“หากมีเจตนาซ่อนเร้น เช่นนั้นก็ต้องรอดู ตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถทำให้กลายเป็เื่ใหญ่ได้ เมื่อเจอเื่อะไรจะต้องใจเย็นให้เหมือนจุดธูป หากใจเย็นไม่ได้ก็ออกไปเดินข้างนอก หากออกไปเดินแล้วยังไม่หายโกรธ ก็ไปหาสามีของตนเพื่อตีสักทีกัดสักครั้ง คุยเื่นี้ให้ชัดเจน เมื่อคุยกับเรียบร้อยแล้ว หากทั้งคู่ยังไม่ลงรอยกันอีก เมื่อถึงตอนนั้นมีปากเสียงกันขึ้นมาอีก ทะเลาะกันอีกจนเลิกรากันไป ข้าจะไม่พูดสิ่งใดและไม่ห้ามท่าน
คนเรานี่นะ โดยเฉพาะสตรีควรทำตัวให้สงบเรียบร้อย และปฏิบัติตนให้ดีต่อบุตรของตนเอง หากบุรุษเป็คนดี การมีชายหนุ่มก็เท่ากับมีที่พึ่งพิง แต่พวกเราก็ไม่ควรรู้สึกว่าการสูญเสียพวกเขาไปแล้วฟ้าจะถล่มลงมา เมื่อ้าปกป้องครอบครัวของท่านเอง ก็ต้องทำหน้าที่ของผู้เป็หญิงของท่านให้ดีเสียก่อน การทำหน้าที่ของหญิงสาวอย่างเราๆ ไม่ควรเสียอารมณ์และก็ไม่ควรสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่วุ่นวาย อีกสักครู่ไปคุยกับสามีของท่านดีๆ สิ่งที่ควรทำโทษก็ทำโทษไป แต่อะไรที่ควรพูดคุยให้ชัดเจนก็ต้องคุยกันให้ชัดเจน ท่านจะเอาแต่ทรมานอีกฝ่ายเช่นนี้ไม่ได้ ทำแบบนี้มีแต่จะทำให้คนอื่นพากันขบขัน สุดท้ายเมื่อคนพวกนั้นเห็นว่าท่านไม่มีความสุข พวกเขาจะรู้สึกยินดี”
เมื่อด่าทอไปเรียบร้อย ซูฉีเฉียวเองก็รู้สึกเหนื่อย
นางเอนกายลงบนเก้าอี้และมองไปยังนางเจิ้งที่ถูกด่าจนตะลึงงัน อีกฝ่ายนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความว่างเปล่า สีหน้าหม่นหมอง ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
ท่าทีเช่นนี้ของนางทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกผิดเล็กน้อย นางคงไม่ได้ด่าแรงไปจนทำให้สติหลุดลอยไปใช่หรือไม่
นางยื่นมือไปเขย่าตัวนางเจิ้งที่อยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ นิ่งอยู่พักหนึ่ง “ฮือๆ…”
นางเจิ้งโผเข้ากอดซูฉีเฉียวและร้องไห้โฮออกมา
เสียงร้องไห้แห่งความเสียใจนั้นดังขึ้นมา ทำเอาซูฉีเฉียวถึงกับเอามือกุมศีรษะ ดูเหมือนว่านางจะด่าทอรุนแรงจนทำให้อีกฝ่ายเสียใจร้องไห้เสียแล้วสิ
“นี่ อย่าร้องไห้เลยเ้าค่ะ ข้าคงกล่าวแรงไปสักหน่อย แต่ก็อย่าถึงกับร้องไห้จนมาเกาะข้าเช่นนี้เลย” ซูฉีเฉียวเกลี้ยกล่อมด้วยท่าทีประหม่า
“ฮือ ข้า…ข้า…” นางเจิ้งร่ำไห้จนพูดอะไรไม่ออก
นายเจิ้งที่อยู่นอกห้องทนฟังต่อไปอีกไม่ไหว เขาเปิดประตูเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ มองไปยังภรรยาของตนเอง ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าของภรรยา “ภรรยา ข้าสาบาน ข้าไม่ได้มีจิตใจเช่นนั้นจริงๆ นะ ยามนั้นข้าชะงักไปชั่วขณะ ตอนที่ข้ากำลังจะผลักนางออกไป เ้าก็เข้ามาพอดี จากนั้นเ้าก็โวยวายไม่ยอมฟังข้า ข้า…ข้าจะกล้าไปยุ่งกับหญิงอื่นได้อย่างไรกัน ในสายตาของข้ามีเพียงเ้าเท่านั้น ภรรยา เ้าอย่าได้โกรธเคืองข้าเลย ข้าไม่มีทางทำเื่เช่นนั้นแน่นอน”
นางเจิ้งทุบตีเขาไปหนึ่งที ก่อนที่ทั้งคู่จะกอดกันร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง
“แค่กๆ…จะให้ข้าเอาผ้าเช็ดหน้าให้หรือไม่ หรือว่าให้ข้าไปตักน้ำข้างนอก ให้พวกท่านล้างหน้าสักหน่อย” เมื่อทั้งคู่ร่ำไห้กันไปได้สักพัก ซูฉีเฉียวจึงเอ่ยขึ้น
เวลานี้ทั้งคู่จึงเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา โดยเฉพาะนางเจิ้งที่ใบหน้าแดงก่ำ ทำให้นางบ่นซูฉีเฉียวขึ้นมา “ถุยๆ เ้ากังวลเกินไปแล้ว พวกเราก็แค่เย้าแหย่กันเท่านั้น” เมื่อนางเจิ้งบ่นเสร็จกลับยื่นมือมากุมมือนาง ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้จนแดงก่ำฉายแววตาหวาดกลัว ราวกับว่ากลัวนางจะโกรธจนออกจากบ้านอย่างไรอย่างนั้น
นายเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีซื่อตรง
“ไปๆ ไปหัวเราะตรงนู้นเลยนะ เห็นท่าทีเช่นนี้ของท่านแล้วข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ อย่ามาอยู่ตรงหน้าพวกข้า ข้าจะขอคุยกับแม่หนูหน่อย บุรุษอย่างเ้ามายืนทำอะไรตรงนี้เล่า”
ยามนี้นายเจิ้งจึงปลีกตัวออกไป ตอนนี้ภรรยาของเขาไล่ออกมาแล้วนี่นา
“ฮ่า…เช่นนั้น เช่นนั้นก็ได้สิ ข้าไปก่อนนะ เ้าคุยกับแม่สาวน้อยไปเล่า ข้าจะออกไปแล้ว…ข้าไปแล้วนะ แล้วก็ภรรยา เ้าอย่าโกรธเลยนะ หลังจากนี้หากหญิงคนนั้นมา ข้าจะปลีกตัวออกไป”
นางเจิ้งถูกพูดจนรู้สึกประหม่า จึงไล่สามีออกไป “ไป ไป เ้ารีบออกไปได้แล้ว เ้ามามัวพูดพร่ำอะไรอยู่”
จนเมื่อในห้องเหลือแค่พวกนางสองคน นางเจิ้งจึงบอกให้ซูฉีเฉียวนั่งลง
อีกฝ่ายเอียงศีรษะและมองนางด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา ข้าคิดว่าพวกข้าจะต้องหย่าร้างกันแล้วเสียอีก ในเมื่อยามนี้ดีกันแล้ว ดูท่าทางข้าจะกังวลเกินไป”
นางเจิ้งจะเข้าไปหยิกนาง แต่กลับถูกนางห้ามเอาไว้พร้อมกับหัวเราะ ทั้งคู่คุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่นางเจิ้งจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ แม่หนู ครั้งนี้ต้องขอบใจเ้าจริงๆ จะว่าไปเ้าก็พูดถูก คนของครอบครัวตนเองแท้ๆ จะไม่เชื่อใจเขาได้อย่างไรกัน อยู่กันมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยมองหญิงอื่นเลย ต่อให้มีหญิงสาวผู้งดงามมาเดินผ่านตรงหน้าเขา เขาก็ไม่เคยหันไปมอง
เื่ในครั้งนี้เป็ข้าที่ใจร้อนเกินไป ข้าทำไม่ถูกต้อง แต่ว่าตอนที่ข้าเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น ข้าก็รู้สึก…ตื่นตระหนกและผิดหวัง จะว่าไปก็เป็เพราะหญิงคนนั้นที่ทำเื่แย่ๆ เช่นนี้ ข้าโกรธนางยิ่งนัก เ้าว่าถ้าหาเื่ทะเลาะกับสามีจริงๆ ข้าจะต้องเป็ฝ่ายสูญเสียแน่ๆ”
เมื่อเห็นนางเข้าใจแล้ว ซูฉีเฉียวเองก็รู้สึกปลื้มใจ
ทั้งคู่คุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ซูฉีเฉียวจึงออกมาจากบ้านของนางเจิ้ง ก่อนเดินทางกลับนางเจิ้งอยากจะให้นางอยู่ร่วมกินอาหารเย็นด้วยกันและบอกอีกว่าพวกนางไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันนานแล้ว
สุดท้ายซูฉีเฉียวก็ได้ยืนหยัดในการปฏิเสธไป ก่อนกลับนางเจิ้งก็ได้ออกมาส่งนาง เมื่อเดินพ้นไปจนไม่เห็นเงาแล้วจึงได้หมุนตัวกลับไป
จนเมื่อซูฉีเฉียวกลับมาถึงบ้าน รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็ได้จางลงไป นางทิ้งตัวนั่งในห้อง ขมวดคิ้วเข้าหากันเพื่อครุ่นคิดถึงเื่นี้ เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเื่นี้มันแปลกๆ
สถานะของนายเจิ้งก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ต่อให้น้าสะใภ้สามมาที่นี่เพื่อหนีความลำบากมา แต่น้าสามก็ดีกว่านายเจิ้งไม่ว่าจะด้านหน้าตาหรือด้านอื่นๆ ก็ดีกว่านายเจิ้งทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าการที่น้าสะใภ้สามมาหานายเจิ้ง จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน
แต่สาเหตุคืออะไรนั้น ตอนนี้นางยังไม่รู้
ในตอนที่นางกำลังคิดว่ามีความผิดปกตินั้น จางเฉาิก็กลับมาจากข้างนอก
“โครม…” เสียงเขาโยนจอบเอาไว้ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงก็รับรู้ได้ว่านั่นเป็เสียงที่โยนจอบลงด้วยความกรุ่นโกรธ
ซูฉีเฉียวเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
“กลับมาแล้วหรือ ไปล้างมือสิ เดี๋ยวข้าจะทำกับข้าวเอง ต้าซวงกับเสี่ยวซวงออกไปเล่นข้างนอกกับพวกพี่ๆ เ้ามาช่วยข้าจุดไฟ”
ทั้งสองคนทำอาหารร่วมกัน คนหนึ่งจุดไฟ คนหนึ่งหั่นผักทำอาหาร ความร่วมมือโดยปริยายนี้เป็สิ่งที่ทั้งคู่ทำร่วมกันอย่างดีมาโดยตลอด
แม้ว่าจางเฉาิจะโกรธ แต่เมื่อได้ยินภรรยาคนสวยของตนเองพูดเช่นนั้น เขาก็ฝืนยิ้มออกมา “อืม ตกลง ข้าจะไปจุดไฟ”
ตอนที่กำลังหั่นผัก ซูฉีเฉียวมองใบหน้าของจางเฉาิหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เอ่ยปากออกมา
คืนนี้นางเตรียมมันฝรั่งหั่นเป็เส้น แล้วก็มีเนื้อตากแห้ง นางตั้งใจจะนำมันฝรั่งหั่นเส้นมาผัดกับเนื้อหั่นเส้น ทำน้ำแกงแตงกวา และยำแตงกวา
ทำไข่ตุ๋นให้กับเด็กๆ ทั้งสาม แน่นอนว่า เนื้อพวกนี้นางตัดมาเพียงเล็กน้อยเพื่อผัดให้มันฝรั่งเส้นผัดมีรสชาติของเนื้อขึ้นมาสักหน่อย จะทำให้มันฝรั่งเส้นผัดอร่อยยิ่งขึ้น
ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินจะซื้อ แต่สิ่งสำคัญก็คือในครอบครัวต้องใช้เงินเยอะ จางเฉาิก็เป็คนที่ประหยัดจนเป็นิสัย เขาคิดว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนรับประทานเนื้อสักหน่อยถือเป็เื่ดี หากกินเนื้อสักหน่อยทุกๆ วัน สำหรับเขาแล้วการกินเนื้อทุกวันช่างเป็ชีวิตที่แสนหรูหรา
เพราะเขาเคยพูดไปหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ซูฉีเฉียวไม่ทำอาหารที่ใส่เนื้อเยอะจนเกินไปในอาหาร แต่ว่าเมื่อนำมาผัดในอาหารสักนิดสักหน่อย เป็สิ่งที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ และเพราะเหตุนี้ที่บ้านของน้าชายคนโต จึงใว่าครอบครัวของนางรับประทานเนื้อทุกวัน…แต่ว่าญาติพี่น้องที่ยากจนเหล่านี้ แม้แต่ผักให้กินทุกวันก็ยังหาไม่ได้
เมื่อเป็เช่นนั้นจางเฉาิก็รู้สึกอึดอัดใจ และซูฉีเฉียวก็โกรธมาก เื่เช่นนี้ซูฉีเฉียวคิดว่าปฏิบัติต่อตนเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น
“ภรรยา หลังจากนี้พวกท่านน้าเ่าั้ ไปมาหาสู่กันให้น้อยลงหน่อยเถิด อย่างไรพวกเราก็ทำหน้าที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดก็พอ จะพูดอะไรก็เื่ของพวกเขา” หน้าบูดบึ้งกันอยู่นาน จางเฉาิก็เอ่ยคำพูดที่ไร้เหตุผลออกมา
ซูฉีเฉียวกำลังหั่นพริก เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็เงยหน้าขึ้นและกวาดตามองสามี “อืม ข้ารู้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะให้พวกเขาทำงานแลกค่าจ้าง เ้าไปได้ยินอะไรมา ถึงได้ทำให้เ้าโมโหกลับมาเช่นนี้”
เมื่อถูกถาม จางเฉาิก็แสดงสีหน้าประหม่าขึ้นมา สุดท้ายเขาก็ปกปิดไม่ไหวจนต้องเปิดเผยความจริงออกมา
“การที่พวกเรารับดูแลพวกเขาเพราะเห็นแก่หน้าท่านแม่ แต่พวกเขาก็เอาแต่ให้พวกเราดูแล จากสิ่งที่พวกเขาพูด เขาบอกว่าการงานของพวกเราใหญ่โต พวกเราจะต้องเลี้ยงดูพวกเขา คำพูดเช่นนี้เมื่อได้ฟังข้าก็รู้สึกอยากจะหัวเราะเสียเหลือเกิน
แน่นอนว่านั่นเป็คำพูดเก่าก่อนที่ผ่านมาแล้ว พวกเราจะไม่พูดถึงมันอีก สิ่งที่น่าโมโหก็คือพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ เื่การทำงานที่ไม่ตั้งใจน่ะช่างมันเถิด แต่ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะคิดล้วงความลับเื่การกลั่นน้ำตาลทรายขาวของพวกเรา ข้า…ข้าโกรธมากจริงๆ”
ซูฉีเฉียวที่กำลังหั่นพริกอยู่ถึงกับหยุดการกระทำ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เ้าหมายความว่า น้ำตาลทรายขาวของพวกเราถูกพวกเขาลอบขโมยอย่างนั้นหรือ”
“อืม วันนี้ตอนที่ข้าไปทำงาน ข้าได้ยิน…น้าสามและภรรยาทะเลาะกัน ข้าคิดว่าเป็คนครอบครัวเดียวกันก็อยากจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมสักหน่อย แต่ตอนที่ข้าเดินไปยังหลังูเาที่พวกเขาทะเลาะกัน ข้าก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้ข้าโกรธมาก ข้าได้ยินมาว่าน้าสะใภ้สามคนนี้ไม่ซื่อสัตย์ ทำเื่ไม่ดีลับหลังน้าสาม ดังนั้นจึงได้รู้เื่ที่ไปยั่วยวนท่านอาเจิ้ง จากนั้นเื่นี้ก็ทำให้น้าสามหึงหวง ทั้งสองคนทะเลาะกันก็เพราะเื่นี้”
เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ ซูฉีเฉียวก็เข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว สาเหตุที่ครอบครัวของนายเจิ้งมีปัญหากันก็เป็เพราะ้าสร้างปัญหาให้กับกลุ่มครอบครัวที่ทำน้ำตาลให้กับนาง
นางส่งเสียงยิ้มเยาะออกมา “นี่สามี การทำน้ำตาลทรายขาวเป็ช่องทางทำกินของพวกเรา จะให้พวกเขามาทำลายช่องทางหาเงินนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากถูกทำลายไปแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะอยู่รอดได้อย่างไรกัน เื่นี้ข้าว่าต้องรีบจัดการจะเป็การดีที่สุด ั้แ่นี้เป็ต้นไป เ้าดูแลเื่ในบ้านของเราให้เข้มงวดมากขึ้นสักหน่อย ประตูหลังบ้านนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด แล้วก็ต้องเดินสำรวจรอบๆ กำแพงทั้งสี่ด้านด้วย อย่าให้ใครมาเจาะรูเหมือนหนูเด็ดขาด”
เพราะกำแพงทั้งสี่ด้านคือกำแพงดิน ดังนั้นการเจาะรูบนกำแพงอาจเป็สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งซูฉีเฉียวคิดมากสำหรับเื่นี้ไม่น้อย
จางเฉาิที่ฟังอยู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป “เื่นั้นแน่นอนอยู่แล้ว การทำน้ำตาลเป็งานของครอบครัวเรา นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นอีกว่าหลังจากที่เราปลูกอ้อยออกมาแล้ว ก็จะนำมาทำเป็วัตถุดิบเพื่อนำมาทำน้ำตาลไปขาย หากสูตรลับรั่วไหล ช่องทางทำมาหากินของพวกเราจะต้องถูกทำลายแน่นอน ไม่ได้ เื่นี้ไม่ใช่เื่เล็กน้อยแล้ว ข้าจะระวังเอาไว้ ข้าจะไปเดินดูรอบๆ กำแพงสักหน่อย”
ยิ่งคิดจางเฉาิก็ยิ่งรู้สึกกลัว ไม่ง่ายเลยกว่าครอบครัวของเขาจะมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ หากถูกตัดช่องทางทำมาหากินไป หลังจากนี้จะเป็เช่นไรกัน
แม้ว่าสูตรลับในการกลั่นน้ำตาลหลุดออกไป แต่ถ้าหากโรงงานน้ำตาลของพวกเขาสำเร็จลุล่วง อย่างไรก็จะต้องมีทางออกแน่นอน
เขาไม่กล้านิ่งนอนใจ โยนไม้คีบทิ้งลงพื้นและวิ่งออกไป
เขาคอยตรวจสอบกำแพงที่ใกล้กับจุดกลั่นน้ำตาล ยังไม่ทันไรเขาก็พบกับช่องโหว่ที่ไม่ได้อยู่ในจุดที่โดดเด่นหนึ่งรู
เมื่อเห็นเช่นนั้น จางเฉาิก็โกรธจนซีดเผือด
“ช่างเลวทรามเหลือเกิน คนพวกนี้จิตใจโเี้เยี่ยงหมาป่ากันเสียจริง”
เขากลับบ้านมาเล่าให้ซูฉีเฉียวฟัง ซูฉีเฉียวเองก็โมโหอย่างมาก
นางยิ้มเยาะ “เ้าปิดรูนั้นไปหรือยัง”
“อืม ปิดแล้ว ไม่ปิดได้อย่างไรเล่า เป็ไปได้หรือไม่ว่าคนเ่าั้จะลอบเรียนรู้การกลั่นไปแล้ว”
จางเฉาิโกรธจัดขึ้นมาทันที