เจินจูโอบรอบลำคอของเสี่ยวจิน ขณะนี้กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าของเทือกเขาไท่หาง
เสี่ยวเฮยนั่งอยู่บนหัวไหล่ของนาง ท่าทางอย่างเทพเ้ายืนปักหลั่นกำลังเฝ้ามองเทือกเขาทั้งหมด
ในขณะนี้พวกนางกำลังบินไปยังูเาสูงแห่งหนึ่งท่ามกลางเทือกเขายาวเหยียด
เทือกเขาสูงแห่งนั้น ชัยภูมิของูเาสูงและอันตราย สันเขาหลายลูกทับซ้อนไม่ขาดตอน ยอดเขาเลือนหายไปท่ามกลางทะเลหมอก มองจากที่ไกลๆ คล้ายกับเป็สถานพำนักของเหล่าทวยเทพ
เสี่ยวจินทำตามคำบอกกล่าวของเด็กสาว มันบินไปกลางูเาสูงที่ภูมิประเทศแห่งนั้นไม่หนาแน่นมากนัก ต้นไม้บนเทือกเขามีขนาดสูงต่ำผสมกันไปเป็หนึ่งผืน
ลมหนาวที่เย็นะเืทำให้เจินจูสั่นสะท้าน และเมื่อเข้าสู่ป่าลึกในูเา แม้แต่อากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปอุณหภูมิต่ำลงความกดอากาศหนาแน่น
เสี่ยวจินวนไปเวียนมา แล้วร่อนลงไปบนแนวสันเขาที่พื้นเต็มไปด้วยกิ่งก้านใบไม้แห้ง
“โอ้โห ที่นี่หนาวอย่างมาก” เจินจูปล่อยแขนสองข้างที่โอบรอบลำคอเสี่ยวจิน เท้าสองข้างลงมาอยู่บนพื้นดินและเริ่มถูฝ่ามืออันเย็นเฉียบ
เสี่ยวเฮยะโลงมาจากบนไหล่ของนาง และเริ่มสำรวจมองซ้ายแลขวาขึ้นทันที
เจินจูหยิบเสื้อตัวนอกสองชั้นสีเรียบหนึ่งตัวออกมาจากมิติช่องว่าง สวมขึ้นบนร่างกายจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย
“เสี่ยวเฮย หาพื้นที่ที่เหมาะสมที อีกสักพักจะปลูกโสมคนลงไป”
ไม่ผิด จุดประสงค์ที่นางทรมานเข้ามาในป่าเขาลึก เพราะ้าย้ายโสมคนในมิติช่องว่างออกมา
ข่าวคราวสถานการณ์ที่รุนแรงของายังชายแดน แพร่สะพัดไปทั่วทั้งต้าสยา
หลายวันมานี้ทั่วทั้งอำเภอเจิ้นอันต่างพากันพูดคุยปรึกษาหารือเื่การต่อต้านและตอบโต้ทหารพันธมิตรตาตาร์กับหว่าชื่อ
ผู้าุโหลิงกลัดกลุ้มเล็กน้อยเกี่ยวกับราชสำนักในทันที
เขาถกกับซิ่วฉายหยางอยู่หลายครั้ง ว่าการตัดสินชี้ขาดของราชสำนักสามารถควบคุมอัตราแพ้ชนะของาได้
แต่ในขณะนี้อาการประชวรอย่างยาวนานของฮ่องเต้ไม่ดีขึ้น ไม่มีกำลังควบคุมราชสำนัก ราชสำนักในตอนนี้จวนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเสนาบดีที่ช่วยเหลือบ้านเมืองและพรรคพวกองค์ไท่จื่อทั้งหมดอยู่แล้ว อำนาจทางการเมืองหลายด้านต้องผ่านการยื้อยุดกันไปมาเป็เวลานาน จึงจะสามารถมีข้อสรุปออกมาได้
แต่บางเื่ที่จำเป็ต้องทำการตอบโต้ในทันที กลับรอให้ถกเถียงและยื้อยุดกันไปหลายวัน ปัญหาเื่ราวก็พัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าเป็อย่างไรแล้ว
ตัวอย่างการก่อจลาจลของผู้อพยพในปีที่แล้ว ขณะที่ราชสำนักยังคงโต้เถียงกันว่าจะระงับหรือบรรเทาความโกลาหลอย่างไรดี ผู้ก่อจลาจลก็ก่อเหตุลอบวางเพลิง สังหารและปล้นสะดม ใช้อำนาจบาตรใหญ่วิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหนอย่างคึกคะนอง
ด้วยเหตุนี้เมื่อรอจนกระทั่งประกาศให้ปราบจลาจลออกไป ประชาชนก็ประสบทุกข์กับความสูญเสียอันใหญ่หลวงไปมากแล้ว
หลิงเสี่ยนกับซิ่วฉายหยางล้วนเสียใจแทนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่ง
ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ั้แ่เยาว์วัย ปฏิบัติตนอย่างโอบอ้อมอารีมีจิตใจเมตตากรุณา รู้จักใช้คนตามความสามารถ มีท่าทีใจกว้าง นับแต่ขึ้นาาภิเษกภาษีทุกชนิดลดลง แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างเบาบางลง ประชาชนสามารถลดภาระพักฟื้นชีวิตความเป็อยู่ได้ ชะตากรรมของอาณาจักรต้าสยานับั้แ่นั้นเริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยมา
น่าเสียดายพระพลานามัยของฮ่องเต้ไม่ดีมาั้แ่เมื่อครั้งเยาว์วัย อาการประชวรกำเริบครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็ประชวรจนลุกจากที่บรรทมไม่ขึ้น นอนรักษาฟื้นฟูอยู่ตลอด สามปีก่อนได้ข่าวว่าอาการประชวรของฮ่องเต้กลับดีขึ้นมาได้หน่อยแล้ว แต่เพิ่งขึ้นทำงานราชสำนักได้ไม่กี่วัน หลังตำหนิองค์ไท่จื่อเสียงดังอยู่พักหนึ่งก็ประชวรกลับขึ้นมาอีก
หากพระพลานามัยขององค์ฮ่องเต้สามารถแข็งแรงขึ้นได้บ้าง ชาวตาตาร์และหว่าชื่อทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออาจไม่กล้าถือโอกาสลุกล้ำเข้ามาก็เป็ได้ อย่างไรเสียาของสองฝ่ายในเมื่อก่อน ส่วนใหญ่ล้วนจบลงที่พวกตาตาร์เป็ฝ่ายพ่ายแพ้ากลับไป
คำพูดที่สองคนถกกัน เจินจูย่อมได้ยิน
เชื่อมโยงกับความกังวลของกู้ฉีเมื่อสามปีก่อน เจินจูจึงเชื่อมั่นอย่างไม่ลังเลว่าสกุลกู้คือผู้ที่ถวายโสมคนขึ้นแด่องค์ฮ่องเต้อย่างแน่นอน
ส่วนโสมคนต้นนั้นย้ายมาปลูกในมิติช่องว่างไม่เกินหนึ่งเดือนกว่า ประสิทธิภาพจากมิติช่องว่างที่อยู่ในโสมคนจึงมีจำกัด
นางคิดแล้วคิดอีกและได้ตัดสินใจทำเื่สำคัญมากอย่างหนึ่งขึ้น
อยากใช้ชีวิตอยู่อาณาจักรต้าสยาแห่งนี้อย่างยาวนาน เช่นนั้นการที่สภาพของอาณาจักรมีความมั่นคงเป็ระเบียบ ย่อมต้องส่งผลดีกว่าเกิดกลียุคจากไฟาบ่อยครั้งแน่
ในเมื่อพระพลานามัยของฮ่องเต้เป็คานความสมดุลที่สำคัญ เช่นนั้นก็ให้เขาแข็งแรงขึ้นจะดีกว่า
ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้สามารถรักษาความลับของตนเองไว้ได้ และสามารถนำโสมคนออกมาจากมิติช่องว่างสร้างคุณประโยชน์อย่างสุขุมเป็ธรรมชาติได้ด้วย สิ่งเหล่านี้คือเื่ที่เจินจูต้องพิจารณาอย่างรอบคอบระมัดระวัง
ด้วยเหตุนี้จึงได้กระทำการอย่างในวันนี้ขึ้น
ย้ายโสมคนออกมาจากมิติช่องว่าง ปลูกลงในพื้นทีู่เาสูงและอันตราย บนูเาสูงและชันขุดเก็บได้ยากลำบาก
ปลูกลงบริเวณกลางหน้าผาสูงชันโดยที่ผู้อื่นไม่สามารถตะกายปีนขึ้นไปได้
เสี่ยวเฮยถือเป็แมวตัวหนึ่งที่รู้จักโสมคน แม้มหัศจรรย์ไปบ้างแต่ก็ไม่นับว่าดูโอ้อวดเกินไป
อีกทั้งูเาสูงเส้นทางอันตราย ต่อให้รู้ว่ามีสมบัติล้ำค่ามหัศจรรย์อยู่ก็ต้องมีความสามารถมาขุดกลับไปด้วย
นางเพียงรับผิดชอบบอกกับกู้ฉี ว่าเสี่ยวเฮยค้นพบสถานที่ที่มีโสมคน ให้เขาส่งคนไปขุดเอาเอง เื่อื่นนางก็ไม่ก้าวก่ายแล้ว
ปรากฏตัวเข้าไปในมิติช่องว่างแล้วขุดโสมคนห้าต้นออกมาด้วยความระมัดระวัง โสมคนในมิติช่องว่างผ่านการบำรุงด้วยน้ำแร่จิติญญามาสามปีแล้ว รากที่อยู่ใต้ดินไม่เพียงใหญ่ขึ้นสองสามเท่า แต่ยังปรากฏสีม่วงอ่อนๆ ออกมาอีกด้วย
เป็ไปดังคาดพวกมันดูแข็งแรงกว่าต้นเมื่อสามปีก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว
เจินจูวางพวกมันเข้าไปในตะกร้า แล้วออกมาจากมิติช่องว่าง
ลมหนาวบนูเาสูงพัดชายกระโปรงของนางให้พลิ้วไหว เมฆหมอกหมุนวนขึ้นลงอยู่เหนือศีรษะ เจินจูมีความรู้สึกเหมือนตนเองเป็เทพธิดาล่องลอยอยู่ก็ไม่ปาน นางเดินไปทางป่าต้นไม้รกเตี้ย
เสี่ยวเฮยกำลังนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ลมโกรกไม่ถึงก้อนหนึ่ง ดวงตาแมวสีเขียวอ่อนดูแปลกประหลาดและลึกลับอยู่ภายใต้ก้อนเมฆสีดำครึ้ม
เจินจูเหยียบใบไม้แห้งที่กระจายอยู่เต็มไปทั่วพื้นดิน ขยับฝีเท้าด้วยความระมัดระวัง กลัวมากว่าใต้ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่จะมีสัตว์แปลกประหลาดอะไรโผล่ออกมา
“เสี่ยวเฮย เ้าดูทีว่าบริเวณโดยรอบมีสัตว์จำพวกงูและแมลงอะไรหรือไม่ ไล่พวกมันไปไกลๆ หน่อย อีกเดี๋ยวถ้ามันะโออกมา ข้าจะใตายได้เชียวนะ” นางเขย่งปลายเท้าเดินไปข้างก้อนหินที่เสี่ยวเฮยนั่งอยู่
เสี่ยวเฮยชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง รูปร่างก็ใหญ่โตเพียงนี้ ความกล้าหาญกลับเล็กแค่นิดเดียวช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
เจินจูเส้นดำเต็มศีรษะ นางอยู่ร่วมกับมันมานานแล้ว ความรู้สึกที่แสดงออกมาในดวงตาของเสี่ยวเฮย นางสามารถเข้าใจว่ามันกำลังคิดอะไรได้อย่างคร่าวๆ
ยังดีที่เสี่ยวเฮยเหยียดหยามแล้วเหยียดหยามอีก แต่ท้ายที่สุดก็ฟังและไปทำตามคำพูดของนาง
เจินจูหาจุดที่มีใบไม้ปกคลุมไม่มากและเริ่มขุดหลุม ต้นโสมคนห้าต้นกระจายเรียงกันอยู่บนพื้นที่เล็กๆ อย่างเป็ธรรมชาติ
นางนึกย้อนกลับไปถึงลำดับการจัดเรียงตอนขุดโสมคนครั้งก่อน และเริ่มปลูกโสมคนลงไปตามทิศทางโดยคร่าวๆ หลังจากนั้นใช่น้ำแร่จิติญญาในมิติช่องว่างมารดให้รากยึดติดกับพื้นดิน
ไม่นานโสมคนห้าต้นก็ปลูกเสร็จสิ้น
นางขยุ้มใบไม้ที่เน่าเปื่อยและกิ่งก้านที่แห้งแล้วโปรยลงบางๆ ยังบริเวณโสมคน เพื่อสร้างสถานการณ์การเติบโตตามธรรมชาติ
หลังจากจัดการเสร็จ นางมองผลงานของตนเอง พร้อมกับตบเศษดินในมือด้วยความพึงพอใจ
นางเก็บจอบด้ามเล็กเข้าในมิติช่องว่าง แล้วเขย่งปลายเท้าเดินออกจากที่ผืนนี้ไปอย่างระมัดระวัง
จนกระทั่งหยุดยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ด้านนอกป่า นางถึงได้วางส้นเท้าเดินลงนาบไปกับพื้นตามปกติ
“เสี่ยวเฮย เ้ามานี่” นางกวักมือเรียกแมวดำที่เดินเกียจคร้านอยู่ไม่ไกล
เสี่ยวเฮยเดินมาข้างกายนางด้วยฝีเท้าเบาหวิว
“ข้าจะบอกเ้า เ้าต้องจดจำลักษณะพื้นที่ของที่นี้ไว้นะ ครั้งหน้าข้าจะให้เ้าพาคนกลุ่มหนึ่งมาขุดโสมคนที่นี่ เ้าห้ามพาไปผิดที่ล่ะ” เจินจูนั่งยองลง และชี้ไปในป่าต้นไม้รกพร้อมกับกำชับมันอย่างละเอียด
“เหมียว” เสี่ยวเฮยร้องหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ มันความจำดีมากเลยนะ จะจำผิดได้อย่างไรกัน
“ฮิๆ อีกเดี๋ยวเ้าหาทางลงเขากลับไปบ้านเองนะ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเ้าจะหาสถานที่ไม่เจอ ข้าจะให้เสี่ยวจินนำทางเ้าอยู่ข้างบน เ้าลำบากหน่อยแล้ว รอมีเวลาว่างข้าจะใช้น้ำแร่จิติญญานึ่งปลาให้เ้ากิน” เจินจูลูบหัวทุยเล็กๆ ของมันอย่างเอาใจ
“เหมียว” เสี่ยวเฮยดวงตาเป็ประกาย ปลานึ่งน้ำแร่จิติญญา รสชาติอร่อยแล้วยังมีพลังเหนือธรรมชาติอีก เป็อาหารที่เอร็ดอร่อยไม่มีอะไรเทียบได้ที่สุดแล้ว
แต่เจินจูไม่ชอบที่ขั้นตอนการทำยุ่งยาก ทั้งยังต้องลงมือทำด้วยตนเอง จึงทำให้มันได้กินน้อยครั้งมาก และเสี่ยวเฮยก็ไม่ได้กินอาหารประเภทนี้มานานแล้วด้วย
“เหมียว” มีเงื่อนไขมาดึงดูดใจ เสี่ยวเฮยจึงมีพละกำลังเต็มเปี่ยมทันที ท่าทางพร้อมออกเดินทางตลอดเวลา
เจินจูลุกขึ้นยืนและเงยหน้ามองหาเงาของเสี่ยวจิน
บนผาสูงชันเหนือศีรษะ เมฆหมอกโอบล้อมรอบทิศทางทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นถูกขวางกั้น
เจินจูจนปัญญา แหงนหน้าไป้าแล้วะโเรียกชื่อของเสี่ยวจินด้วยเสียงอันดัง
ไม่นานเงาร่างมหึมาของเสี่ยวจินก็โฉบลงมาจากที่สูง เวลาชั่วพริบตาก็พากระแสลมหนาวลงมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง
“เสี่ยวจิน เ้าขึ้นไปทำอะไรที่นั่น? ข้างบนมีสถานที่อะไรแปลกๆ หรือ?” เจินจูแหงนหน้ามองขึ้นไปด้วยความสงสัย
“แว้กๆ” เสี่ยวจินร้องสองที
“หา... บ้านของเ้าอยู่้านั้น? แม่เ้า ที่แท้มาถึงหน้าประตูบ้านของเ้าแล้วหรือนี่” ดวงตางดงามหนึ่งคู่ของเจินจูจ้องกลมดิก
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ รังของเสี่ยวจินจะอยู่บนหน้าผาสูงชันที่สูงที่สุดของเทือกเขาไท่หาง
“อื้ม เข้าใจอาศัยอยู่บนเมฆจริงๆ เลยนะนี่” นางอุทาน “เสี่ยวจิน พวกข้าขึ้นไปดูหน่อยได้ไหม?”
“แว้กๆ”
“เยี่ยมจริงๆ เลย ดี... เช่นนั้นข้ากับเสี่ยวเฮยขึ้นไปดูสักหน่อย ไปเยี่ยมรังเสี่ยวจินของพวกเรากัน” เจินจูกอดลำคอของเสี่ยวจินไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เสี่ยวเฮยก็ะโขึ้นไปอย่างชาญฉลาดเช่นกัน
พอปีกหนึ่งคู่กางออก เสี่ยวจินก็กระพือปีกขึ้นตรงสู่ท้องฟ้าทันที
ข้ามเมฆหมอกลอยเอื่อยไปอย่างรวดเร็ว อากาศหนาวเย็นยิ่งขึ้นจนแทบจะกลายเป็น้ำแข็ง เสี่ยวจินค่อยๆ ร่อนลงบนต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหน้าผาหินแห่งหนึ่ง
นี่เป็รังที่สร้างขึ้นจากกิ่งไม้แห้ง จุดที่ยุบเป็แอ่งลงไปมีหญ้าแห้ง ขนนกและขนสัตว์อื่นเล็กน้อย
รังใหญ่อย่างมาก ทั้งยังสร้างได้แข็งแรงอีกด้วย เจินจูก้าวเท้าลงด้วยความระมัดระวัง ค่อยๆ ทดสอบออกแรงเหยียบเท้าลงไป ยังดีค่อนข้างมั่นคงมากเลยทีเดียว
“เสี่ยวจิน เ้าอาศัยที่นี่หรือ!” เจินจูอุทาน นางเกาะกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาหนึ่งกิ่งเพื่อพยุงตัว และมองเมฆหมอกที่เลื่อนลอยอยู่ใต้เท้า ทัศนียภาพของูเาด้านล่างขมุกขมัว มีความรู้สึกเหมือนมาเยือนถึงวิมานที่เทพเซียนอาศัยอยู่
“แว้กๆ” เสี่ยวจินยืนอยู่ด้านข้างแต่โดยดี
เจินจูยื่นมือออกไปตบปีกของมันเบาๆ เสี่ยวจินน่าจะเป็นกอินทรีทองที่ยังไม่โตเต็มวัย ตอนที่มันเพิ่งมาถึงบ้านสกุลหู ไม่เพียงรูปร่างเล็กกว่าตอนนี้มาก แต่สติปัญญายังดูไม่ค่อยเข้าใจอะไรอยู่บ้างด้วย
แต่มันในตอนนี้สูงกว่าเจินจูไปครึ่งหนึ่งแล้ว รูปร่างแข็งแรงใหญ่โต กรงเล็บทั้งสองข้างมีพลังและสติปัญญาสูงขึ้นด้วย คำพูดของเจินจูมันก็เข้าใจได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก
“แต่วันที่ฝนตกจะทำอย่างไรล่ะ?” นางเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่และแข็งแรงกิ่งก้านแห้งต้นนี้ แม้เหนือศีรษะขึ้นไปจะมีใบไม้กำบังอยู่ แต่ต้องไม่สามารถหลบฝนได้อย่างแน่นอน
“แว้ก” ดวงตาของเสี่ยวจินมองไปยังหน้าผาที่สูงชัน
เจินจูมองตามสายตาของมันไป พบว่าบนหน้าผาสูงชันมีซอกหินผาขนาดใหญ่ เสี่ยวจินสิบตัวก็สามารถผ่านทะลุเข้าไปในซอกนั้นได้
“อ๋อ วันที่ฝนตกไปหลบฝนที่นั่นนี่เอง เสี่ยวจินฉลาดจริงๆ” นางตบปีกของมันเบาๆ แล้วยิ้มชมเชย
“แว้ก”
เจินจูหนึ่งคนและสัตว์สองตัว พักอยู่บนหน้าผาสูงชันครู่หนึ่ง ความเปียกชื้นในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ นางลูบเส้นผมของตนเองที่เริ่มชุ่มฉ่ำทั้งๆ ที่ไม่มีฝนตก
แล้วจึงร้องทักเสี่ยวจิน ให้บินกลับไปยังพื้นที่กลางูเาเมื่อสักครู่นี้
หลังจากนั้นปล่อยเสี่ยวเฮยให้เดินทางลงูเาไปด้วยตัวของมันเอง เสี่ยวจินให้นางขึ้นขี่หลังและบินนำทางอยู่บนท้องฟ้า
ส่วนลึกในป่าของเทือกเขาไท่หาง ต้นไม้ต้นหญ้าเจริญงอกงาม แอ่งน้ำมีอยู่ให้เห็นไปทั่ว อากาศเป็พิษอย่างมากในชั้นป่าเขตร้อน แม่น้ำสายธารเล็กๆ ตัดสลับกัน เสี่ยวเฮยเดินทางได้ยากลำเค็ญอย่างยิ่ง
เจินจูออกคำสั่งให้เสี่ยวจินหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่บ่อยครั้ง รอให้เสี่ยวเฮยตามมาให้ทัน
เดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนั้น จนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับไปทางทิศตะวันตก กลุ่มเดินทางของเจินจูจึงกลับมาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน
วิ่งมาทั้งวันหนึ่งคนหนึ่งแมวและหนึ่งนกอินทรีล้วนเหนื่อยกันจนแทบทนไม่ไหว
“ท่านพี่ เสี่ยวจิน! เสี่ยวจิน!” ซิ่วจูวิ่งไปทางเสี่ยวจินด้วยความตื่นเต้น
เจินจูยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของนางไว้ ยับยั้งการกระทำที่โผเข้าไปทางเสี่ยวจิน
แม้เสี่ยวจินในตอนนี้นับได้ว่าคุ้นเคยกับคนในครอบครัวสกุลหูพอประมาณ แต่ ใกล้ชิดมันเกินไปก็ไม่กล้ารับประกันว่ามันจะไม่โกรธ อีกอย่างตอนนี้มันก็อยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าไปทั้งตัวแล้วด้วย
“ท่านแม่เ้าคะ ท่านช่วยข้าหั่นเนื้อพะโล้หนึ่งถาดใหญ่ให้เสี่ยวจินที มันหิวแล้ว หางหมูพะโล้ของเสี่ยวเฮยก็เอามาด้วยหนึ่งหางนะเ้าคะ พวกมันเหนื่อยกันจนหมดแรงแล้ว” เสี่ยวจินกับเสี่ยวเฮยต่างก็คอตกอยู่ใต้ชายคาระเบียงลานบ้านกันทั้งสองตัว เพื่อพักฟื้นฟูพละกำลัง
“อื้ม เ้าเด็กคนนี้นี่ วันนี้วิ่งออกไปทั้งวัน ไปทำอะไรมา? ทำไมพวกมันเหน็ดเหนื่อยกันจนกลายเป็สภาพเช่นนี้?” หลี่ซื่อขานรับพร้อมกับมองสีหน้าหนึ่งแมวหนึ่งนกอินทรีที่ดูอ่อนล้าด้วยความสงสาร
เจินจูก็เหนื่อยจนเหลือจะทนเช่นกัน นางอุ้มซิ่วจูที่ขยับขยุกขยิกอยู่ไม่สุขอย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงและตอบอย่างเซื่องซึม “ไปช่วยชีวิตอาณาประชาราษฎร์มาเ้าค่ะท่านแม่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้