้น นักสู้จะมีความแข็งแกร่งด้านร่างกายและมีพลังแข็งแกร่งมากกว่านักพรตที่มีพลังอยู่ในระดับเดียวกันมากโดยส่วนมากแล้ว นักพรตที่มีพลังอยู่ในระดับนี้จะใช้พลังได้เพียงพลังระดับพื้นฐานหรือลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นคนที่ดีขึ้นมาหน่อยก็อาจจะใช้มีดดาบเป็บ้างเล็กน้อยแต่พลังที่พวกเขาสามารถแสดงออกมาก็อ่อนแอจนน่าสงสารเลยทีเดียวและนี่ก็เป็เหตุผลว่าทำไมคนที่ได้เข้าร่วมงานหลอมดาวส่วนมากล้วนเป็นักสู้ด้วยกันทั้งสิ้น
แม้กู่หนิงกับซูฉางอันจะถือเป็นักพรตด้วยกันทั้งคู่แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็เคยฝึกการชกต่อยมาก่อน แม้หากต่อสู้ขึ้นมาจริงๆกู่หนิงอาจจะเอาชนะจี้เต้าไม่ได้ แต่ก็มีดีกว่าที่ความคล่องแคล่วว่องไวเื่การปีนกำแพงแค่นี้ จึงนับเป็เื่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น
ทว่าจี้เต้ากลับแตกต่างออกไปเขามีร่างกายกำยำมาก มากจนทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปด้วย ดังนั้นลำพังแค่จะปืนขึ้นไปบนกำแพงให้ได้ก็ทำให้เขาเหนื่อยมากแล้ว
“เร็วเข้าจี้เต้าหากพวกเขามาเห็นเข้าล่ะก็ ต้องลำบากแน่” ขณะมองจี้เต้าที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าซูโม่ก็พูดเร่งขึ้นอย่างอดไม่ได้ตอนนี้แขกพวกนั้นเคาะประตูอยู่นานเกือบสิบห้านาทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครออกไปต้อนรับพวกเขาเสียที หากยังเป็แบบนี้ต่อไป อีกไม่นานพวกเขาต้องถูกพบเข้าแน่ๆ
“มาแล้วๆ” จี้เต้าตอบกลับไปเขาก้มมองพื้นดินใต้กำแพง กำลังหาจุดที่เหมาะจะะโลงไปนั่นเอง แต่พอก้มลงมองเขาก็รู้สึกว่ามันช่างสูงเหลือเกิน จึงอยากจะคิดต่ออีกสักพัก เหตุนี้ร่างกายที่เดิมเอนมาทางด้านหน้า เตรียมจะะโก็เอียงกลับไปทางด้านหลังอีกครั้งแต่เพราะเสียหลัก จึงลื่นตกลงมาจากกำแพงในที่สุด
“โอ้ย!!! ” เสียงของเขาดังมากขึ้นเรื่อยๆขณะที่มือทั้งสองข้างก็ทั้งโบกทั้งโกยไปทั่วพยายามจะนำความสมดุลกลับมาสู่ร่างกายนั่นเอง ทว่ามันกลับไม่มีประโยชน์เลย
กลุ่มคนที่กำลังแหงนหน้ามองจี้เต้ารู้สึกราวมีูเาหล่นลงมาจากเบื้องบนจึงพากันหลบออกไปให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
เสียงหนึ่งดังกระหึ่มขึ้นดูเหมือนวินาทีนั้น พื้นดินเบื้องล่างจะสั่นะเืขึ้นเล็กน้อย
วินาทีนั้น ราวกับโลกทั้งใบเงียบสงัดลงกลุ่มคนรับใช้ที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่หน้าประตูเองก็ใจนชะงักนิ่งไปตามๆกัน พวกเขามองไปยังที่มาของเสียงด้วยท่าทางงุนงงก่อนจะพบว่ากลุ่มเด็กหนุ่มสาวหลายคนกำลังช่วยกันดึงเด็กหนุ่มที่มีร่างกายใหญ่ั์ขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของคนทั้งหลาย เหล่าเด็กหนุ่มสาวพวกนั้นก็ชะงักนิ่งไปและหยุดสิ่งที่ทำอยู่เช่นกัน
ราวกับเวลาได้หยุดเดินลงไปแล้วคนทั้งสองกลุ่มมองกันและกันท่ามกลางบรรยากาศที่แสนพิลึกอยู่นานหลายอึดใจ
“นั่นมันซูฉางอันนี่นา! ” ใครบางคนในกลุ่มกลับจำซูฉางอันได้เสียอย่างนั้นเมื่อสิ้นเสียงกล่าว กลุ่มคนรับใช้ในชุดประหลาดทั้งหลายก็ะโเสียงดังแล้วพุ่งเข้ามาหาซูฉางอันทันที
“หนีเร็ว! ” ซูฉางอันสะดุ้งใเมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่วิ่งเข้ามาหาอย่างเอาเป็เอาตาย จู่ๆเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวรีบดึงจี้เต้าที่สติยังไม่เข้าร่างขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วหมุนตัว วิ่งออกไปทันทีทางด้านพรรคพวกอื่นๆ ก็ได้สติขึ้นในที่สุด รีบพากันวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งทันที
สำหรับเมืองฉางอันนี่นับเป็ภาพที่หาชมได้ยากยิ่งนัก
กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีอายุน้อยมากกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่อย่างบ้าคลั่งซึ่งในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยองค์หญิงใหญ่ที่มีตำแหน่งสูงส่งเหล่าเด็กหนุ่มสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และศิษย์ต่ำต้อยจากดินแดนทางเหนืออีกหลายคนทว่าในตอนนี้ พวกเขากลับไม่แบ่งชนชั้น ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ผู้ชายดึงมือผู้หญิงนักสู้ดึงมือหนอนหนังสือแน่นอนว่าคนผอมคนหนึ่งก็กำลังลากให้คนร่างอ้วนวิ่งตามตนอยู่พวกเขาวิ่งเข้าไปในเมืองฉางอัน วิ่งอยู่บนถนนหลวงอันแสนกว้างใหญ่ภายในเมืองอย่างบ้าคลั่ง
ที่ด้านหลังของพวกเขาคนอีกกลุ่มกำลังวิ่งตามมาพร้อมกับหอบหายใจด้วยความเหนื่อยซึ่งมีของขวัญล้ำค่าติดมือมาด้วย ทั้งผ้าแพรชั้นดีรวมไปถึงเครื่องเงินและเครื่องทองอีกมากมาย พวกเขาวิ่งตามกลุ่มเด็กหนุ่มสาวไปพลางพลางก็ะโแนะนำไปด้วยว่าตนมาจากสังกัดใด
หากลองฟังอย่างตั้งใจจะพบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็ตัวแทนของมหาอำนาจภายในเมืองฉางอันและแผ่นดินต้าเว่ยด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าวิ่งอยู่นานเท่าไหร่ในที่สุด กลุ่มคนก็มาถึงที่ตลาดแห่งหนึ่ง ที่นี่ครึกครื้นมากไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้เป็วันพิเศษอะไรหรือเปล่า หรือกำลังจัดงานอะไรอยู่บริเวณนี้มีผู้คนเดินขวักไขว่ ทั้งยังมีเสียงเฮดังขึ้นเป็ระยะๆดูเหมือนพวกเขากำลังะโชมว่า ‘ดี’ อยู่นั่นเอง
กลุ่มคนชะงักนิ่งไปทว่าพวกคนที่ตามมาทางด้านหลังยังคงขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆทั้งกลุ่มมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนใครสักคนจะเดินนำเข้าไปภายในงานเบื้องหน้าที่มีฝูงคนยืนเบียดเสียดกันอยู่
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เปิดทางโดยอาศัยพลังระดับเก้าดาราของตัวเองนางกระจายพลังิญญาออกมาด้านนอกเพื่อแยกฝูงคนเบื้องหน้าออกจากกันจนกลายเป็ช่องว่างเล็กๆเปิดทางให้ซูฉางอันกับพวกสามารถเบียดฝ่าผู้คนเข้าไปได้เพราะบริเวณนี้มีคนอยู่เยอะมากจริงๆเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงไม่รู้ว่าข้างหน้าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่และไม่มีเวลามาสนใจเื่พวกนี้ด้วย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินเบียดฝูงคนแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงด้านหน้าสุดของฝูงคนมันเป็โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ฝูงคนรอบข้างทั้งเบียดเสียดและส่งเสียงะโดังลั่นราวอยากจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาก ทว่าด้านหน้าสุดกลับมีคนยืนขวางอยู่หลายคนคนเ่าั้พูดบางอย่างออกมา แต่เพราะเสียงโหวกเหวกของผู้คนรอบด้านพวกเขาจึงไม่ได้ยินว่าคนเ่าั้กำลังพูดอะไรกันแน่
เหล่าหนุ่มสาวทั้งหลายหันกลับไปมองทางด้านหลังคนรับใช้บางคนในนั้นมีฝีมือดีไม่เบา ตอนนี้พวกเขากำลังเบียดผ่านฝูงคนแล้วมุ่งมาทางนี้แล้ว พวกเขาต่างพากันตื่นใ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี...
“ไป เข้าไปในนั้น! ” เซี่ยโหวฟ่งอวี้กล่าวขึ้นจากนั้นก็ลากซูฉางอันตรงไปที่โรงเตี๊ยมตรงหน้าทันที คนอื่นๆ เองเมื่อเห็นดังนั้นก็เดินตามเซี่ยโหวฟ่งอวี้เข้าไปแม้จะรู้ว่าโรงเตี๊ยมตรงหน้าไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้ากันได้ง่ายๆ ก็ตาม
ทางด้านผู้ที่ยืนขวางอยู่เมื่อเห็นว่ามีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาเดินตรงเข้ามาหาทั้งในกลุ่มยังมีผู้หญิงมาด้วยถึงสองคน พวกเขาก็อึ้งไปในทันทีคนเ่าั้ก่นด่าขึ้นในใจ แล้วเตรียมจะยื่นมือออกไปขวางทว่าหญิงที่เดินนำก็หยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกแล้ววางมันเข้าไปในมือของคนเ่าั้เสียก่อน
คนที่กำลังยืนขวางทางรับของสิ่งนั้นเอาไว้ตามสัญชาตญาณเขารู้สึกหนักที่ฝ่ามือทันทีที่ของสิ่งนั้นถูกวางลง เมื่อก้มลงมองก็พบว่ามันเป็ตราที่ทำมาจากทองคำ มีหน้าตาค่อนข้างเก่าแก่ และมีคำว่าซั่งซู[1]-เซี่ยโหว สลักอยู่ด้วยคนผู้นั้นสะดุ้งใ ก่อนจะขาอ่อน ทรุดลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้นดินทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่เขาจะกล้าขัดขวางอีก เขาไม่มีทางเลือกทำได้เพียงก้มหน้าลงต่ำ แล้วยื่นตราทองคำกลับมาให้เท่านั้น
ดูเหมือนเซี่ยโหวฟ่งอวี้จะรู้ั้แ่แรกแล้วว่าต้องมีจุดจบเช่นนี้นางไม่ได้ชะงักฝีเท้าลงเลยแม้แต่น้อย เพียงหยิบตราของตัวเองกลับมาอีกครั้งใส่มันกลับเข้าไปในเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกจากนั้นก็เดินเชิดหน้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างสง่าผ่าเผย
แต่เพราะรีบร้อนจนเกินไปจึงไม่ทันแม้แต่จะดูชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ
หลังเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ไม่ถึงสิบนาทีคนรับใช้จากจวนของมหาอำนาจทั้งหลายก็ตามมาถึงแล้วเช่นกันพวกเขายื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นาน พยายามจะฝ่าเข้าไปในโรงเตี๊ยมให้ได้แต่ก็ถูกคนเฝ้าประตูรั้งเอาไว้
คนรับใช้ที่เดินทางมาในวันนี้ล้วนมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาในบ้านของเ้านายทั้งสิ้นไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้รับงานที่สำคัญขนาดนี้หรอก เหตุนี้ เมื่อออกมาข้างนอกจึงใช้ชื่อเสียงและอำนาจของเ้านายมาข่มเหงรังแกผู้อื่นอยู่เป็อาจิณเมื่อถูกคนในชุดเด็กรับใช้ขัดขวางเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่พอใจมากพวกเขาพูดกับคนเฝ้าประตู “พวกเ้ารู้ไหมว่าข้าเป็ใคร? กล้าขวางข้างั้นเหรอ?”
หัวหน้าคนเฝ้าประตูมองสำรวจเขาั้แ่หัวจรดเท้าพลางนึกเย้ยหยันขึ้นในใจ... ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอย่างเ้าจะเอาตราของราชสำนักออกมาได้เหมือนกัน ดังนั้น เขาจึงกล่าวออกไปดังนี้ “ข้าไม่สนว่าพวกเ้าจะเป็ใครหอหมู่ตันของพวกเรา ไม่ใช่ที่ที่พวกหมาแมวจะเข้าไปได้หรอกนะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของหอหมู่ตันกลุ่มคนรับใช้ที่เคยมีท่าทางดุดันก็พากันชะงักนิ่งไปจากนั้นจึงพากันแหงนหน้าขึ้นไปมองป้ายชื่อที่ติดอยู่ทาง้า ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกราวมีสายฟ้าเหวี่ยงใส่ร่างอย่างจัง อารมณ์โกรธที่เคยมีมลายหายไปสิ้นพวกเขาหน้าจ๋อย ถอยออกไปหนึ่งก้าว แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางอับอายความโกรธและผยองในตอนแรกจางหายไปหมดแล้ว
ที่นี่เป็โรงเตี๊ยมที่ประหลาดมากอย่างน้อยกลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายก็คิดเช่นนั้น
ที่นี่แตกต่างไปจากโรงเตี๊ยมอื่นๆของตกแต่งภายในเป็สีชมพูทั้งหมด ทั้งยังมีรูปหงส์คู่ ดอกหมู่ตัน และอื่นๆสลักอยู่เต็มไปหมด ดูเป็โรงเตี๊ยมที่มีความเป็ผู้หญิงสูงมากยิ่งเป็โถงด้านล่างก็ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ลูกค้าทั้งหลายนั่งอยู่ด้วยกันโต๊ะละสอง หรือสามคน โดยมีหญิงผู้มีรูปโฉมงดงามนั่งอยู่ข้างๆแขกเ่าั้มักจะลูบจับร่างกายของหญิงเ่าั้อยู่เป็ระยะๆทว่านอกจากจะไม่โกรธแล้วพวกนางกลับยังพูดกระเซ้าเย้าแหย่กับคนเ่าั้ด้วยรอยยิ้มออดอ้อนเสียอีก
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมตลบอบอวลไปด้วยความน่าประหลาดบรรยากาศเช่นนี้ ทำให้ซูฉางอันกับพวกอดรู้สึกหน้าแดงไม่ได้เลย
“อ้าว นายท่านทั้งหลายทำไมถึงเพิ่งมาล่ะเ้าคะ? พวกสาวๆรอพวกท่านอยู่นานแล้ว! ” หญิงที่มีอายุประมาณสามสิบกว่าๆเดินเข้ามาหา นางคลุมร่างด้วยชุดเสื้อผ้าบางๆ นุ่งน้อยห่มน้อยเผยให้เห็นไหล่ที่ขาวประดุจหิมะ ไม่รู้ว่านางทาอะไรเอาไว้ตามร่างกายแต่ซูฉางอันมักจะได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากร่างของนางอยู่ตลอดแต่เพราะกลิ่นนั้นแรงเกินไป จึงไม่น่าดมเลยสักนิด
“สาวๆ? รอพวกเรา?” ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเขาจำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักสาวๆ อะไรในที่แห่งนี้มาก่อนเหตุนี้เขาจึงหันกลับไปมองคนอื่นๆ เป็เชิงถามว่าพวกเ้ารู้จักสาวๆในที่แห่งนี้ใช่ไหม...
แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมากลับเป็การหยิกแรงๆ ที่เอวด้วยเล็บคมจากเซี่ยโหวฟ่งอวี้แทน
เขาส่งเสียงร้องด้วยความเ็ปพลางลูบจับไปที่เอวของตัวเองด้วยท่าทางราวไม่ได้รับความเป็ธรรม
ทางด้านหญิงคนนั้นเองเมื่อพบว่ากลุ่มคนตรงหน้ามีผู้หญิงมาด้วยถึงสองคนอีกทั้งหญิงที่มาด้วยก็ยังมีรูปร่างงดงามสวยกว่าหญิงบางคนที่เป็ยอดบุปผาในโรงเตี๊ยมของตนเสียอีก นางกลอกตาเป็เชิงครุ่นคิดนี่เป็ครั้งแรกเลยที่มีใครพาผู้หญิงมาในที่แบบนี้ ทว่านางก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้นางมีหน้าที่เพียงค้าขายและบริการเท่านั้น เพียงลูกค้ามีเงินให้แล้วยังจะไปสนใจเื่พวกนั้นอีกทำไม นางเองก็ี้เีจะไปยุ่งเหมือนกัน
“คาดว่าที่ทุกท่านมากันในวันนี้คงเพราะ้าจะพบกับแม่นางฝานหรูเยว่เหมือนกันล่ะสิท่า มาๆ ทุกท่านนั่งรออยู่ตรงนั้นก่อนข้าจะสั่งให้พวกสาวๆ ยกสุราอาหารมาให้ อีกครึ่งชั่วยามแม่นางฝานจะออกมาเจอกับทุกคนเอง” หญิงคนนั้นบอก
“ได้เลย! ” ซูฉางอันขานรับเขากับพวกต้อนรับแขกที่เข้ามาหาอย่างไม่หวั่นไม่ไหวมาทั้งวันแล้วหลังหนีออกมาจากสำนักเทียนหลาน พวกเขาก็วิ่งกันมานานถึงขนาดนั้นอีกซูฉางอันรู้สึกหิวจนไส้แทบจะขาดอยู่แล้ว บัดนี้ เมื่อได้ยินว่ามีสุราและอาหารย่อมรู้สึกดีใจเป็ธรรมดา
เมื่อหันกลับไปมองคนอื่นๆเขากลับพบว่าคนทั้งหลายใบหน้าแดงก่ำ ทั้งยังมีท่าทางแปลกๆ อีกด้วยแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเพื่อนๆ อาจเหนื่อยเพราะวิ่งมานานเท่านั้นจึงเดินนำไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ทั้งยังเรียกให้คนอื่นๆเข้ามานั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีก
..............
[1]ซั่งซู หมายถึง ตำแหน่งในสมัยโบราณเทียบเท่านายกรัฐมนตรีในตอนนี้