หลี่ฮูหยินประหลาดใจมาก เพราะเหล่าสตรีมีฐานะในเมืองนี้ส่วนมากมักจะสนิทสนมกับนางผู้เป็ภรรยาของหมอหลี่ และแน่นอนว่านางรู้จักวังฮูหยินเป็อย่างดีเช่นกัน
ทั้งพวกนางยังเคยไปเที่ยวดื่มชาด้วยกันในเมืองอยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นนางได้บอกหลี่ฮูหยินมาว่าลูกสะใภ้ของนางสุขภาพดีมาก ทั้งยังหาหมอตำแยมีประสบการณ์มาได้แล้ว ทุกอย่างจึงดูพร้อมมาก!
หมอหลี่เห็นภรรยาดูไม่สบายใจ จึงชี้ไปยังหลินฟู่อินพร้อมอธิบาย “ที่รัก นายหญิงวังเจอกับภาวะคลอดยากน่ะ ส่วนเหตุผลนั้นข้าเองก็บอกไม่ได้ เ้าถามแม่นางหลินเอาเถอะ”
หลี่ฮูหยินได้ยินสามีกล่าวเช่นนี้ สีหน้าก็เผยความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม หันไปมองหลินฟู่อินไม่วางตา และหลินฟู่อินเองก็ปล่อยให้นางมองด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางหลิน เ้าไปทำคลอดให้นายหญิงวังจริงๆ หรือ?” ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
แม้นางจะเห็นมาไม่มาก แต่สตรีทำคลอดที่เด็กที่สุดที่นางเคยพบมาก็มีอายุร่วมสามสิบ การที่บอกว่าหลินฟู่อินผู้อายุเพียงสิบสามสิบสี่ สามารถทำคลอดในงานที่แม้แต่หมอตำแยยังบอกว่ายากได้นั้น ใครกันเล่าที่จะเชื่อ?
“เป็หมอหลี่ที่บอกให้คุณชายหลี่อี้มารับข้าไปพบนายหญิงวังเ้าค่ะ” หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางหลินช่างเก่งกาจนัก…” หลี่ฮูหยินอยากกล่าวชม แต่คิดคำไม่ออก นางจึงหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
หมอหลี่หัวเราะออกมา ด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าภรรยาของตนต้องไม่อยากเชื่อแน่ เพราะในตอนแรกเขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
แต่แม่นางหลินผู้นี้ก็สามารถทำคลอดได้สำเร็จจนออกมาเป็เด็กน้อยสุขภาพแข็งแรง จึงสามารถพาหลินฟู่อินไปแนะนำกับเ้าบ้านวังผู้มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากได้
เมื่อเห็นผู้เป็สามีขยิบตาให้ หลี่ฮูหยินจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเคลือบแคลงนั้นไปทันที เผลอประทับใจหลินฟู่อินขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างซื่อตรง “แม่นางหลินเป็ผู้มีพระคุณของตระกูลวังจริงๆ!” แล้วจึงถามต่อ “ด้วยความสงสัย แม่นางหลินพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใด อยู่ๆ นายหญิงวังถึงมีภาวะคลอดบุตรยากหรือ?”
“เื่ง่ายๆ เลยเ้าค่ะ นายหญิงวังปล่อยตัวมากเกินไปเพราะมีเด็ก จึงเดินน้อยลง เด็กที่โตในท้องจึงมีหัวที่โตเกินควร เป็ผลให้คลอดยาก” หลินฟู่อินอธิบายเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ให้หลี่ฮูหยินฟัง
ความจริงแล้ว แม้แต่ในยุคปัจจุบันเองก็ยังมีปัญหาเื่เด็กตัวโตมากเกินไปเช่นกัน ด้วยความที่นายหญิงวังเป็สะใภ้ของบ้านคนมีเงิน จึงได้ทานอาหารอย่างดีและมีครอบครัวคอยประคบประหงม และคนโบราณนั้นเชื่อกันว่าการออกแรงมากเกินไปจะไม่ดีต่อการให้กำเนิดบุตร รวมๆ กันแล้วจึงกลายเป็เช่นนี้
“เป็เช่นนี้เอง…”หลี่ฮูหยินหันไปมองสามี และจึงได้เห็นว่าเขากำลังมองหลินฟู่อินด้วยความนับถือเป็อย่างมากอยู่
นางรู้อยู่แล้วว่าสามีต้องนับถือสาวน้อยวัยสิบสามสิบสี่คนนี้มากแน่
“เพราะตระกูลวังเป็ห่วงเด็กในท้องของสะใภ้ใหญ่ พวกเขาจึงปรนนิบัตินางอย่างดี แต่นั่นกลับเป็ผลให้นางเกือบตายแทนเสียอย่างนั้น!” หลี่ฮูหยินไตร่ตรองดูแล้วจึงคิดว่ามันก็จริง และทำได้เพียงรู้สึกเศร้า พลางคิดว่าพวกนางคงต้องเรียนรู้จากเื่นี้เอาไว้ให้ดี เผื่อเวลาที่ลูกหลานจะมีบุตรในอนาคต
“เ้าบ้านวังบอกข้ามาด้วยว่าหลานชายนั้นอ้วนท้วน มีน้ำหนักถึงเจ็ดจินเลย!” หมอหลี่คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หลินฟู่อินผู้นี้ใช้วิธีแบบใดถึงได้ทำคลอดให้นายหญิงวังได้อย่างปลอดภัยกันนะ…
แต่เขาจะถามไม่ได้ เพราะนี่อาจเป็วิชาลับของตระกูล มิเช่นนั้นแล้วเด็กสาววัยสิบต้นๆ คงไม่มีทางรู้ได้แน่…
จากนั้นหมอหลี่จึงลุกขึ้นยืน คำนับให้หลินฟู่อิน แล้วกล่าว “แม่นางหลิน เมื่อครู่ข้าไม่ได้ทำการทักทาย ดังนั้นขอให้ข้าทำตรงนี้ แล้วอยากขอรบกวนให้ท่านช่วยวินิจฉัยอาการของภรรยาข้า หากช่วยจ่ายยาให้ด้วยก็จะเป็พระคุณมาก!”
หลินฟู่อินคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร
แต่หลี่ฮูหยินคาดไม่ถึงว่าสามีของนางจะเชิญหลินฟู่อินมาเพื่อวินิจฉัยนางโดยเฉพาะ
นางป่วยเป็โรคที่บอกใครไม่ได้อยู่ เป็โรคที่แม้แต่สามีของนางที่เป็ที่รู้จักกันในฐานะหมอเทวดายังต้องยอมแพ้ ครั้นเมื่อเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ก็มิอาจไปพบหน้าเพื่อวินิจฉัยได้ ได้มาเพียงยารักษาอาการเบื้องต้นที่แม้จะทานมาหลายเดือนแล้วก็แทบไม่มีผลเลยเท่านั้น
และนางก็ไม่กล้าบ่นอะไร เพราะยานี้เป็สิ่งที่สามีของนางได้มาจากพี่เขย ผู้ยอมช่วยเพราะเห็นแก่ความเป็พี่น้อง
นางขออะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว…
และในความจริง หลี่ฮูหยินเองก็ยอมแพ้เื่การรักษาไปแล้ว ในหมู่คนรู้จักนางเองก็มีคนที่มีอาการคล้ายกันอยู่มาก มันไม่ใช่โรคร้ายแรง และสามีของนางก็ทำเต็มที่แล้ว จึงทำได้เพียงอยู่กับความเ็ปไปเท่านั้น แต่ใครจะคิดกันว่าในขณะที่ทุกคนต่างก็ยอมแพ้กันไปหมดแล้ว สามีของนางกลับยังไม่ยอมแพ้?
เช่นนี้แล้วจะอดทนไม่ปลาบปลื้มได้อย่างไรกัน!
หลี่ฮูหยินมองหมอหลี่ด้วยสายตารื้นน้ำ ั์ตาสั่นสะท้าน สีหน้าอ่อนไหว ลืมสิ้นถึงตัวตนของสาวน้อยที่นั่งอยู่ไม่ไกล
เมื่อหมอหลี่เห็นภรรยากำลังจ้องมองตนด้วยสายตาที่ชวนให้นึกถึงสมัยที่นางยังเป็เพียงบุตรีของตระกูลหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน จิตใจของเขาพลันเกิดความอ่อนไหว
เห็นคู่รักวัยกลางคนเช่นนี้แล้ว หลินฟู่อินก็รู้สึกประทับใจขึ้นมา ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วอก
นางยิ้ม มองหลี่ฮูหยิน “หากท่านหมอหลี่เป็ห่วงท่านขนาดนี้ แม้ข้าจะมิได้เชี่ยวชาญนัก แต่ข้าก็คงต้องหาทางรักษาให้ได้เสียแล้วเ้าค่ะ!” ใบหน้าของหมอหลี่เต็มไปด้วยความสุข และหลี่ฮูหยินเองก็มองหลินฟู่อินอย่างมีความหวัง
การวินิจฉัยถูกทำในห้องส่วนตัวของหลี่ฮูหยิน โดยหลินฟู่อินบอกให้นางล้างเครื่องสำอางทิ้งก่อน แล้วจึงตรวจชีพจร ดูสีหน้าและริมฝีปาก
และถามหลี่ฮูหยินในหลายๆ เื่
อย่างไรเสีย หลี่ฮูหยินเองก็เป็ภรรยาของหมอ แม้นางจะอายอยู่บ้าง แต่นางก็ตอบหลินฟู่อินเื่อาการป่วยของนางไปตามตรง
จุดที่ชัดเจนที่สุดคือกลิ่นตัว
นอกจากนั้นก็มีการเป็ตะคริวและเจ็บที่่ล่างของลำตัว เอวไม่มีแรง จิตใจอยู่ไม่สุข ทั้งยังมีอาการเศร้าซึมบ่อยครั้ง
จากการวินิจฉัยของหลินฟู่อิน สรุปได้ว่านี่เป็ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
มันเป็โรคที่แม้ในตอนแรกจะไม่ได้เป็อันตรายมากนัก แต่จะคอยกัดกินร่างของผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ทำให้พลังงานในร่างกายมีน้อยลง และหากปล่อยทิ้งไว้เป็เวลานานก็อาจกลายเป็โรคอันตรายถึงตายได้
ในยุคปัจจุบันมีวิธีรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหลายวิธี แบบที่ก้าวหน้าหน่อยก็ทำโดยการทำกายภาพบำบัดและการใช้ยาปฏิชีวนะ
แต่ในยุคโบราณอย่างต้าเว่ย มีแต่ต้องรักษาด้วยสมุนไพรเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่เื่ง่าย นางจึงต้องใช้เวลาคิดสักหน่อย
ควรจะใช้สูตรยาแบบไหน ที่จะให้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย