“เจินจู เร็ว เ้ามาดูเร็ว เสี่ยวเฮยตีกับนกอินทรีนั่นอีกแล้ว!” เสียงร้องตื่นใของหลี่ซื่อมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย
“อ้อ” นางเงยหน้ามองอยู่ไม่กี่ที พื้นที่เนินลาดเอียงหลังบ้าน นกอินทรีทองสูงครึ่งเมตรตัวหนึ่งกำลังบินวนเวียนอยู่ สีน้ำตาลเข้มผสมผสานกับสีน้ำตาลแดง ปลายขนนกมีสีเหลืองทอง ฟันและกรงเล็บแหลมคมเป็สง่าน่าเกรงขามอย่างมาก
เห็นเพียงมันกางปีสองข้างออก โผตัวมุ่งลงมาด้วยท่าทีคุกคามอีกฝ่าย กรงเล็บเท้าแหลมคมจู่โจมฉับพลัน
นึกว่าจะช้าไปแต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด หนึ่งเงาดำลอยตัวขึ้นกลางอากาศ หนึ่งเงาที่ผสมผสานกันก็เอาตัวเองร่อนลงมา
“แว้ก...” นกอินทรีทองร้องเ็ปหนึ่งที พร้อมกับขนนกสีดำปลิวว่อนลงมา อีกนิดมันเกือบจะซวนเซหล่นลงจากท้องฟ้าอยู่แล้ว หลังจากที่ฝืนร่างตัวเองให้มั่นคงไว้ หันกลับมามองแวบหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้ บินวนเวียนอยู่ครู่หนึ่งจนสุดท้ายถึงได้บินจากไป
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ มีเสี่ยวเฮยอยู่” เจินจูยิ้ม
ปลูกต้นพุทราได้สามวัน อินทรีนั่นมาอยู่สามสี่ครั้ง ทุกครั้งล้วนพุ่งตรงมาที่ต้นพุทรา โชคดีที่เสี่ยวเฮยไม่ทำให้นางผิดหวัง ทุกครั้งล้วนทำให้อินทรีพ่ายแพ้กลับไป แรงะโของเสี่ยวเฮยน่าตะลึงยิ่ง จากบนลำต้นพุทราะโขึ้นไปหนึ่งทีก็สามารถล็อกเป้าหมายโจมดีได้อย่างแม่นยำ เจินจูจึงถือโอกาสสร้างราวไม้ไผ่สองท่อนพาดระหว่างต้นไม้สองต้นเสียเลย เสี่ยวเฮยจะได้เดินไปมาและหยุดพักได้สะดวกสบาย
“…เสี่ยวเฮยร้ายกาจจริงๆ สามารถะโได้สูงเพียงนั้นทุกครั้งเลย!” แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นแมวดำะโปะทะให้นกอินทรีทองล่าถอย แต่หลี่ซื่อยังรู้สึกว่าเหตุการณ์ค่อนข้างน่าตกตะลึงมาก นั่นเป็เพียงแมวหนึ่งตัวเองนะ ไม่ใช่เสือหรือเสือดาว ทำไมร้ายกาจได้ขนาดนี้
“ฮ่าๆ ต้องเป็เช่นนั้นสิ ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็ต้องห่วงมัน มันทำได้เ้าค่ะ” เจินจูก้มหน้าหั่นผักป่าต่อไป เพราะอีกเดี๋ยวต้องให้อาหารไก่แล้ว
“แม่แค่ประหลาดใจ เสี่ยวเฮยไม่ใช่แมวกระมัง? อาจจะเป็เสือดาวหรือไม่? ทำไมร้ายกาจเพียงนี้” หลี่ซื่อกังขา แล้วดึงสติกลับมาเย็บปลอกผ้านวมในมือต่อ เตรียมจะย้ายบ้านแล้ว เช่นนั้นก็ต้องปูเตียงมากขึ้น แต่ปลอกผ้านวมของที่บ้านไม่พอ ที่มีอยู่ก็เยินหมดแล้ว จึงทำอันใหม่ไม่กี่ชุดขึ้นเสียเลย
เสือดาว? เจินจูอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้
“บ๊อกๆ”
เสี่ยวหวงในลานบ้านเห่าสองที ไม่นานก็ส่ายหางขึ้น
“ท่านย่า” เจินจูยิ้ม “ทำไมมาเวลานี้ล่ะเ้าคะ?”
ใกล้เที่ยงเช่นนี้ควรเป็เวลาเตรียมอาหารกลางวัน ยามนี้หวังซื่อน่าจะกำลังยุ่งอยู่ เหลียงซื่ออายุครรภ์มากแล้ว และยังค่อนข้างอ้วนท้วนด้วย ที่บ้านขาดคนไปไม่ได้เลย
“ท่านแม่” หลี่ซื่อวางงานเย็บบนมือลง หยัดกายลุกขึ้นเดินเข้าไปต้อนรับข้างหน้า
“อื้ม หรงเหนียง เ้าทำธุระเ้าเถอะ ไม่ต้องดูแลหรอก ข้าจะคุยกับเจินจูสักสองสามประโยค อีกเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว” หวังซื่อโบกไม้โบกมือไปทางนาง
“มีอะไรหรือเ้าคะ?” เจินจูหยุดการกระทำในมือลง ถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่ซื่อส่งม้านั่งหนึ่งตัวให้ ก่อนจะเข้าไปยกชาร้อนออกมาจากครัวหนึ่งถ้วย แล้วจึงกลับไปใต้ชายคาทำงานเย็บปักถักร้อยตามเดิม
นับั้แ่ที่บ้านมีใบชาและถ้วยชา ทุกครั้งที่มีแขกมาหาถึงบ้าน หลี่ซื่อมักใช้ชาต้อนรับเสมอ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หยิบชามใบใหญ่ตักน้ำต้มใส่ให้แขก
ตอนแรกหวังซื่อไม่ชินอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่มาหลี่ซื่อล้วนกระตือรือร้นชงชาให้นาง นางปฏิเสธไม่ได้จึงดื่มไปสองสามครั้ง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ชอบความขมฝาดของใบชาที่มีรสชาติฝาดหวานอร่อย
“เมื่อครู่มารดาของหงซานเขามาบอกข้า ว่าครอบครัวพวกเขากับเหลียงหู่มัวโอ้เอ้กันมาสองสามวันแล้ว ชายโฉดผู้นั้นรับปากว่าขาดได้แค่สิบเหลียงเท่านั้น ให้เป็เงินทั้งสิ้นสี่สิบเหลียง จะจัดการเื่หย่าทันที ครอบครัวหงซานหมดสิ้นหนทาง หลังหารือกันแล้วเลยตัดสินใจว่าจะยืมหนี้สิน เพื่อ้าตัดเนื้อร้ายนี้ทิ้ง” หวังซื่อถอนหายใจ ดื่มชาร้อนหนึ่งอึก “ก็เป็เช่นนี้แหละ พวกเขาคิดจะยืมสิบห้าเหลียงจากครอบครัวเรา บอกว่าจัดการเื่นี้เสร็จแล้วจะให้หงซานรีบมาช่วยงานที่บ้านทันที เื่นี้เ้าเห็นว่าอย่างไร?”
“ได้สิเ้าคะ นี่เป็เื่ดี ท่านอาหงยู่หย่าร้างกับเหลียงหู่ สองบ้านไม่มีความสัมพันธ์กัน เหลียงหู่จะทำบาปกรรมอะไรอีกก็ไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวนางแล้ว เงินที่จะให้ยืมนี้ ให้ท่านพ่อข้าออกหน้าให้ยืม อืม... เอาหัวหน้าหมู่บ้านมาเป็คนกลางด้วย ลงนามสัญญาก็พอแล้วเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
ไม่ใช่ว่ามีคำกล่าวเช่นนี้หรือ ว่าปัญหาที่ใช้เงินแก้ไขได้ล้วนไม่ใช่ปัญหา
หึๆ เหลียงหู่หรือ ก็ให้เขาลอยนวลไปสักพัก ผ่านไประยะหนึ่งค่อยจัดการเขา
เื่ราวจัดการได้อย่างราบรื่น จ้าวเหวินเฉียงเห็นด้วยกับวิธีที่ครอบครัวจ้าวหงซานตัดสินใจทำมาก เหลียงหู่นิสัยดุร้ายและหยาบคายเช่นนั้น จ้าวหงยู่อยู่กับเขา ทรมานอีกสองสามปีเกรงว่าชีวิตน้อยๆ คงถูกทำให้ทรมานจนชีวิตหาไม่แล้ว การหย่าร้างแม้จะเป็อุปสรรค แต่ยุคสมัยนี้ไม่ได้ห้ามสตรีแต่งงานใหม่เหมือนยุคสมัยก่อนเช่นนั้น ราชวงศ์เซี่ยผ่านภัยาใหญ่มาหลายครั้งแล้ว บุรุษต่อสู้จนเสียชีวิตกลางสนามรบนับไม่ถ้วน คนชราและเด็กเล็กจากไปกับาเพราะความหิวโหย ประชากรราชวงศ์เซี่ยล้มหายลงไปจำนวนมาก ปัจจุบันนี้ได้ส่งเสริมนโยบายให้มีลูกมากขึ้น แม่หม้ายและหญิงแต่งงานใหม่ก็เป็เื่ที่มีเพิ่มขึ้น อีกอย่างขอแค่ครอบครัวจ้าวหงซานไม่รังเกียจและไม่แยแสคำซุบซิบนินทาของผู้อื่น ก็ไม่เป็อุปสรรคต่อครอบครัวพวกเขา
เหลียงหู่เห็นแก่เงินจึงรีบไปที่ศาลาว่าการและดำเนินการหย่าร้างอย่างสุขใจ มีเงินมากมายเพียงนี้ ไม่มีสาวงามครอบครัวใดที่ขอแต่งงานไม่ได้แน่ สองครอบครัวเกิดความเกลียดชังแค้นเคือง ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความรังเกียจ ได้ทำการจบสิ้นกันในเวลานั้น ครอบครัวจ้าวหงซานรีบไปเก็บถุงเดินทางเสื้อผ้าและเครื่องใช้ของจ้าวหงยู่ถึงบ้านเหลียงหู่ทันที ตัดความสัมพันธ์กับเหลียงหู่โดยสิ้นเชิง
รับหนังสือหย่าร้างมาได้ จ้าวหงยู่ก็ไม่สนใจความเ็ปของร่างกาย กอดมารดาร้องไห้โฮหนึ่งรอบ ท่ามกลางเสียงกล่าวปลอบใจของคนทั้งบ้าน ดวงตาที่ท้อแท้ไม่มีกำลังใจในที่สุดก็แสดงอารมณ์ออกมาเล็กน้อย หลุดพ้นชีวิตที่สิ้นหวังเช่นนั้นแล้ว ความเป็อยู่ต่อไปของวันข้างหน้ายังมีความหวังอยู่บ้าง
จ้าวหงซานขยันมาก ่บ่ายของวันเดียวกันก็แบกจอบขึ้นบ่าตามอยู่ข้างหลังหูฉางกุ้ย
บ้านใหม่ของครอบครัวหูโดยรวมทำเสร็จสิ้นแล้ว สระน้ำในลานบ้านยังไม่ทันได้ขุด ต้นไม้ไม่กี่ชนิดที่้าปลูกก็ยังไม่ได้เพาะ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนกำหนดตำแหน่งพื้นที่และเว้นวางไว้แล้ว ซึ่งต่อไปต้องทำเป็ขั้นเป็ตอน ตามความคิดเห็นของเจินจูคือสร้างกำแพงรั้วเลี้ยงกระต่ายหลังบ้านให้เสร็จก่อน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ กระต่ายอาศัยอยู่ในกรงจะหงุดหงิดไม่สงบ ทุกวันผลัดเปลี่ยนกันออกมาะโเล่นล้วนไม่สามารถผ่อนคลายลงได้ เร่งทำงานไม่กี่วันแล้วสร้างรั้วขึ้นก่อนจะดีกว่า
หวังซื่อหาคนมาคำนวณวัน หลังวันที่หกไปเป็วันดีที่จะย้ายไปบ้านใหม่ ดังนั้นไม่กี่วันนี้ต้องรีบซื้อของเข้าบ้านใหม่ทั้งหมดให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมงานเลี้ยงย้ายบ้านหลังวันที่หก แล้วก็เป็เผาก้นหม้อ [1] ตามประเพณีทั่วไปด้วย
เครื่องเรือนที่หลู่โหย่วมู่ตีขึ้นทยอยส่งเข้าหมู่บ้านมาเรื่อยๆ ดึงดูดให้ชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านมากมายล่วงหน้าไปมุงดู มีทั้งชื่นชมอิจฉา มีทั้งริษยาว่าร้าย มีทั้งวิพากษ์วิจารณ์... ทยอยแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา แต่นี่เป็ครอบครัวหูอาศัยความสามารถหาทรัพย์สินเงินทองมาได้ทั้งหมด คนเขายังสนิทสนมกับบรรดาเ้าของร้านใหญ่โตในเมืองอีกด้วย ได้ยินว่าตอนจัดงานเลี้ยงย้ายบ้าน เ้าของร้านเหนียนจากสือหลี่เซียงกับเ้าของร้านหลิวจากฝูอันถังนั่นจะมาแสดงความยินดีด้วยอีกต่างหาก เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเหล่านี้ เลยปูถนนอิฐสีฟ้าครามมันเงาทั่วทั้งลานบ้านของตนเองขึ้น
ขณะนี้บ้านใหม่ของครอบครัวหูกลายเป็สถานที่คึกคักที่สุดในหมู่บ้าน ทุกวันมีคนไม่น้อยวิ่งมาชมถึงทางเข้าหมู่บ้าน อิฐสีฟ้าครามกระเบื้องสีเข้มกำแพงลานตั้งสูง ในบรรดาบ้านเรือนที่พักอาศัยในชนบทที่ต่ำเตี้ยและเรียบง่าย ปรากฏให้เห็นความโดดเด่นเป็พิเศษที่ไม่เหมือนใคร
แต่ไม่นานชาวไร่ชาวนาที่อิจฉาเพราะชื่นชม และอิจฉาเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ดีต่างก็ไม่มีเวลาว่างแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านเรียกทุกคนมารวมตัวประกาศข่าวหนึ่งเื่ คือเื่อบเห็ดของสกุลหู แม้จะไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์ก็สามารถใช้ความร้อนอบเห็ดให้แห้งบนเตียงได้ ชาวไร่ชาวนาที่ไม่มีอะไรทำจะได้ถือโอกาส่ฝนตกในฤดูใบไม้ผลิเก็บรวบรวมเห็ดให้มากมาอบแห้ง และเก็บเห็ดที่อบแล้วไว้ขายตอนที่ตลาดขาดแคลน
พอแพร่ข่าวออกไป บรรดาชาวไร่ชาวนาก็เหมือนน้ำมันเดือดในหม้อ [2] ต่างพากันซักไซ้ไล่เลียงจ้าวเหวินเฉียงทันที
หมู่บ้านบริเวณเมืองไท่ผิงอยู่ข้างป่าเขาเป็ส่วนใหญ่ แหล่งเห็ดอุดมสมบูรณ์มาโดยตลอด ชาวไร่ชาวนาที่ขยันเก็บเห็ดสดใหม่หลังฝนตก เดิมทีขายได้เงินไม่เท่าไร น่าเสียดายที่ทุกคนทำได้เพียงขายในระยะเวลาสั้นๆ ่หนึ่ง อีกอย่างล้วนโผล่ขึ้นมาเป็หย่อมๆ มากมาย เมื่อของมีมากราคาเลยต่ำไปด้วย เห็ดก็เก็บไว้ได้ไม่นานอีก เวลาสองสามวันก็เหี่ยวแล้ว ฤดูฝนแสงอาทิตย์ไม่มากพอ หากต้องอาศัยแสงอาทิตย์ผึ่งแดดก็ไม่เป็ไปดังใจปรารถนาเท่าไร จะเก็บไว้ทานเองก็ไม่ไหว ดังนั้นความ้าที่จะเก็บรวบรวมเห็ดของทุกคนจึงไม่นิยมทำกัน
หากมีวิธีที่ตากแห้งเห็ดแล้วเก็บสะสมไว้ได้ และแบ่งขายออกไปตามแต่ละฤดูกาล เช่นนั้นราคาขายก็จะแตกต่างกัน
จ้าวเหวินเฉียงกล่าวตามตรงว่าวิธีทำเป็สกุลหูค้นคว้าออกมา ครอบครัวเขาเคยลองแล้ว มีเห็ดบางประเภททำให้แห้งได้ดีมาก ให้ทุกคนลองเองหลายครั้งหน่อย ต่อไปทุกคนจะหาเงินได้ แล้วห้ามลืมว่าเป็ลู่ทางที่สกุลผู้ใดให้ไว้
ไม่นึกเลยว่าเื่ดีของการหาเงินได้เช่นนี้สกุลหูจะไม่ปกปิด พวกชาวไร่ชาวนาได้แต่มองดูกันไปมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีชั่วขณะหนึ่ง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคืออยากลองทำดู ฤดูใบไม้ผลิเปียกชื้นฝนตกชุกเป็ฤดูกาลที่เห็ดเจริญเติบโตพอดี มุ่งเดินไปยังที่ราบกลางหุบเขาเปียกชื้นนั่นหนึ่งรอบ ไม่มีทางกลับมามือเปล่าแน่นอน
ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านวั้งหลินเลยแยกกันหลั่งไหลขึ้นเขาเพื่อเก็บเห็ด ชาวไร่ชาวนาที่ว่างไม่มีภาระติดตัวก็ทยอยกันเดินเข้าป่าเขา เตรียมลองทำวิธีของหัวหน้าหมู่บ้าน ยังไม่ต้องสนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ ลองดูหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย
่นี้หูฉางกุ้ยยุ่งมาก นาดอนของที่บ้านเพิ่งเพาะปลูกได้พอสมควร หลังบ้านทางนี้ต้องสร้างรั้วล้อมกระต่าย บ้านใหม่ทางนั้นสิ่งของแต่ละอย่างที่จำเป็ก็ต้องเลือกซื้อ ของใช้ในครัว ผ้าฝ้าย ปลอกผ้านวม ทั้งหมดนี้เจินจูกล่าวว่าต้องซื้อใหม่ เพราะของเก่าต้องเก็บไว้ที่บ้านเก่าท้ายหมู่บ้าน ต่อไปต้องมีคนอยู่ดูแลเฝ้ากระต่าย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ประโยชน์ต่อคนมาเฝ้า
อาหารหมักชุดสุดท้ายได้ส่งเสร็จสิ้นไปหมดแล้ว ขณะนี้แค่นำกระต่ายและไก่บ้านไปส่งให้ร้านฝูอันถังสามวันหรือห้าวันครั้งก็พอแล้ว แต่ในใจของหูฉางกุ้ยกลับกระวนกระวายเล็กน้อย เพราะไม่กี่วันก่อนบุตรสาวให้สิ่งของหนึ่งอย่างแก่เขามา
“ท่านพ่อ ให้ท่านเ้าค่ะ”
“นี่คือ… อะไร?” หูฉางกุ้ยรับมา พลิกดูซ้ายขวาด้วยความประหลาดใจ
“น่าจะเป็โสมคนกระมังเ้าคะ” เจินจูหัวเราะเบาๆ “ตอนข้าขึ้นเขาไปขุดผักป่า เสี่ยวเฮยพาข้าไปขุดมาเ้าค่ะ”
“โสมคน?…”
หูฉางกุ้ยตื่นใจนอ้าปากค้าง มือที่ประคองโสมคนสั่นเทา เกือบจะทำมันร่วงลงบนพื้น นั่นเป็ของล้ำค่าเลยนะ
“เป็โสมคนจริงด้วย!” หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นเลยตื่นใไปด้วย เข้ามาด้านข้างใกล้ๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด เมื่อก่อนนางเคยเห็นตอนที่เป็สาวรับใช้ หนึ่งต้นใหญ่เพียงนี้น่าจะค่อนข้างมีราคาสูงเลย
“อืม ใช่แล้ว ่นี้ที่บ้านจ่ายเงินไปมาก ท่านพ่อ รอครั้งหน้าตอนที่ท่านนำกระต่ายไปส่งให้ฝูอันถัง เอาโสมคนต้นนี้ไปด้วย ให้เ้าของร้านหลิวดูว่าจะรับราคาเท่าไร” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
หูฉางกุ้ยตะลึงงันอยู่บ้าง ไม่ใช่หัวไชเท้ากับกระต่าย แต่นี่เป็โสมคนเลยนะ! ทำไมบุตรสาวของเขากล่าวได้ง่ายดายเหมือนกับขายหัวไชเท้าเลย
เขากังวลใจไม่สงบสุขเล็กน้อย วันต่อมาเลยหาโอกาสบอกหวังซื่อ
หวังซื่อก็ตกตะลึงไปชั่วขณะแบบเดียวกัน หลังไตร่ตรองอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็กำชับเสียงเบาด้วยความจริงใจและลึกซึ้ง “ฉางกุ้ยเอ๋ย เื่เช่นนี้พวกเ้าหารือกันแล้วตัดสินใจเองเลยก็พอ พวกเราแยกบ้านกันแล้ว เ้าต้องแบกรับภาระของทั้งครอบครัวไว้ แม่รู้ว่าเ้ากตัญญู เมื่อก่อนพวกเราสองบ้านต่างก็ลำบากยากแค้น การช่วยเหลือกันและกันเป็เื่ที่สมควรทำ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉางหลินเอาแต่ได้รับประโยชน์จากครอบครัวพวกเ้า รับเงินครึ่งหนึ่งที่หามาจากการขายกระต่ายและขายอาหารหมักครั้งก่อนไว้ แค่นี้แม่ก็รู้สึกเกรงใจพวกเ้าแล้ว การช่วยเหลือพี่ชายน้องชายย่อมเป็เื่ที่เหมาะที่ควรแต่ต้องมีระดับ แม่แก่แล้ว ต่อไปเ้าต้องคิดเองให้มากหน่อย ไม่จำเป็ต้องเอาตามความเห็นแม่ทุกเื่ หากเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือรู้สึกลำบากใจก็มาถามแม่ได้ เื่อื่นก็หารือกับหรงเหนียงและเจินจูให้มาก เ้าถึงเวลาที่ควรเป็ผู้นำครอบครัวเองได้แล้ว”
“…ท่านแม่ ข้า ข้า…” หูฉางกุ้ยกล่าวติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย ความหมายของมารดาเขา คือให้เขาตัดสินใจเอง?
เชิงอรรถ
[1] เผาก้นหม้อ คือ ประเพณีนิยมของพื้นที่ทางภาคเหนือของจีนตอนโยกย้ายที่อยู่ใหม่ วันแรกจะเป็วันย้ายบ้าน โดยทั่วไปจะจัดเช้าวันที่สาม หกและเก้าตามปฏิทินจันทรคติจีน เพราะเชื่อว่าจะเป็วันที่โชคดี ต่อมาเมื่อย้ายบ้านแล้วของอะไรก็ตามแต่สามารถขนย้ายไปก่อนได้เลย แต่จะมีเพียงหม้อเหล็กที่ย้ายไปเป็สิ่งสุดท้าย และตอนย้ายหม้อเหล็กต้องอบหมั่นโถวหม้อใหญ่ด้วย หมั่นโถวนี้ต้องนาบด้านหนึ่งด้วยของร้อนบนหม้อเหล็กอันเดิมก่อน หลังจากนั้นคลุมให้แน่นสนิท ใช้เชือกแดงพันรอบหม้อหนึ่งรอบ แล้วย้ายเข้ามาบนแท่นเตาของบ้านใหม่ท่ามกลางเสียงจุดประทัด แล้วพลิกอีกด้านของหมั่นโถวนาบของร้อนให้สุกต่อจนทั่ว จากนั้นก็ทำกับข้าวขึ้น ่เวลานี้ญาติสนิทมิตรสหายมักมาร่วมอวยพรขึ้นบ้านใหม่ ร่วมทานหมั่นโถวเหลืองกรอบกันบ้าง ดื่มสุราอวยพรกันบ้าง
[2] น้ำมันเดือดในหม้อ เป็การบรรยายถึง เกิดความวุ่นวายขึ้น กลุ่มคนที่ได้ยินข่าวพากันแตกตื่นฮือฮา