“เ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ปานนั้น ทุกครั้งที่เ้าบอกว่าอยากจะตาย แต่เ้าไม่เคยยอมทำร้ายตัวเองแม้แต่นิดเดียว” ตวนอ๋องก้มหน้าลงพลางกล่าวเสียงต่ำ “หยุดร้องไห้ได้แล้ว หากเ้าไม่ยินยอม มีครั้งไหนที่เปิ่นหวังเคยบังคับเ้ากัน?”
กู้เจิงไม่กล้าปล่อยปิ่นปักผม เพียงแต่แอบขยับปลายปิ่นปักผมให้ห่างจากคอไปเล็กน้อย
“เ้าทนความเ็ปไม่ได้ และทนทุกข์ไม่ได้ เวลาอยากได้สิ่งที่เ้า้าก็จะทำดีกับเปิ่นหวัง เจิงเอ๋อร์ เ้ายังมีอะไรที่เปิ่นหวังไม่รู้จักอีกหรือ?” ตวนอ๋องเงยหน้า ดวงตาที่เมามายคล้ายมีสติขึ้นมาเล็กน้อย
กู้เจิงเพิ่งหยุดร้องไห้ สีหน้าก็ตื่นใขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋อง กู้เจิงที่ท่านพูดถึงไม่ใช่หม่อมฉัน”
“ไม่ใช่เ้าแล้วจะเป็ใครได้?” ตวนอ๋องหัวเราะเย้ยหยัน
เห็นตวนอ๋องผ่อนคลายลงมาก กู้เจิงก็เบี่ยงตัวออกอย่างเงียบเชียบ นางสบโอกาสก็ะโลงจากเตียงวิ่งออกไปข้างนอก เห็นว่าวิ่งจะมาถึงหน้าประตูแล้ว ขากลับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าจนชา ร่างกายล้มลงกับพื้น
มือเจ็บ แขนเจ็บ ขาก็เจ็บ กู้เจิงผู้ทนความเ็ปไม่ไหวน้ำตาพลันไหลรินออกมาอีกครั้ง ์ บ่อความเ็ปของร่างกายนางตื้นเขินเหลือเกิน
“คิดจะหนีหรือ? ทุกสามวันเ้าจะวิ่งหนีไปสักครั้ง และกลับมาอย่างว่าง่ายเสียทุกครั้ง ไม่เหนื่อยหรือไง?”
กู้เจิงหมุนตัว ถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว ตวนอ๋องยืนเอามือไพล่หลัง หรี่ตามองนาง
เขาพูดเหมือนกับว่าเป็ความจริง กู้เจิงเห็นว่าตวนอ๋องไม่ได้ขยับก้าวเข้ามาอีก นางก็วางใจลงเล็กน้อย รีบขอร้อง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเป็ภรรยาของเสิ่นเยี่ยน เสิ่นเยี่ยเป็ถึงที่ปรึกษาที่ท่านให้ความสำคัญที่สุด และเป็คนที่ท่านให้การสนับสนุนด้วย ฉะนั้นปล่อยหม่อมฉันออกไปเถอะเพคะ”
“เหลวไหล” ตวนอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม “เ้าเป็อนุรักของเปิ่นหวัง จะกลายเป็ภรรยาของเสนาบดีไปได้ยังไง? แม้ว่าเ้าจะโกรธเปิ่นหวัง ก็อย่าเอาศัตรูทางการเมืองของเปิ่นหวังมาล้อเล่น”
“หา?” กู้เจิงมองเขาอย่างตะลึงงัน เสนาบดีอะไร? ทำไมเขากับสามีนางถึงกลายเป็ศัตรูทางการเมือง?
ตวนอ๋องยื่นมือออกไปหานาง “อย่านั่งกับพื้น มันเย็น ลุกขึ้นมาเถอะ”
กู้เจิงไม่กล้าบอกว่าถึงไม่เย็นก็ไม่อยากให้เขาช่วยดึง นางยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย
มือของตวนอ๋องแข็งแรงไม่ต่างจากมือของเสิ่นเยี่ยน ฝ่ามือของเขาหยาบด้าน เสิ่นเยี่ยนเคยบอกว่าิั้าฝ่ามือของเขาเกิดจากการหยิบจับอาวุธมาหลายปี ตวนอ๋องก็หยิบจับอาวุธอยู่บ่อยๆ หรือ?
“ดอกเฮ่อหลัน* ที่เ้าชอบที่สุดน่าจะบานแล้ว เปิ่นหวังจะพาเ้าไปดู” เขาดึงกู้เจิงขึ้นแล้วพาเดินออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
(*ในภาษาไทยมีชื่อว่า ปักษา์)
มองปราดเดียวก็รู้ว่าที่นี่เป็สวนร้าง เพราะมีหญ้าขึ้นแซมตามเส้นทางหินกรวด แต่ยังคงมองออกถึงความสวยงามในอดีตของสวนแห่งนี้ ท่ามกลางวัชพืชมีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่มากมาย สีของดอกไม้นั้นดูสวยงามมาก กลีบดอกหนึ่งมีสีม่วง และอีกสองกลีบเป็สีเหลือง บานชูช่ออยู่ในก้านเดียวกัน รูปร่างของดอกไม้ดูคล้ายกับนกกระเรียนที่โผบินลอยละลิ่วอยู่ไกลๆ
“ที่แท้ดอกไม้นี้เรียกว่าดอกเฮ่อหลัน” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เจิงเห็นดอกไม้ชนิดนี้ นางเคยเห็นตอนที่ตามปาเม่ยมาระหว่างรอเสิ่นเยี่ยน
สีหน้ากู้เจิงเปลี่ยนไป หรือว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสวนที่ปิดตายอย่างนั้นหรือ?
“ท่านอ๋อง พระชายากำลังรอท่านกลับไปอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ฉางหลิ่วมาปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคน
กู้เจิงใ ทว่าตวนอ๋องกลับมีท่าทีเคยชิน เขาก้มหน้ามองกู้เจิง “หากเ้ารั้งเปิ่นหวัง คืนนี้เปิ่นหวังจะค้างคืนที่นี่กับเ้า”
“ท่านกลับไปหาพระชายาเถอะเพคะ” กู้เจิงอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
“เ้าว่าอะไรนะ?” สีหน้าของตวนอ๋องเปลี่ยนไป คิ้วขมวดปมคล้ายจะกริ้วโกรธ วินาทีถัดมา ดวงตาก็ปิดลง ร่างกายลื่นไถลลงไป ถูกบุรุษที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขารับตัวไว้
กู้เจิงจำบุรุษคนนี้ได้ เป็คนที่นางเข้าใจผิดว่าคือเสิ่นเยี่ยน เขาสวมชุดสีดำปิดบังใบหน้า กู้เจิงผงะถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว
ฉางหลิ่วปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนประสานมือคารวะชายที่รับท่านอ๋องไว้ “จวงอิ่งเว่ย ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชิญท่านออกหน้าให้ ข้าไม่ใช่คู่ปรับของท่านอ๋องจริงๆ” เมื่อครู่ที่เขาไม่ได้ตามท่านอ๋องมาเพราะไปหาจวงอิ่งเว่ย
จวงอิ่งเว่ยพยักหน้า ไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะมองกู้เจิงสักแวบเดียว เขาแบกตวนอ๋องขึ้นบ่าแล้วหายลับไปในเรือน
ท่ามกลางความงุนงงของกู้เจิง ฉางหลิ่วหันมาเอ่ยกับนางว่า “ฮูหยินน้อยเสิ่น ล่วงเกินแล้ว”
กู้เจิงยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ เพียงรู้สึกเจ็บบ่า ฉางหลิ่วจับบ่านางไว้แล้วพานางดีดตัวขึ้นไปนอกกำแพง
“ฮูหยินน้อยเสิ่น ใต้เท้าเสิ่นอยู่ทางนั้น ไม่ทราบว่าท่านจะเอาอย่างไรขอรับ?” นี่เป็สิ่งที่ฉางหลิ่วเป็ห่วงมากที่สุด และทำให้เขาปวดหัวที่สุด ท่านอ๋องเมาสุรา หลังตื่นขึ้นมาเขาต้องจำเื่ในคืนนี้ไม่ได้แน่ และเื่นี้ก็ไม่อาจให้ใต้เท้าเสิ่นรู้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าฮูหยินน้อยเสิ่นจะว่าอย่างไร?
“ข้าออกมาแล้วหรือ?” กู้เจิงมองไปรอบๆ อย่างดีใจ “ข้าออกมาแล้วหรือ?”
ฉางหลิ่ว “...”
กู้เจิงร้องร่ำด้วยความดีใจ นางใกับตวนอ๋องที่วิปริตนั่นไม่น้อย ในสวนนั้น หากเขาจะทำอะไรจริงๆ นางก็จำต้องดิ้นทุรนทุรายแล้วตอบรับ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮูหยินน้อยเสิ่น ใต้เท้าเสิ่น...” ฉางหลิ่วยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรน “คุณหนูใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหนเ้าคะ?”
“ชุนหง” กู้เจิงยกกระโปรงขึ้นวิ่งไปทางชุนหง
สีหน้าของฉางหลิ่วเปลี่ยนไป แย่แล้ว เขาได้แต่แอบมองอยู่ในความมืดชั่วคราวว่าฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้จะอธิบายต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร
ยามกู้เจิงเห็นเสิ่นเยี่ยนที่อยู่ข้างชุนหง น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่ก็ไหลออกมาอีกครั้ง นางวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่” นางโผเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นเยี่ยนและร้องไห้เสียงดัง จนกระทั่งโพรงจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเสิ่นเยี่ยน อารมณ์ของนางถึงได้สงบลงบ้าง
นาทีแรกที่ชุนหงเห็นคุณหนูก็ดีใจมาก แต่ไม่คิดว่าคุณหนูจะร้องไห้อย่างน่าสงสารเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาด้วย
“ทำไมเืกำเดาไหลล่ะ?” เดิมทีเสิ่นเยี่ยนคิดจะเช็ดน้ำตาให้ภรรยา แต่ไม่คิดว่าใต้จมูกภรรยาจะมีคราบเื ที่แก้มเองก็มี และผมของภรรยาก็ยุ่งเหยิงมาก ยามมือทั้งสองััเสื้อผ้าของนาง ก็เหมือนมีคราบโคลนติดอยู่ “เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนที่ข้าออกมาจากหออิ๋งจวง ข้าเห็นคนผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ เงาร่างของคนผู้นั้นคล้ายกับท่านมากเ้าค่ะ ข้าคิดว่าเป็ท่านก็เลยตามไป ปรากฏว่าเขาคนนั้นไม่ใช่ท่าน” มีเสิ่นเยี่ยนกับชุนหงอยู่ข้างกาย ความไม่สบายใจของกู้เจิงก็หายไปเร็วมาก
เงาร่างคล้ายกับเขามากงั้นหรือ? เสิ่นเยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ตอนจะกลับไปที่เดิมเลยหลงทาง จมูกก็โดนกระแทก ซ้ำยังล้มคะมำไปเสียหลายคราเ้าค่ะ” จะบอกเื่ตวนอ๋องไม่ได้ บอกไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เสิ่นเยี่ยนเป็ขุนนาง กับตวนอ๋องนั้นเงยหน้าไม่เจอก้มหน้าเจอ* อย่างไรเสียท่านอ๋องโรคจิตผู้นี้ยามมีสติดีก็ยังเป็ปกติดีอยู่
(*เป็สำนวน หมายถึง มีโอกาสพบเจอกันบ่อยๆ)
ชื่อเสียงในยุคสมัยนี้สำคัญมาก หากเสิ่นเยี่ยนรังเกียจนางเพราะเื่นี้จะทำอย่างไร? นางยังไม่พร้อมที่จะจากไป และอีกอย่าง มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉางหลิ่วที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้ยินฮูหยินน้อยเสิ่นพูดเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้เป็คนรู้ความ
เห็นภรรยาร้องไห้จนตาแดงก่ำ น้ำตาบนใบหน้าไม่ได้เหมือนร้องไห้เพราะหลงทางหรือจมูกโดนกระแทก เสิ่นเยี่ยนรู้จักภรรยาดี
ดวงตาดำสนิทสุขุมเยือกเย็นของเสิ่นเยี่ยน พานให้กู้เจิงสบตาตรงๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าเสิ่นเยี่ยนโกรธแล้ว แม้จะไม่ได้เผยออกมาให้เห็น
“แค่หกล้มคะมำหรือ?” เสิ่นเยี่ยนถาม
“ใช่เ้าค่ะ ล้มเจ็บมากเลยด้วย” กู้เจิงรับคําโดยไม่ร้อนตัวเลยสักนิด หากเสิ่นเยี่ยนรู้ว่าตวนอ๋องทำกับนางเช่นนั้น เป็บุรุษล้วนต้องโกรธ ปัญหาคือ จะสู้ก็สู้ไม่ได้ เพราะอนาคตต้องอาศัยเขาเลื่อนตำแหน่ง เมื่อชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียแล้ว นางจึงตัดสินใจกลืนคำพูดนี้ลงไปก่อน
เมื่อเห็นภรรยากลับมาปกติอีกครั้ง แม้ว่าสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนจะเ็าอยู่บ้าง ทว่าแววตากลับอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย เขาจับมือนางและกล่าวเรียบๆ ว่า “กลับบ้านกันเถอะ”
ไม่ถามแล้ว? กู้เจิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
อีกด้านหนึ่ง ทางตำหนักของจวนตวนอ๋อง
ตวนอ๋องที่ถูกจวงอิ่งเว่ยแบกกลับมาหลับสนิทอยู่บนเตียง พ่อบ้านว่านให้บ่าวรับใช้ปรนนิบัติท่านอ๋องซักเสื้อผ้าและล้างหน้า เห็นท่านอ๋องเมามายก็ถอนหายใจไม่หยุด
“ไม่ส่งไปหาพระชายาหรือ?” จวงอิ่งเว่ยเห็นพ่อบ้านว่านเป็เช่นนี้ จึงถามขึ้น
“ข้าน้อยก็อยากจะส่งไปเหมือนกัน แต่หลังจากส่งตัวไปแล้ว ถ้าท่านอ๋องพูดสิ่งที่ไม่ควรให้พระชายารู้ ศีรษะของข้าน้อยคงไม่อาจรักษาไว้ได้ขอรับ” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ่อบ้านว่านก็อยากจะร้องไห้สักยกเหมือนฮูหยินน้อยเสิ่นจริงๆ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านอ๋องจะชอบอะไรแบบนี้” จวงอิ่งเว่ยนึกถึงรูปลักษณ์ของสตรีผู้นั้นนับว่างามเป็หนึ่ง แต่ดูจากทรงผมของนาง น่าจะเป็สตรีที่ออกเรือนแล้ว วิธีการของตวนอ๋องช่างไม่เหมือนเขาเลยจริงๆ
พ่อบ้านว่านเปิดปากคิดจะแก้ต่างให้ท่านอ๋อง แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้สักคำ ท่านอ๋องไม่ได้เ้าชู้ แม้เขาจะมีห้องข้าง แต่ก็เป็เพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ตอนไม่ได้ดื่มสุราก็ไม่เคยสนใจฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้ ต่อให้เจอหน้ากันก็ไม่เคยชายตามอง แต่จากความเมาทั้งสองครั้งพอเห็นฮูหยินน้อยเสิ่นก็จะลืมตัวขาดสติ ทั้งยังเรียกว่าอนุรัก แล้วคืนนี้ยังต้องเข้าห้องหอเสียด้วย โอ๊ย ละอายใจนัก
นี่มันเคราะห์กรรมอะไรกัน