ไม่เพียงแค่เคล็ดวิชาเสี้ยวิญญา์ที่ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจเท่านั้น แต่ความทรงจำส่วนอื่นของยอดฝีมือผู้นั้นก็ได้สร้างความตกตะลึงให้หลินเฟิงเช่นกัน
ความทรงจำที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขา ทำให้หลินเฟิงรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากขนาดไหน เพียงหมัดเดียวก็สามารถทลายภูผาและสะบั้นแม่น้ำได้ภายในดาบเดียว
นี่คือขอบเขตพลังที่ยิ่งใหญ่!
ในที่สุดหลินเฟิงก็เข้าใจลำดับขั้นของพลัง ขอบเขตลี้ลับนั้นจะแบ่งออกเป็ 9 ขั้น
และเหนือขอบเขตลี้ลับจะเป็ขอบเขต์ ซึ่งผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขต์นับว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด
หลินเฟิงในตอนนี้แค่จะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับก็แทบเป็ไปไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระยะห่างระหว่างเขากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขต์เลย
เมื่อหันหลังไปมองซากศพที่นอนกองอยู่ที่พื้น หลินเฟิงก็ถอนหายใจออกมาน้อยๆ ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งแห่งยุคกลับตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ คนตรงหน้าเขาเพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียว ก็สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาอย่างหลินเฟิงได้อย่างง่ายดายราวกับบี้มดตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับถือว่าเป็ตัวตนที่แข็งแกร่งในอาณาจักรเสวี่ยเยว่และอาณาจักรโม่เยว่ แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขต์นั้น หลินเฟิงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีตัวตนระดับนั้นอยู่ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่
หลินเฟิงแน่ใจว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับนั้น แค่สะบัดมือแค่ครั้งเดียวก็ทำลายอาณาจักรเสวี่ยเยว่ได้อย่างง่ายดาย ไม่มีทางที่อาณาจักรเสวี่ยเยว่จะรับมือได้
ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสามารถสกัดโลหิตให้กลายเป็พลังทางสายเื และส่งต่อไปยังลูกหลานของพวกเขาได้ กล่าวได้ว่าในสายตาของพวกเขานั้น จิติญญาทางสายเืที่สร้างขึ้นโดยพวกเขาเป็จิติญญาที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งในสายตาของลูกหลาน ยอดฝีมือเ่าั้ล้วนเป็ตำนาน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หลินเฟิงได้พบกับยอดฝีมือในตำนานและยังได้สืบทอดความทรงจำและความรู้ที่น่าเหลือเชื่อจากอีกฝ่ายด้วย
“เ้างูั์ตัวนี้ ที่แท้ก็เป็อสูรปีศาจงูสีม่วงนี่เอง”
หลินเฟิงมองงูสีม่วงตัวนั้นอย่างสนใจ ถ้านำมันไปไว้ด้านนอก อสูรปีศาจตัวนี้คงสั่นประสาทผู้คนไปทั้งอาณาจักรแน่ๆ
เืของมันได้กลายเป็ทะเลสาบ และถึงแม้จะผ่านไปนานเป็ร้อยปี แต่พลังชีวิตของมันก็ยังไม่สูญสลายไป ถ้าหากเืนี้ได้เข้าสู่ร่างกาย มันคงมอบพลังทางสายเืและจิติญญาให้แก่เ้าของร่าง
แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบสีม่วงนี้ ถูกหลินเฟิงดูดกลืนไปแล้ว
“ท่านผู้าุโ ข้าได้สืบทอดวิชาความรู้ของท่าน ดังนั้นท่านคืออาจารย์ของข้า”
หลินเฟิงมองซากศพนั่นก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะอย่างนับถือ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทั้งมวลล้วนเป็อาจารย์สำหรับเขาทั้งสิ้น
อีกฝ่ายได้แบ่งความทรงจำออกเป็ 3 ส่วนและส่งมอบให้กับเขา ดังนั้นมันจึงเป็เื่สมควรแล้วที่หลินเฟิงจะโขกศีรษะเคารพอีกฝ่าย
ถ้ายอดฝีมือคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ หลินเฟิงจะคุกเข่าขอเป็ศิษย์ จากนั้นก็จะกลับไปที่อาณาจักรเสวี่ยเยว่อย่างผ่าเผย
เมื่อต้วนซินเยี่ยเห็นการกระทำของหลินเฟิง นางจึงเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา และโขกศีรษะคำนับ ยอดฝีมือคนนั้นได้มอบความทรงจำอีกส่วนหนึ่งให้แก่นาง มันเป็เคล็ดวิชาดาบที่ทรงพลังมาก ดังนั้นต้วนซินเยี่ยจึงนับถือเขาเป็อาจารย์เช่นกัน
“ท่านผู้าุโ ท่านได้มอบความทรงจำส่วนหนึ่งให้กับข้า ข้าจะจดจำมันไว้ และสักวันหนึ่งหากข้ามีโอกาสได้พบกับสหายของท่าน ข้าจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน”
ที่หลินเฟิงเอ่ยปากพูดเช่นนี้ เพราะในความทรงจำส่วนแรกที่อีกฝ่ายมอบให้เขา มันมีเื่ราวและคนที่ท่านผู้าุโยังปล่อยวางไม่ได้อยู่ แม้จะผ่านมานานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้บรรลุขอบเขตที่ยิ่งใหญ่แล้ว ชีวิตของเขาจะยืนยาวกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเวลาเพียง 200 - 300 ปี ถือเป็เื่ปกติสำหรับพวกเขา และไม่แน่ว่าสหายของผู้าุโท่านนี้ อาจจะบรรลุขอบเขตที่สูงกว่านี้และมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็ได้
เมื่อลุกขึ้นยืนหลินเฟิงก็ทอดถอนใจออกมา จากนั้นข้อสงสัยบางอย่างพลันผุดขึ้นมาในสมอง ความรักคืออะไรกัน? แม้แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างท่านผู้าุโก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากกับดักที่ชื่อว่าความรักได้เลย แม้เวลาจะผ่านไปเป็ร้อยๆ ปี แต่ท่านผู้าุโกลับไม่เคยลืมเลือนมันได้เลยสักครั้ง และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเงื่อนไขสำคัญที่จะได้รับมรดกความทรงจำของเขาถึงต้องเป็คู่รัก นั่นเป็เพราะท่านผู้าุโเป็คนที่เชื่อในเื่ความรักอย่างสุดหัวใจ
“หลินเฟิง พวกเราจะออกไปตอนไหนกัน?”
จู่ๆ ต้วนซินเยี่ยก็ถามขึ้นมา พวกเขาไม่สามารถอยู่ในเขตต้องห้ามนี้ได้ตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้เบื่อตายกันแน่ๆ
ดวงตาของหลินเฟิงเผยร่องรอยความกังวล ผู้าุโตระกูลจื่อต้องรอพวกเขาอยู่ด้านนอกแน่นอน หากพวกเขาก้าวออกไปตอนนี้ล่ะก็ คนเ่าั้ต้องโจมตีพวกเขาอย่างไม่ลังเลแน่นอน
ด้วยพลังของเขาตอนนี้คงรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
“ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับมีพลังเจินหยวน ซึ่งมันสร้างความลำบากให้กับข้ามาก พลังของข้าด้อยกว่าพลังเจินหยวน ดังนั้นคงเป็เื่ยากที่พวกเราจะฝ่าออกไปได้”
หลินเฟิงคิดในใจเงียบๆ อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ยังคงเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเอง ในวันนั้นหลินเฟิงได้ทิ้งาแไว้ที่หน้าอกของผู้าุโตระกูลจื่อ และการโจมตีนั้นก็เกือบจะสังหารอีกฝ่ายได้ ตอนนี้หลินเฟิงได้อาบทะเลสาบสีม่วงแห่งนี้เพื่อขัดเกลาร่างกายของตน และหลังจากที่ดูดกลืนทะเลสาบสีม่วงไป จิติญญากลืน์ก็แข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้เกิดจิติญญาใหม่ขึ้นมา
เมื่อคิดได้แบบนี้หลินเฟิงก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่สามารถสังหารผู้าุโตระกูลจื่อได้ แต่ไม่รู้ว่าพลังโจมตีของเขาในตอนนี้เพิ่มไปถึงขนาดไหนแล้ว
“ซินเยี่ย พวกเราออกไปดูกันเถอะ เผื่อจะสามารถออกไปได้”
หลินเฟิงหันมาพูดกับนาง ซึ่งต้วนซินเยี่ยก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด นางเพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น
“ไปกัน”
ทั้งสองคนกลับไปทางเดิม แสงสว่างรอบข้างค่อยๆ มืดลง ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไร เส้นทางก็ยิ่งหดแคบลงเท่านั้น ไม่นานนักหลินเฟิงกับต้วนซินเยี่ยก็มาถึงหน้าประตูของเขตต้องห้าม
“เ้ารออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวข้าจะออกไปดูสถานการณ์ก่อน”
หลินเฟิงหันมาพูดกับต้วนซินเยี่ยก่อนจะเดินไปด้านหน้าประตู แล้วแตะบานประตูเบาๆ
“ครึ่ก ครืด!!!”
เกิดเสียงบานประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ สำหรับประตูของเขตต้องห้ามนั้น หากคนที่อยู่ด้านในเขตต้องห้ามััที่บานประตู บานประตูก็จะเปิดออกเอง
หลินเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อร่างกายััได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่กระจายเข้ามา หลินเฟิงชักดาบแล้วชี้ปลายดาบไปข้างหน้า
เมื่อประตูเปิดออกกว้าง ทันใดนั้นคลื่นความหนาวเย็นที่รุนแรงก็เข้าปกคลุมร่างกายของหลินเฟิงทันที ทำให้หัวใจของหลินเฟิงพลันหดเกร็งขณะที่คิ้วก็ขมวดแน่น
หนาวมาก ทำไมถึงหนาวขนาดนี้?! ผู้าุโตระกูลจื่อไม่น่าจะปลดปล่อยไอเย็นที่รุนแรงแบบนี้ออกมาได้
ความหนาวเย็นนี้ได้กระตุ้นความรู้สึกที่คุ้นเคยของหลินเฟิงขึ้นมา จากนั้นไม่นานดวงตาของหลินเฟิงก็เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก พลังที่ก่อตัวอยู่รอบๆ พลันอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อประตูเปิดออกจนสุด ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหลินเฟิง... เป็เมิ่งฉิงที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ไม่ใช่ผู้าุโตระกูลจื่อผู้นั้น
เมื่อเมิ่งฉิงเห็นหลินเฟิงออกมาแล้ว ดวงตากลมโตก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ยามที่ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน ร่องรอยของอารมณ์ก็กระเพื่อมไหวอยู่ในดวงตา
“เมิ่งฉิง”
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหลินเฟิง
แต่เมิ่งฉิงยังคงแสดงสีหน้าเ็าอยู่เหมือนเดิม ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่หลินเฟิงชั่วครู่ ก่อนจะเลื่อนไปมองร่างของต้วนซินเยี่ยที่เพิ่งเดินออกมา
เมื่อเห็นต้วนซินเยี่ยสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ ดวงตาของเมิ่งฉิงก็สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะถูกปกปิดด้วยท่าทางเฉยเมยและใบหน้าไร้อารมณ์
ต้วนซินเยี่ยเองก็มองเมิ่งฉิงเช่นเดียวกัน ในใจของนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใ นางสวยมาก… ไม่คิดเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีผู้หญิงที่สวยขนาดนี้อยู่ด้วย
นอกจากจะสวยแล้ว ยังเ็าอีกด้วย
ต้วนซินเยี่ยเชื่อมั่นในรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาตลอด นางไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เทียบเคียงนางได้เลย แต่มาวันนี้เมื่อต้วนซินเยี่ยได้เห็นสตรีตรงหน้า นางก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองคือกบในกะลาแท้ๆ นอกจากนี้ผู้หญิงคนนั้นกับหลินเฟิงก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาเลย
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เมิ่งฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปช้าๆ แต่ไอเย็นที่แผ่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศกลับทำให้หลินเฟิงขมวดคิ้วแน่น
ความหนาวเย็นที่แพร่กระจายจากร่างของเมิ่งฉิง ทำไมถึงได้เย็นะเืเช่นนี้?
จู่ๆ หลินเฟิงก็นึกถึงความหนาวเย็นที่เคยเกิดขึ้นกับเมิ่งฉิงก่อนหน้านี้ขึ้นมา สีหน้าของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนะโขึ้นมาว่า “เดี๋ยวก่อนเมิ่งฉิง”
ดูเหมือนว่าเมิ่งฉิงจะไม่ได้ยินเสียงะโของเขา นางยังคงก้าวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ เงาที่ปรากฏอยู่บนพื้นดูโดดเดี่ยวและหงอยเหงาเป็อย่างมาก
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”
หลินเฟิงก้าวเท้าออกจากประตูอย่างเร่งรีบ ขณะเดียวกันก็ะโสั่งให้เมิ่งฉิงหยุด ซึ่งการกระทำของเขาทำให้ฝูงชนรู้สึกตกตะลึงเป็อย่างมาก หลินเฟิง... กล้าะโสั่งเมิ่งฉิงเชียวหรือ?
เมิ่งฉิงไม่เพียงงดงามราวกับเทพธิดา แต่พลังของนางยังแข็งแกร่งอีกด้วย
เมื่อเมิ่งฉิงได้ยินเสียงะโของหลินเฟิง นางก็หยุดเดินและหันกลับไปมองเขา
“กลับมาหาข้า!”
หลินเฟิงะโสั่งอีกครั้ง ในน้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความโกรธ ทำให้ดวงตาของเมิ่งฉิงพลันสั่นไหว นางไม่กล้าสบตากับหลินเฟิงขณะที่เดินเข้าไปหาหลินเฟิงช้าๆ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของฝูงชน
หลินเฟิงะโใส่นางแบบนั้น นางไม่เพียงไม่ขัดขืน แต่ยังยอมเดินไปหาอย่างว่าง่ายอีกด้วย
นางกับหลินเฟิงมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?
ทำไมสาวงามที่แข็งแกร่งคนนี้ ถึงได้เชื่อฟังหลินเฟิงขนาดนั้น
“ซินเยี่ย เ้าออกไปก่อน” หลินเฟิงเดินเข้ามาในเขตต้องห้ามและพูดกับต้วนซินเยี่ย ทำให้ต้วนซินเยี่ยตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจปนสงสัยขณะที่สบตากับหลินเฟิง จากนั้นต้วนซินเยี่ยก็พยักหน้าตอบรับและเดินออกไปเงียบๆ ขณะเดียวกันก็เหลือบมองเมิ่งฉิงที่เดินสวนทางกับนางไป
วินาทีที่เดินสวนกัน ต้วนซินเยี่ยก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นรุนแรงที่แผ่จากร่างของนาง ความหนาวเย็นนั้นแทบจะแช่แข็งหัวใจของนางได้ ทำไมรอบตัวสาวงามคนนี้ถึงได้เยือกเย็นขนาดนี้?
“ตามข้ามา” หลินเฟิงดึงร่างของเมิ่งฉิงเข้าไปในเขตต้องห้าม น้ำเสียงของเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไร
ประตูของเขตต้องห้ามได้ปิดลงอีกครั้ง ส่วนหลินเฟิงและเมิ่งก็หายไปจากสายตาของทุกคน ฝูงชนพากันจ้องมองประตูบานนั้นอย่างสงสัย พวกเขาไปทำอะไรข้างในนั้นกัน?