ในป่าลึกบนูเาไร้ซึ่งกลิ่นอายของมนุษย์ และความอันตรายก็มีไม่น้อยไปกว่าหุบเขาหลิงหยุนเลยสักนิด
พวกเราเดินตามรอยของหมาป่าขนหิมะเข้าไปในป่าลึกเรื่อยๆกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายก็เดินเข้ามาถึงเจ็ดสิบลี้บริเวณโดยรอบไม่พบกลิ่นอายของมนุษย์เหมือนเดิมเมื่อมองไปด้านหน้าก็เจอเถาวัลย์และต้นไม้เก่าแก่สุดลูกหูลูกตาจมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของธรรมชาติที่ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องรวมไปถึงเสียงการย่ำเท้าของบางอย่างในป่าด้านหน้า
“ระวังตัวด้วย”
ถังเชวียหรานพูดขึ้นขณะที่สายตามองตรงไปด้านหน้าก่อนจะพูดขึ้นอีกรอบ“ที่นี่อาจจะมีสัตว์ิญญาที่เข้ามาจู่โจมพวกเราจนถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อดังนั้นทุกคนจะต้องระวังตัวให้มากเป็สองเท่า”
ซูเหยียนคุกเข่าลงเพื่อขยับปลอกขาให้แน่นก่อนจะลุกขึ้นพูด “ข้ากับถงเอ๋อร์จะเดินนำเปิดทางส่วนปู้อี้เชวียนก็อยู่ข้างหลังคอยปกป้องถังเชวียหรานกับตั้นไถเหยา
“ได้”
ข้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเช็ดเหงื่อที่ไหลมาที่คางแล้วพูดขึ้น“รู้สึกว่าเส้นทางยิ่งลึกก็ยิ่งเดินยากเข้าไปใหญ่จนแทบจะไม่มีถนนหนทางแล้วด้วยซ้ำข้าว่าต้องไม่มีคนมาที่นี่กว่าสิบปีแล้วเป็แน่ ถังเชวียหรานเ้ามีประสาทรับรู้ดีที่สุด ตอนนี้เ้าพอจะรู้สึกถึงพลังของหมาป่าขนหิมะบ้างแล้วหรือยัง?”
ถังเชวีนหรานพูดอย่างหนักแน่น“ถึงแม้กลิ่นอายของมันอ่อนลงจนแทบไม่มีแล้ว ข้าก็ยังรับรู้ได้ว่ามันจะต้องอยู่ข้างหน้านี้แน่ๆทุกคนเตรียมตัวรับมือให้ดีละกัน”
“ได้!”
ซูเหยียนกับหลิวถงเอ๋อร์อยู่ด้านหน้าคอยเปิดทางส่วนข้าที่อยู่ด้านหลังสุดกลัวว่าจะช่วยเหลือไม่ทันการจึงล้วงเอาปืนสั้นที่ติดอยู่ข้างขาขึ้นมาซึ่งการฝึกฝนครั้งนี้อาจารย์อนุญาตให้พกปืนได้แต่มีะุได้เพียงคนละยี่สิบลูกเท่านั้นดังนั้นจึงเป็เลือกที่เหมาะสำหรับคนที่คอยปกป้องแนวหลังอย่างข้าง
…
คลื่น ซ่า...
เสียงป่าข้างหน้าดังขึ้น ซูเหยียนจึงบอกให้พวกเราหยุดเดินแต่นางกลับก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับเพลงกระบี่เมฆาเพลิงัที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนางฟาดฟันลงไปจนป่าด้านหน้าล้มระเนระนาด เผยให้เห็นส่วนหัวของหมาป่าอยู่บนเนินดินซึ่งสายตาที่มันมองมาช่างดุร้ายและเดือดดาล
“หมาป่าขนหิมะ!”
ถังเชวียหรานเห็นแล้วก็รีบยกธนูขึ้นยิงและมันก็พุ่งเข้าไปตรงส่วนหัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างง่ายดายจนเกิดรอยโหว่สีดำ
มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!
ข้าเห็นแบบนั้นจึงรีบพูดขึ้น“เ้าหมาป่าตัวนั้นมันตายแล้วและก็ไม่ใช่หมาป่าขนหิมะที่เราตามหาด้วยเหมือนกับดักมากกว่า เสี่ยวเหยียน รีบกลับมา!”
“เป็แบบนี้ไปได้ยังไง?!”
ซูเหยียนได้ยินแล้วก็รีบถอยกลับแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อมีเงาสีดำพุ่งออกมาจากป่าเข้ามาอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันได้ตั้งตัวแต่ทำให้เพียงใช้เกราะรบิญญาเป็เครื่องป้องกันให้เท่านั้น
ตั้ง!
เสียงะเิดังขึ้นเนื่องจากก้อนหินขนาดใหญ่แตกออกหลังจากที่กลิ้งมากระทบกับเกราะรบิญญาของซูเหยียนแต่ในขณะเดียวกันนางก็กระเด็นปลิวตกลงมาในกองท่อนไม้แห้งพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างเ็ปเพราะได้รับาเ็
“ปกป้องซูเหยียนไว้!”
พอข้าะโบอกหลิวถงเอ๋อร์ก็รีบใช้โล่ัดำตั้งไว้ด้านหน้าของซูเหยียนส่วนข้าเองก็ใช้ปืนที่เตรียมมายิงไปที่ก้อนหินนั้นสองนัด
ปั้ง! ปั้ง!
ะุพุ่งเข้าไปในป่าเหมือนพุ่งลงในดินเพราะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลยสักนิด
ไม่นานก้อนหินขนาดกว่าหนึ่งตันก็ถูกส่งออกมาจากป่าจุดเดิมอย่างรวดเร็วข้านึกไม่ออกเลยจริงๆว่ามันเป็สัตว์ประหลาดชนิดไหนที่สามารถขว้างก้อนหินขนาดใหญ่ออกมาด้วยความเร็วแบบนี้จะบอกว่าเป็เครื่องยิงหินของคนสมัยก่อนที่ใช้ทำาก็ไม่น่าจะมีพลังและการทำลายล้างมากขนาดนี้
หินก้อนแรกถูกยิงไปทางหลิวถงเอ๋อร์ส่วนก้อนที่สองยิงไปด้านหลังของข้าซึ่งมีตั้นไถเหยากับถังเชวียหรานยืนอยู่ดูเหมือนว่าพวกที่ลอบทำร้ายมันจะรู้ว่าใครน่าเกรงขามที่สุด
ข้าเรียกกระบี่คมจันทราออกมาก่อนจะฟันมันลงไปบนก้อนหินั์เป็รูปกากบาทก่อนจะรีบพุ่งหาอีกก้อนที่ถูกยิงไปทางซูเหยียนด้วยพลังของเคล็ดวิชาาและฟันลงไปด้วยพลังที่รุนแรงจนกลายเป็ผุยผงส่วนถังเชวียหรานก็ใช้เวลานี้ยิงธนูไปหาต้นตอของหินที่ถูกยิงเข้ามาสองดอกแต่ก็เหมือนกับข้าที่ยิงไม่ถูกพวกมันเลยสักนิด
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
มันพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงและรวดเร็วอีกครั้งจำนวนสามลูก!
“สรุปแล้วมันตัวอะไรกันแน่?” ซูเหยียนว่าแล้วเช็ดเืที่ไหลออกจากมุมปากก่อนจะพูดต่อ“สัตว์ิญญาอย่างนั้นเหรอ? อยากจะฆ่าพวกเราขนาดนั้นเลยหรือไง?...เดี๋ยวข้าจะดึงความสนใจของมันเองปู้อี้เชวียนเ้าไปตามหาตัวพวกมันออกมาให้ได้!”
“อืม!”
ซูเหยียนตวาดเสียงดังก่อนจะแผ่ซ่านพลังของระบำทิวากาลออกมาในรูปแบบการป้องกันโดยใช้มันกำบังทุกคนไว้พร้อมกับก้าวออกไปข้างหน้า
ส่วนข้าก็หายวับเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วซูเหยียนเป็หลักในการโจมตี หลิวถงเอ๋อร์เป็คนป้องกันดังนั้นตอนนี้ในกลุ่มก็มีแต่ข้าที่เหมาะแก่การเข้าไปสอดแนมและตรวจสอบดูว่าในป่ามีอะไรกันแน่
ซ่า!
ข้าเหยียบลงบนปลายยอดต้นไผ่ที่ไหวเอนก่อนจะพุ่งอ้อมเข้าไปด้านหลังของป่าด้วยพลังเพลงขาเมฆาหมอกซึ่งความเร็วของมันทำให้ข้าเป็ดุจสายลมที่ล่องลอยในอากาศทั้งที่ลอยเหาะอยู่บนยอดไม้แต่กลับคล่องแคล่วและว่องไวดุจเดินบนผืนดินจนมองไม่เห็นเป็รูปเป็ร่าง ราวกับว่าข้าได้เป็หนึ่งในธรรมชาติไปแล้ว
และเมื่อข้าอ้อมไปด้านหลังของมันก็ถึงกับใออกมาอย่างมากเมื่อเห็นว่าด้านหลังเป็สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังดึงก้อนหินบนพื้นโยนไปทางซูเหยียนตัวของมันมีขนสีทองทั้งร่างและยังส่งเสียง ‘ปั้ว! ปั้ว!’ ออกมาด้วยความสนุกสนานส่วนมือและเท้ายังคงโยนหินเข้าใส่ซูเหยียนเหมือนอยากจะฆ่านางให้ตาย
มันมีความสูงกว่าห้าเมตรหลังค่อมแต่แขนทั้งสองข้างกลับมีพลังและแววตาที่น่าเกรงขามซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ิญญาทั่วไปควรจะมีเพราะมันไม่ได้เป็เพียงสัตว์ิญญาธรรมดาแต่เป็ถึงสัตว์ิญญาระดับเจ็ด!ชะนีหมอกเป็สัตว์ที่มีการบันทึกเอาไว้ว่ามันเกิดจากพลังิญญาที่ลอยล่องอยู่ระหว่างฟ้าและดินจึงทำให้มันมีพลังมหาศาลและเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วรวดเร็วดุจสายฟ้าชะนีหมอกตัวเมียเมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีความสูงสี่เมตรและจัดอยู่ในสัตว์วิญญาญระดับหกส่วนตัวผู้จะสูงห้าเมตรและจัดอยู่ในสัตว์ิญญาระดับเจ็ด...และที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้คือชะนีหมอกตัวผู้ชัดๆ!
สัตว์ิญญาระดับเจ็ดมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ในระดับสมบูรณ์ของขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพส่วนพวกเราเป็แค่ผู้ฝึกฝนิญญาในชั้นเทวิญญาที่พลังต่างกับมันถึงสองขั้น!เพราะแบบนี้แค่มันโยนหินใส่พวกเราก็ยังหาทางเอาชีวิตรอดได้อย่างยากลำบาก
ซูเหยียนที่ฟาดฟันจนป่าไผ่ล้มระเนนระนาดเดินเข้ามาพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชนเมื่อนางเจอกับสัตว์ขนาดใหญ่ตรงหน้าถึงกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “ฮะ! นี่มันตัวอะไรกัน?”
“ระวังตัวด้วย มันคือชะนีหมอก สัตว์ิญญาระดับเจ็ด!”
เพราะกลัวว่าซูเหยียนจะถูกโจมตีอีกข้าจึงะโลงจากต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรเพื่อฟันลงไปที่ท้ายทอยของชะนีหมอกตัวผู้ตัวนี้
“ปั้ว ปั้ว!”
แต่ก็ช้าเกินไปเมื่อมันใช้แขนขวาผลักพวกนั้นจนปลิวไปไกลแล้วหลบการโจมตีของข้าได้แถมมันยังใช้แขนซ้ายฟาดเข้ามาที่เอวของข้าด้วย
ปั้ก!
เพียงพริบตาเดียวกระดูกเอวของข้าก็เหมือนจะแตกเป็เสี่ยงๆก่อนจะปลิวไปตกในป่าไม้ไผ่จนมันหักขาดไปหลายท่อน พร้อมกับพลังสายฟ้าอรหันต์ที่แตกออกมาดังเปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
เป็เพราะพลังของมันมีมากกว่าข้าจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อพลังขั้นที่หกของสายฟ้าอรหันต์ที่ข้าใช้สักนิดแถมมันยังยกแขนทั้งสองข้างขึ้นทุบหน้าอกตัวเองเหมือนกำลังโมโหแล้วพุ่งมาทางข้าอย่างรวดเร็ว
“ระวังนะอาจารย์ปู้!”
ตั้นไถเหยาะโออกมาเสียงดังก่อนที่ข้าจะรับรู้ถึงพลังที่เพิ่มมากขึ้น และนั่นก็คือพลังพร์ของตั้นไถเหยาที่สามารถเพิ่มพลังให้เพื่อนร่วมทีมได้นั่นเองสุดท้ายนางก็ยอมเพิ่มพลังให้ข้าสักที!
หลังจากมีพลังเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็เคล็ดวิชาาหรือวิชาลมหายใจัก็เพิ่มขึ้นตามถึงแม้ว่าข้าจะยังมีพลังน้อยกว่าเ้าชะนีหมอกตัวนั้นแต่ตอนนี้ก็ถือได้ว่ามีพลังเทียบเท่ากับพวกจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับกลางของขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพแล้วเหมือนกันเมื่อเป็แบบนี้ข้าจึงรีบะโขึ้นสูงพร้อมกับใช้กระบี่คมจันทราฟาดฟันออกไปด้วยพลังกระบี่ลมนับสิบครั้ง!
“ปั้ว ปั้ว!”
ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจการโจมตีของข้าเลยสักนิดถึงได้ใช้ท้ายทอยของตัวเองรับการโจมตีของข้าแบบนี้แต่นึกไม่ถึงว่าท้ายทอยของมันจะแข็งแกร่งแม้แต่การโจมตีของข้ายังเหมือนกับฟันลงบนผนังเหล็กที่ไม่มีผลใดๆพอเห็นแบบนี้แล้วก็ถือว่าโชคดี เมื่อข้าฟันท้ายทอยของมันไม่โดนไม่อย่างนั้นข้าอาจจะาเ็จากแรงต้านแล้วก็ได้
ขณะที่มันก้มหัวพร้อมกับวิ่งเข้ามาใกล้ข้าก็ะโขึ้นถีบไปบนหน้าของมันด้วยกระบวนท่าเอกากัลป์เบิกขุนเขามันร้องออกมาอย่างเ็ปพร้อมกับเืที่ไหลออกมาจากหน้าผากก่อนจะตวัดแขนมาถูกข้าอย่างจัง
“ปั้ง!”
การโจมตีครั้งนี้มันรุนแรงจนข้าปลิวเข้าไปชนกับต้นไม้ใหญ่จนขาดไปหลายต้นก่อนจะตกลงบนกองกิ่งไม้ใบหญ้าอย่างแรง ข้าถึงกับสะลึมสะลือก่อนจะสะบัดหัวแรงๆกว่าอาการจะดีขึ้นในตอนนี้เองเ้าชะนีหมอกตัวนั้นก็ร้องออกมาเสียงดังเป็สัญญาณว่ามันกำลังจะโจมตีพวกซูเหยียนอีกแล้ว
แย่แล้ว! เ้าชะนีหมอกตัวผู้ที่เป็สัตว์ิญญาระดับเจ็ดมันเร็วมากเร็วกว่าเพลงขาเมฆาหมอกของข้าด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ซูเหยียนกับคนอื่นๆ จะไปสู้ได้ยังไงกัน!
ขณะที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้นซูเหยียนก็ยกกระบี่ขึ้นมาพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชนไปด้วยพลังเพลงกระบี่เมฆาเพลิงัก่อนจะเริ่มโจมตีชะนีหมอกตัวนั้น
ตั้ง!
กระบี่กระทบลงบนแขนของชะนีหมอกจนพลังิญญามันแตกออกทั่วสารทิศ!
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
สักพักนางก็ฟันลงไปอีกสามครั้งและที่นึกไม่ถึงก็คือการโจมตีทั้งสี่ครั้งของนางถูกมันสกัดเอาไว้หมด!
ถึงจะเป็แบบนั้นมันก็ทำให้ข้าถึงกับต้องตกตะลึง เพราะเดิมทีเคยคิดว่าพลังของข้ามีมากกว่าซูเหยียนแต่พอมาวันนี้กลับรู้ได้ทันทีว่าตลอดเวลานางซ่อนพลังความน่าเกรงขามของตัวเองเอาไว้กว่าห้าส่วนเพลงกระบี่เมฆาเพลิงัช่างร้ายกาจจริงๆ!
ตอนนี้นางก้มหน้าลงก่อนจะกระอักเืออกมาจนหน้าซีดแล้วหันไปบอกกับคนอื่น“รีบหนีไป ข้าจะรับมือไม่ไหวแล้วนะ!”
ถังเชวียหรายกัดปากแน่นก่อนจะยิงเข้าไปยังใบหน้าของมันทว่าด้วยความเร็วของชะนีหมอกทำให้นางยิงไม่โดนดวงตาของมันสักทีแต่ถึงแม้จะยิงตรงจุดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทะลุพลังิญญาของสัตว์ิญญาระดับเจ็ดที่คอยปกป้องร่างกายของสัตว์ตัวนั้นอยู่ได้
ข้าะโขึ้นสูงก่อนจะพุ่งลงมาจากฟ้าด้วยพลังที่กลายเป็ลำแสงเจิดจรัส
ลำแสงหมื่นลี้!
ข้าใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งลงไปหาหัวไหล่ของมันอย่างจังมันร้องออกมาด้วยความเ็ปก่อนล้มลงไปนอนกับพื้นข้าจึงรีบใช้พลังลมของกระบี่ฟันลงไปอีกนับสิบก่อนจะพูดขึ้น “ซูเหยียน เ้ารีบหนีไปพวกเราเอาชนะมันไม่ได้หรอก!”
นางรีบวิ่งหายไปพร้อมกับะโบอกข้า
“ข้าหนีได้ แต่ข้าจะไม่หนีไปแบบนี้แน่นอน!”
หลังจากที่ใช้พลังลมของกระบี่ฟันลงไปนับสิบแล้วเ้าชะนีหมอกตัวนั้นก็หลับตาลงแล้วให้พลังิญญาของสัตว์ิญญาระดับเจ็ดคอยป้องกันตัวเองจากการโจมตีและขณะที่มันหลับตาหลบการโจมตีอยู่นั้นข้าก็ตกลงมาบนยอดหญ้าแล้วะโขึ้นสูงอีกครั้งพร้อมกับดึงเอากริชปลิดิญญาที่ติดอยู่ข้างขาตัวเองออกมาก่อนจะม้วนตัวมุ่งไปยังใบหน้าของมันแล้วกรีดลงไปยังจุดสำคัญจนมันร้องโหยหวนออกมาด้วยความเ็ป!
ในที่สุดเ้าชะนีหมอกตัวนี้ก็ตาบอดสักที!
ข้าดีใจได้ยังทันไรก็มีลมพัดเข้ามาพร้อมกับแขนของมันที่ตวัดมาถูกข้าจนปลิวออกไปและรู้สึกได้ถึงความคาวของเืที่ออกมาจากปากเพราะแรงโจมตีครั้งนี้ทำให้ข้าถึงกับกระอักเื!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้