ศักราชเทียนหุนปีที่สองพันแปด อาณาจักรเทียนหุน อาณาจักรเดียวแห่งแผ่นดินเทียนหุน มณฑลฉิงหยุน ยามสนธยา ณ เมืองลั่วซี
“เฮ้อ! ในที่สุดก็เลิกงาน วันนี้ได้รับค่าแรงยี่สิบสามเหรียญทองแดง เย็นนี้ข้ากินซาลาเปาเพิ่มได้อีกลูกหนึ่ง...” ชายหนุ่มแต่งกายมอมแมมใบหน้าฉายแววอิดโรยเหน็ดเหนื่อยอาศัยกำแพงประคองร่างเดินผ่านตรอกมืดสลัว ขณะเดียวกันยังนวดไหล่พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
ไป๋หยุนเฟย อายุสิบแปดปี สูงห้าเชียะเศษ ไว้ผมทรงเรียบง่าย ใบหน้าเรียว จมูกโด่งเป็สัน ดวงตาใสกระจ่าง แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าหล่อเหลา แต่อย่างน้อยรูปร่างหน้าตาก็ไม่ทำให้ผู้คนรังเกียจ เนื่องเพราะเป็กรรมกรใช้แรงงานมาหลายปีจึงมักเดินหลังค่อมราวกับรอรับคำสั่ง ร่างกายของมันนับว่าแข็งแรงแต่เพราะอดอยากมานานทำให้แลดูซูบผอม
หลังจากตรากตรำมาทั้งวัน ยามนี้มันเพียง้าซื้อซาลาเปาสักหลายลูกมาเติมกระเพาะก่อนจะกลับไปซุกตัวนอนในบ้านผุพังของตน “บ้าน” ที่มันอาศัยอยู่ลำพังมาเก้าปี
นับแต่จำความได้ไป๋หยุนเฟยไม่เคยพบหน้าบิดา มารดาและท่านปู่ล้วนไม่เคยกล่าวถึงบิดา มารดาของมันล้มป่วยและสิ้นลมไปั้แ่มันอายุห้าขวบ ทิ้งไป๋หยุนเฟยและปู่ที่แก่ชราซึ่งฝากชีวิตแก่กัน แต่คราวเคราะห์กลับยังไม่ละเว้นครอบครัวไป๋หยุนเฟย ขณะกำลังตั้งแผงขายรองเท้าฟาง ปู่ของมัน “ขวาง” ทางของผู้สูงศักดิ์อายุเยาว์จากตระกูลมั่งคั่ง จึงถูกบ่าวไพร่ของเด็กหนุ่มนั้นทุบตีอย่างทารุณ หลังจากนั้นไม่นานชายชราก็จากไป๋หยุนเฟยไป... ปีนั้นไป๋หยุนเฟยอายุเพียงเก้าขวบ
สิ่งที่เกิดขึ้นพบเห็นได้ทั่วไปในแผ่นดินเทียนหุน ชีวิตของชาวบ้านโดยเฉพาะคนในครอบครัวต่ำต้อยเช่นไป๋หยุนเฟย... ไร้ที่ดิน ว่างงาน มีเพียงบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่แทบอาศัยอยู่ไม่ได้.... ล้วนไม่มีค่าแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวในสายตาของผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์
ด้วยอายุเพียงเก้าขวบ ไป๋หยุนเฟยที่ต้องอยู่เพียงลำพังจารึกความรักของมารดาและความเมตตาของท่านปู่ไว้ในจิตใจและความรู้สึก มันต้องกัดฟันทนมีชีวิตอยู่ต่อไป... หลังจากวิงวอนอยู่สองวันสองคืนในที่สุดจึงได้งานเป็ลูกจ้างของร้านค้าข้าวขนาดใหญ่ ไม่ต้องคาดคิดถึงจิตใจของเถ้าแก่ร้านว่าดีงามเพียงใด เถ้าแก่ไม่เคยให้เงินแก่ผู้ใดเป็พิเศษแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ก่อนหน้านี้ไป๋หยุนเฟยเพียงได้รับค่าแรงเป็เงินไม่กี่เหรียญทองแดงต่อวัน
หลายครั้งที่ไป๋หยุนเฟยคิดว่าไม่อาจแบกรับได้อีกต่อไป ทุกคืนต้องขดตัวในบ้านซอมซ่อที่แทบไม่อาจป้องกันลมพร้อมกับหลั่งน้ำตาเพียงลำพัง แต่ทุกครั้งที่ร่ำไห้จนหลับไปจะฝันถึงท่านปู่ที่ลูบศีรษะมันอย่างอ่อนโยนขณะสานรองเท้าฟางพลางสอนสั่ง มารดาโอบกอดมันแนบอกพลางชี้ไปยังหมู่เมฆขาวบนท้องฟ้าพร้อมกล่าวว่า “วันหนึ่งเมื่อหยุนเฟยน้อยของมารดาเติบใหญ่จะเป็ดั่งเมฆขาวบนนภา ล่องลอยอย่างเสรีไร้กังวล”
วันต่อมามันจะปาดน้ำตา ก่อนจะกัดฟันแบกกระสอบข้าวสารที่หนักอึ้ง... มันแบกข้าวสารมาเก้าปีแล้ว ระหว่างเก้าปีนี้ไป๋หยุนเฟยได้ััธรรมชาติอันปลิ้นปล้อนของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เข้าใจกระจ่างถึงความเดียวดายของโลกใบนี้ มันทำงานอย่างหนักทุกวัน ฝากชีวิตไว้กับสองมือสองเท้าบนเส้นทางที่แสนต่ำต้อย
แท้จริงแล้วมีคนธรรมดาสามัญอย่างมันมากมายในสังคมระดับล่างสุด แต่ภายใต้แรงกดดันส่วนมากมักเลือกเดินในทางมิจฉาชีพ แต่กระนั้น ไป๋หยุนเฟยกลับไม่เคยข้องแวะ ทั้งไม่คิดจะข้องเกี่ยว ทุกๆ เหรียญทองแดงและอาหารทุกมื้อ มันต้องแบกข้าวสารเพื่อแลกมา
เพราะมันให้คำมั่นต่อท่านปู่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีมโนธรรม
ผู้คนมากมายเย้ยหยันความดื้อรั้นของไป๋หยุนเฟย “มโนธรรม? อย่าพูดน่าหัวร่อดีกว่า ในโลกความจริงที่แสนโหดร้ายผู้มีมโนธรรมเป็เพียงเศษสวะไร้ค่า”
แต่ไป๋หยุนเฟยไม่ได้นำพาพวกมัน ยังคงใช้ชีวิตเดียวดายมาถึงเก้าปี ไม่ว่าฐานะจะต่ำทรามเพียงใด งานต้อยต่ำเพียงใด และฐานะยากไร้เพียงใด... อย่างมีมโนธรรม
“ตอนนี้ร่างกายข้าแข็งแรงกว่าแต่ก่อนแล้ว ต่อไปข้าจะแบกข้าวสารให้ได้มากขึ้น ข้าจะเก็บออมเงินทองเพื่อซ่อมหลุมศพให้มารดากับท่านปู่...” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดพลางก้าวเท้าเดิน หลังจากตบดูเหรียญทองแดงในอกเสื้อมันก็เร่งฝีเท้าขึ้น ทางออกจากตรอกอยู่ไม่ไกล ซื้อซาลาเปาสักหลายลูกจากนั้นจึงค่อยกลับบ้าน
ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่มันเดินก้มหน้า กลับไม่ได้สังเกตว่ามีรอยแยกปรากฏขึ้นกลางอากาศว่างเปล่าด้านหลัง ก่อนจะเห็นกลุ่มหมอกสีดำเคลื่อนผ่านรอยแยกออกมา ภายในกลุ่มหมอกคล้ายจะห่อหุ้มตำราไว้เล่มหนึ่ง... ไม่ทราบว่าเพราะบังเอิญหรือจงใจ กลุ่มหมอกสีดำและตำรานั้นกลับลอยไปยังทิศทางของไป๋หยุนเฟย ก่อนจะแทรกหายเข้าสู่ร่างของไป๋หยุนเฟยในพริบตา
ไป๋หยุนเฟยพลันรู้สึกสมองว่างเปล่า ก่อนจะสิ้นสติล้มลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง
ขณะที่มันล้มกระแทกพื้น มวลอากาศโปร่งแสงก็ฝ่าออกมาจากรอยแยกที่ยังเปิดค้างอยู่อย่างเร่งร้อน ก่อนจะลอยตรงเข้าหาไป๋หยุนเฟย ทว่าแทนที่จะแทรกเข้าสู่ร่าง มวลอากาศโปร่งแสงกลับเพียงโอบล้อมอยู่รอบกายไป๋หยุนเฟยเท่านั้น
การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งล้วนถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ของแต่ละโลก เมื่อพยายามจะข้ามไปยังโลกอื่นจะถูกปฏิเสธและกำจัดด้วยพลังจากกฎเกณฑ์ของโลกนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวางแผนจะเข้าสู่โลกใดก็ต้องทำตัวให้กลมกลืนกับกฎเกณฑ์ของโลกนั้น
เศษชิ้นส่วนิญญาและตำราทักษะเริ่มหลอมรวมกับไป๋หยุนเฟยทันทีที่เข้าสู่ร่าง พลังที่ควบคุมกฎเกณฑ์ของโลกห่อหุ้มร่างของไป๋หยุนเฟยเพียงชั่วครู่ หลังจากทำลายชิ้นส่วนิญญาส่วนน้อยที่ไม่อาจหลอมรวมกับร่างของไป๋หยุนเฟยหมดสิ้น ก็สาบสูญไปในอากาศทันทีราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
ดูจากภายนอก ไป๋หยุนเฟยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มันยังคงนอนอยู่บนพื้นราวกับหลับสนิท
ราวชั่วน้ำเดือด มันจึงขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่ง แต่ใบหน้ากลับฉายแววงุนงง แววตาทอประกายสับสน เห็นได้ชัดว่ายังเรียกสติกลับคืนมาไม่สมบูรณ์
หลังจากนั่งมึนงงอยู่นาน มันจึงยันร่างกับกำแพงประคองตัวยืนขึ้น ก่อนจะตบศีรษะตนเองเบาๆ ขณะเดียวกันยังคล้ายเอ่ยปากพึมพำกับตัวเอง แต่มองไปก็คล้ายกำลังสนทนากับใครบางคน
“ฉันคือถังหลง... ไม่ ข้าคือไป๋หยุนเฟย”
“ฉันมาจากโลก... ไม่... ข้ามาจากแผ่นดินเทียนหุน...”
“ฉันคือนักเดินทางข้ามมิติ... ข้าคือชาวบ้านในเมืองลั่วซี”
“น้ำประกอบด้วยไฮโดรเจนและออกซิเจน...”
“สะสมเงินเพื่อซ่อมหลุมศพมารดาและท่านปู่...”
แม้ว่าเศษชิ้นส่วนิญญาไม่มีจิตสำนึกแต่ก็ประกอบจากเศษเสี้ยวความทรงจำนับไม่ถ้วนซึ่งหลอมรวมเข้ากับไป๋หยุนเฟย จึงทำให้ความทรงจำของมันต้องสับสนอยู่ชั่วขณะ
ไป๋หยุนเฟยแม้เดินโซเซไปตามถนน แต่ที่จริงกลับเป็ปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึก สติมันยังคงสับสนแทบไม่รู้สึกตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่... ชาวบ้านที่สัญจรบนถนนล้วนแหวกทางหลบไปด้านข้างด้วยความหวาดกลัว ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มคนสิบกว่าคนมุ่งหน้ามาจากประตูเมืองตะวันออก
สองคนที่นำหน้า ด้านซ้ายเป็ชายหนุ่มบุคลิกสูงสง่า มันแต่งกายเลิศหรูและใบหน้าหล่อเหลา ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ในมือถือพัดจีบโบกแ่เบาอย่างสบายอารมณ์ มันชี้ไปยังร้านค้าแผงลอยริมถนน ราวกับกำลังแนะนำแก่คนที่อยู่ข้างกาย มุมปากมันเผยรอยยิ้มพึงพอใจเป็ระยะ ท่วงท่าปลอดโปร่งสูงส่ง แต่ก็แฝงด้วยความเย่อหยิ่ง
ข้างกายมันเป็หญิงสาวผมยาวในชุดยาวหรูหราสีคราม รูปร่างนางเพรียวระหง ใบหน้าขาวผ่อง ปากแดงดั่งผลอิงเถา จมูกดั่งหยก ดวงตากลมโตของนางมองตามการชี้ชวนของชายหนุ่ม คล้ายกำลังชมดูรอบข้างอย่างเพลิดเพลิน
ด้านหลังห่างไปไม่ไกลมีชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำเดินไพล่หลังทอดน่องอย่างแช่มช้า สายตามองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม องครักษ์สองคนด้านข้างแต่งกายดังคนทั่วไป เพียงแต่ข้างเอวกลับสะพายดาบยาว แม้พวกมันคล้ายเดินติดตามอย่างสะเปะสะปะ แต่สายตากลับกวาดมองผู้คนโดยรอบเป็ระยะ ไม่ว่าผู้ใดเผลอสบตากับพวกมัน ล้วนต้องหันหลังหลบเลี่ยงด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
ห่างออกไปด้านหลังยังมีกลุ่มคนแต่งกายดังบ่าวไพร่แบกหีบขนาดใหญ่ แม้หีบจะดูหนักอึ้งแต่คนเหล่านี้กลับเดินอย่างปลอดโปร่ง เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือพวกมันต้องไม่ต่ำทราม
ตระกูลจาง ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองลั่วซี ควบคุมการค้าเกือบครึ่งค่อนเมือง ทั้งเป็ที่รู้จักว่าเป็ตระกูลของผู้ฝึกปรือิญญา แม้ว่า “ตระกูลชื่อดัง” นี้ไม่มีคุณค่าพอจะกล่าวถึงในแผ่นดินเทียนหุน แต่ที่เมืองลั่วซีแห่งนี้แม้แต่เ้าเมืองยังต้องอ่อนข้อให้
แน่นอนว่าชาวบ้านทั่วไปย่อมไม่กล้าขวางทางของนายใหญ่และนายน้อยแห่งตระกูลจาง
“น้องเมิ่งเอ๋อร์ ไม่คิดเลยว่าเ้าจะมาที่เมืองลั่วซีพร้อมกับบิดาข้า เ้าน่าจะส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า ข้าจะได้เตรียมของน่าสนใจไว้ให้เ้าได้สนุกสนาน...” ชายหนุ่มพูดคุยกับหญิงสาวด้านข้างด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า คนผู้นี้จะเป็ใคร หากไม่ใช่นายน้อยแห่งตระกูลจาง จางหยาง
ภายใต้การประจบเอาใจของจางหยาง หญิงสาวกลับไม่แสดงความรู้สึกใด นางเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าเพียงพบกับท่านลุงระหว่างพเนจรไปยังเมืองหยินซา ข้าลำบากมาที่นี่กับท่านลุงเพื่อเยี่ยมท่านป้า ไม่จำเป็ต้องเตรียมอะไรให้เป็พิเศษ อีกไม่กี่วันข้าก็ไปจากที่นี่แล้ว” หลังจากกล่าวจบ นางจึงเลิกคิ้วเรียวงามเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “และอย่าเรียกข้าว่าเมิ่งเอ๋อร์ ข้าไม่ใช่น้องสาวหรือญาติผู้น้องของท่าน เรียกชื่อข้า หลิวเมิ่ง”
“ฮ่าฮ่า เ้าพูดอะไรของเ้า น้องเมิ่งเอ๋อร์ อันที่จริงเ้าน่าจะทราบความตั้งใจของผู้าุโในตระกูลเราทั้งคู่ พวกเรา...” จางหยางกลับยังคงไม่ย่อท้อต่อความเ็าของนาง
“ตอนนี้ข้าไม่้าครุ่นคิดอันใด ข้าออกจากตระกูลมาพเนจรเพียงเพราะไม่อาจทะลวงสู่ด่านวีรชนิญญาระดับกลาง ข้า้าออกมาภายนอกเพื่อคลายความเบื่อหน่ายบ้าง จะได้กลับบ้านเพื่อฝึกฝนต่ออย่างหมดกังวล” หญิงสาวนามหลิวเมิ่งพลันเอ่ยปากตัดบทจางหยาง
“ว่ากระไร? เ้าจะบรรลุด่านวีรชนิญญาระดับกลางแล้ว? ข้าจำได้ว่าพวกเราบรรลุด่านปัจเจกิญญาใน่เดียวกัน นั่นเพิ่งจะผ่านไปปีเดียว ข้าเองยังเป็ปัจเจกิญญาระดับกลางแต่เ้ากลับพัฒนารวดเร็วนัก” ยามนี้จางหยางไม่เกี้ยวพาราสีนางอย่างไร้ยางอายอีก เพียงอุทานแ่เบา พร้อมกับที่ใบหน้าฉายแววตื่นตะลึงออกมา
ได้ยินดังนั้นหลิวเมิ่งกลับคล้ายเหลือบมองมันด้วยสายตาแฝงความเหยียดหยามแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปข้างถนนพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่เหมือนบางคนที่อยู่ว่างอย่างไร้ประโยชน์ไปวันๆ”
“เอ่อ...” เมื่อถูกแดกดันด้วยคำพูดเช่นนี้ จางหยางก็คล้ายกระดากอายอยู่บ้าง มันจึงเลิกเอ่ยถึงเื่นี้ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มน่าประทับใจพลางชี้ไปยังแผงถังหูลู่ (พุทราเคลือบน้ำตาล) ริมถนนพร้อมกับกล่าวว่า “น้องเมิ่งเอ๋อร์...เอ่อ...หลิวเมิ่ง นั่นคือถังหูลู่ที่เหล่าหญิงสาวชอบรับประทาน เ้ามักจะมุ่งมั่นกับการฝึกปรืออยู่บ้านคงไม่ค่อยพบเห็นของเหล่านี้กระมัง? ข้าจะไปเอามาให้เ้าชิมสักไม้”
หลังจากกล่าวจบ มันจึงเดินไปหยิบถังหูลู่แล้วเดินกลับมาที่หลิวเมิ่ง เ้าของร้านกลับไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความไม่พอใจ มิหนำซ้ำยังเค้นรอยยิ้มประจบอย่างขลาดเขลาบนใบหน้าชรา... หลิวเมิ่งรับถังหูลู่ไม้นั้นมาด้วยความสงสัย หลังจากมองดูอยู่ชั่วครู่จึงแตะลิ้นชิมน้ำตาลที่เคลือบผิวด้านนอก รอยยิ้มที่ปรากฏบนในหน้านางราวดอกเหมยที่เบ่งบานในฤดูหนาว จางหยางที่อยู่ด้านข้างยามมองเห็นกลับแทบไม่อาจละสายตาจากนาง
คนกลุ่มนี้มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมือง ตามเส้นทางจางหยางยังคงหยิบของเล่นแปลกๆ ชิ้นเล็กๆ จากแผงลอยให้แก่หลิวเมิ่งเพื่อหวังจะได้รอยยิ้มจากหญิงงาม
ยามที่ทั้งหมดมาถึงปากตรอกแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มท่าทีเหม่อลอยแต่งกายมอมแมมกลับถลันออกจากมุมมืดในตรอกอย่างเร่งร้อน มันเดินเหม่อลอยพลางพึมพำบางอย่างไม่หยุด มิหนำซ้ำ ยังคงเดินต่อไปราวกับมองไม่เห็นกลุ่มคนบนถนน ก่อนที่จู่ๆ มันจะพลันสะดุดล้มและถลาสู่อ้อมอกของหลิวเมิ่งเต็มแรง
ชายหนุ่มปรากฏตัวอย่างคาดไม่ถึง และหลิวเมิ่งเองก็กำลังมองตามจางหยางที่แนะนำร้านผ้าอีกด้าน นางยังไม่คาดคิดว่าจะมีคนถลาเข้ามากระแทกชนใส่ตนเองเช่นนี้ ขณะเดียวกันไป๋หยุนเฟยเองก็ความคิดสับสน... มันไม่ได้เจตนาพุ่งเข้าหานาง แม้นางจะเป็ผู้ฝึกปรือิญญาก็ยังไม่อาจหลบพ้น ต้องถูกมันชนล้มลงกับพื้น... ไป๋หยุนเฟยรู้สึกปวดศีรษะแทบตาย ข้อมูลทั้งหลายทะลักในหัวไม่หยุด จนมันไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ที่ใด
ทันใดนั้น ไป๋หยุนเฟยรู้สึกคล้ายชนเข้ากับบางอย่าง ร่างมันถลาไปด้านหน้าอย่างไม่อาจควบคุม จากนั้นมันก็รู้สึกดั่งร่างตนเองล้มลงบนพื้นอ่อนนุ่ม ก่อนจะได้กลิ่นหอมละมุนโชยเข้าจมูก... ไม่ทราบว่าเพราะการชน การถลา พื้นอ่อนนุ่ม หรือกลิ่นหอมละมุนนั้น... ชั่วครู่ไป๋หยุนเฟยจึงได้สติ แม้ว่ามันยังไม่คืนสติสมบูรณ์แต่ก็ยังพอจะควบคุมร่างตนเองได้อีกครั้ง
มันส่ายศีรษะลุกขึ้นยืน จึงได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดเจน... หญิงสาวชุดครามนั่งกับพื้นเบื้องหน้า ใบหน้าอ่อนหวานเงยมองมันอย่างมึนงง ดูท่านางจะล้มลงจากที่ถูกมันกระแทกชนเมื่อครู่
“เอ่อ...แม่นาง ข้าขออภัย...ข้าไม่ได้เจตนาจะชนท่าน ท่านาเ็หรือไม่?” ไป๋หยุนเฟยทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างยากเย็น... มันเพิ่งจะชนนางล้มลง... ดังนั้นจึงคารวะขออภัย จากนั้นคว้าจับข้อมือขาวผ่องของหลิวเมิ่งช่วยนางลุกขึ้นจากพื้นตามสัญชาตญาณ
ไป๋หยุนเฟยมองไปยังถังหูลู่ที่หล่นบนพื้นด้านข้างก่อนจะเกาศีรษะอย่างกระดาก เมื่อเหลียวมองรอบข้างจึงเห็นคนขายถังหูลู่อยู่ห่างไปไม่ไกล... เพื่อประจบเอาใจหลิวเมิ่ง จางหยางจึงเรียกคนขายถังหูลู่ติดตามมา ไป๋หยุนเฟยวิ่งเหยาะๆ เข้าไป ก่อนจะหยิบเหรียญทองแดงออกมาให้คนขายด้วยท่าทีคล้ายไม่ยินยอมอยู่บ้าง จากนั้นจึงหยิบถังหูลู่กลับมา
“แม่นาง ข้าชดเชยถังหูลู่ให้แก่ท่านหวังว่าท่านจะให้อภัย ข้าไม่ได้...”
“โครม!” ขณะกล่าววาจา ไป๋หยุนเฟยพลันรู้สึกมีแรงมหาศาลกระทบหว่างเอวด้านซ้าย ก่อนจะตามมาด้วยความเ็ปอย่างสาหัส พร้อมกับที่ทั้งร่างของมันถูกส่งลอยละลิ่วไปอีกด้าน
จางหยางรั้งเท้าขวากลับมาอย่างแช่มช้า มันสั่นระริกไปทั้งร่าง ใบหน้าฉายแววอำมหิตเปี่ยมล้น ไม่เหลือเค้าคุณชายสูงศักดิ์ก่อนหน้าแม้แต่น้อย มันจ้องไป๋หยุนเฟยที่นอนฟุบอยู่บนพื้น ไม่คิดแม้แต่จะปิดบังจิตสังหารเข้มข้นที่ปรากฏในแววตา
“ไอ้คนชั้นต่ำ! เ้าบังอาจล่วงเกินเมิ่งเอ๋อร์ของข้า! เ้า...ข้าจะฆ่าเ้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้