เ้าอ้วนนั้นต่างไปจากบรรดาศิษย์หลายคนในสำนักนี้ เพราะตัวเขาใช้ธนูเป็หลัก ทำให้วรยุทธ์ของเขาไม่ค่อยเหมือนใคร!
ทันทีที่เขาขึ้นไปบนเวที ก็เปิดฉากยิงสามดอกซ้อนสุดเท่ทันที!
ในบรรดาลูกศรทั้งสามดอกนั้นมีความเร็วที่ต่างกันออกไป จะมีอยู่ดอกหนึ่งที่มีความซับซ้อนมากกว่าดอกอื่น!
อีกฝ่ายทั้งรู้สึกหวาดกลัวและเหงื่อตก แต่ก็สามารถหลบธนูทั้งสามดอกของเขาได้ในท้ายที่สุด ทว่าก่อนจะทันได้พักหายใจ เ้าอ้วนก็ยิงธนูออกมาอย่างต่อเนื่องอีกสามดอก!
แม้จะสามารถหลบลูกธนูไปได้ดอกหนึ่งอย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังเหลือลูกธนูที่แหลมคมอีกสองดอก ดอกหนึ่งยิงถูกดาบยาวในมือจนกระเด็นออกไป อีกดอกหนึ่งก็ปักเข้าที่ไหล่จนกลายเป็รูเื
การยิงธนูสามดอกซ้อนติดต่อกันสองรอบ ทำให้เ้าอ้วนสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างราบรื่น!
...
หมายเลขแปดพบกับหมายเลขหนึ่งร้อยห้าสิบสาม
หมายเลขแปดก็คือหวังอี้นั่นเอง!
หวังอี้จัดเป็ศิษย์ดาวเด่นในระดับกลางของเขตใต้ ก่อนที่เซียวหลิงอวิ๋นและเยี่ยเฟิงจะผงาดขึ้นมา หวังอี้ จ้าวิเจี้ยน จางอวิ๋น และหลิวิเฉวียนถือเป็ ‘สี่อัจฉริยะ’ ที่มีชื่อเสียงมากในบรรดาศิษย์ที่อยู่ในระดับสี่ถึงหกของเขตใต้!
ทันทีที่เขาขึ้นมาบนเวที หวังอี้ก็ะโอย่างน่ากลัว “หมัดพยัคฆ์เมฆา!” กระโจนขึ้นเหนือจากพื้น ชกใส่คู่ต่อสู้ของเขาทันที!
ตูม!
ศิษย์หมายเลขหนึ่งร้อยห้าสิบสามที่ถูกหมัดนี้ชกใส่ก็กระเด็นลอยไปหลายก้าว!
หวังอี้ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดไม่รอช้า กระบวนหมัดพื้นฐานของสำนักอย่างหมัดพยัคฆ์เมฆาที่เขาใช้กลายเป็อาวุธโจมตีอันทรงพลังที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้! เกิดเป็เงาหมัดนับสิบ ราวกับมีฝูงเสือพากันกระโจนลงจากูเา ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถตอบโต้ได้เลย พ่ายแพ้ภายในเวลาเพียงสิบชั่วอึดใจเท่านั้น!
ที่เ้าหมอนี่ใช้ ก็แค่หมัดพยัคฆ์เมฆาที่พบเห็นได้บ่อยครั้งเท่านั้นแหละ!
จางอวิ๋น หลิวิเฉวียน และจ้าวิเจี้ยนที่อยู่แถวนั้นและยังไม่ได้ขึ้นต่อสู้ ต่างก็กระตุกมุมปากและแอบดูถูกอยู่ในใจ!
จางอวิ๋นและหลิวิเฉวียนที่อยู่ในรอบถัดมาต่างก็ต่อสู้ด้วยความสงบเยือกเย็น ผ่านไปได้อย่างราบรื่น!
ในที่สุดก็เหลือการประลองในรอบนี้อีกเพียงสามคู่เท่านั้น!
หมายเลขสามจ้าวิเจี้ยน หมายเลขสองเยี่ยเฟิง และหมายเลขหนึ่งเซียวหลิงอวิ๋น!
จ้าวิเจี้ยน!
เมื่อเห็นรูปโฉมที่สง่างามราวกับขุนนางบนเวที ดวงตาของเซียวหลิงอวิ๋นก็หดตัวลงเล็กน้อย รอยยิ้มเย็นะเืปรากฏขึ้นที่มุมปาก จ้าวิเจี้ยน แม้เ้าจะรอดจากเงื้อมมือข้าในรอบแพ้คัดออกไปได้ แต่เ้าไม่รอดในรอบสิบคนสุดท้ายแน่! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไม่ฆ่าเ้าให้ตายทันที แต่จะทุบตีเ้าจนกว่ากระดูกและกล้ามเนื้อของเ้าจะแหลกละเอียด ทำให้เ้ากลายเป็คนพิการ ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความเ็ปและเสียใจไปตลอดชีวิต!
จ้าวิเจี้ยนใช้ดาบดาบเช่นเดียวกับหวังอี้ เนื่องจากเขามีสถานะเป็นายน้อยผู้หยิ่งผยองของตระกูลจ้าว จึงไม่เลือกใช้วรยุทธ์อื่นที่ทำให้ตัวเองดูเด่นน้อยลง เลือกใช้เพียงวิชาดาบดาบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสำนักแทน กำจัดคู่ต่อสู้และผ่านเข้ารอบอย่างง่ายดาย!
จากนั้นก็ถึงคราวของเยี่ยเฟิง ผู้สมกับฉายาดาบโลหิต!
ทันทีที่ขยับเคลื่อนไหว เขาก็แทงไปที่มือขวาของอีกฝ่ายด้วยดาบเดียว! ชนะการประลองอย่างใสสะอาด! เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา หากไม่ใช่เพราะกติกาที่ไม่อนุญาตให้สังหารอีกฝ่ายในการประลอง จุดที่ดาบของเขาเพิ่งแทงออกไปเมื่อครู่นี้อาจไม่ใช่ที่มือ แต่เป็คอของอีกฝ่ายแทน!
ในที่สุดก็ถึงคราวของเซียวหลิงอวิ๋น คู่ต่อสู้ของเขาก็เป็ถึงนักยุทธ์ระดับห้าเช่นกัน
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซียวหลิงอวิ๋น สุดยอดอัจฉริยะที่ปรากฏตัวในรอบหมื่นปี คู่ต่อสู้ของเขามีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ดาบในมือก็ยังสั่นเล็กน้อยด้วย!
อาการสั่นก่อนที่จะได้ต่อสู้เช่นนี้! ถือเป็ข้อห้ามของนักยุทธ์!
ไม่ว่าจะเป็นักยุทธ์หรือผู้ใช้พลังิญญา หากไม่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย หรือปราศจากความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้แน่แล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีวันประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่!
เมื่อมองดูอีกฝ่ายที่หวาดกลัวตรงหน้า เซียวหลิงอวิ๋นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกและส่ายหัว!
เมื่อกรรมการะโว่า “เริ่มสู้ได้!”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็กัดฟันและรีบวิ่งมาข้างหน้า ดาบที่เขาจับแน่นอยู่ในมือวาดโค้งและฟันลงไปที่เซียวหลิงอวิ๋น!
หมอนี่!
แค่กระบวนดาบง่ายๆ แต่กลับมีจุดบกพร่องถึงห้าจุด! เซียวหลิงอวิ๋นส่ายหน้าอย่างเงียบๆ ในใจอีกครั้ง เขาขยับตัวพลางเหยียดมือขวาออกไป ดาบใหญ่เหล็กดำเปล่งแสงสีรุ้งออกมาและวาดเป็แนวโค้ง เพียงฟาดเบาๆ ออกไป เด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกได้ถึงอาการเจ็บที่ข้อมือ ก่อนที่ดาบในมือเขาจะกระเด็นออกไป!
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเซียวหลิงอวิ๋นมองไปยังมือขวาที่ว่างเปล่าของตนอยู่เป็เวลานาน จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้านข้างด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความอับอาย รีบไปหยิบดาบของตัวเองขึ้นมา แล้วออกจากสนามประลอง หายตัวลับไปในกลุ่มฝูงชน!
เซียวหลิงอวิ๋นก็เช่นเดียวกับเยี่ยเฟิง ทั้งคู่ต่างผ่านไปยังรอบต่อไปด้วยกระบวนท่าเดียว!
หากไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ ก็คงจะไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ! ทว่าการที่สุดยอดอัจฉริยะผู้คว้าอันดับหนึ่งและสองในการทดสอบขั้นที่สองมาได้ ต่างก็หลีกไม่พ้นถูกทุกคนจับตามองและเปรียบเทียบ! ซึ่งผลก็คือมีความต่างกันอย่างมากเสียด้วย!
เนื่องจากเขาสามารถผ่านไปสู่รอบถัดไปได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ทำร้ายคู่ต่อสู้ของตัวเองเลย ทำให้ภาพลักษณ์ของเซียวหลิงอวิ๋นในใจของศิษย์หลายคนเพิ่มสูงขึ้นไปอีกระดับ!
ไม่มีใครชอบที่ถูกดาบแทง หรือพ่ายแพ้โดยสหายร่วมสำนักในการประลองหรอก
เมื่อได้ยินชื่อของเซียวหลิงอวิ๋นดังขึ้นจากในกลุ่มฝูงชน สีหน้าอันเย็นะเืของเยี่ยเฟิงก็ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งขึ้นไปอีก! ความชั่วร้ายแวบผ่านขึ้นมาจากส่วนลึกในดวงตา!
ใน่บ่ายการประลองแบบแพ้คัดออกจากแปดสิบคนเหลือสี่สิบคนก็ดำเนินต่อไป
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมาได้ พานเสี่ยวปิงก็เข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ!
หวังอี้ จางอวิ๋น หลิวิเฉวียน จ้าวิเจี้ยน และศิษย์ดาวเด่นคนอื่นๆ ล้วนผ่านไปสู่รอบถัดไปได้อย่างง่ายดาย!
เยี่ยเฟิงยังคงเจาะมือขวาคู่ต่อสู้ของเขาด้วยดาบเดียวเช่นเคย รักษาสถิติการผ่านไปยังรอบถัดไปที่รวดเร็วที่สุด
ทางด้านเซียวหลิงอวิ๋นเองก็เผยวิชาก้าวลวงิญญา! บุกตะลุยเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคู่ต่อสู้! พร้อมกันนั้นมือขวาของเขาก็รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ชิงเอาดาบยาวมาจากมือของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็เบี่ยงไหล่พลางส่งแรงผลักออกไปเบาๆ ผลักให้คู่ต่อสู้กระเด็นตกจากเวทีในทันที
แล้วผ่านเข้ารอบไปโดยไร้ซึ่งการนองเือีกครั้ง!
ในวันที่สองของงานประลองรอบแพ้คัดออก จากสี่สิบคนเหลือยี่สิบคนสุดท้าย เซียวหลิงอวิ๋นรู้สึกยินดีมากกับผลงานอันน่าทึ่งของเ้าอ้วนพานเสี่ยวปิงที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกครั้ง และผ่านเข้าสู่รอบยี่สิบคนสุดท้ายได้ในคราวเดียว
ยิ่งการประลองผ่านเข้าสู่รอบลึกเท่าไร ศิษย์ที่เหลือก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ช่องว่างความต่างของพลังระหว่างทั้งสองฝ่ายก็หดเล็กลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน ทำให้ระดับความน่าสนุกเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย!
เซียวหลิงอวิ๋น เยี่ยเฟิง หวังอี้ และเหล่าศิษย์ที่ทรงพลังทั้งหลายต่างก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพลิกสถานการณ์แม้แต่น้อย พวกเขาต่างก็ยังคงรักษาแรงกดดันไว้ได้ ผ่านไปสู่รอบถัดไปด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าสู่รอบยี่สิบคนสุดท้ายทีละคน!
จนกระทั่งตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น!
รอบการประลองจากยี่สิบคนเหลือสิบคนสุดท้ายนี้ คู่ต่อสู้ของเซียวหลิงอวิ๋นเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูบอบบางมากเมื่อมองจากภายนอก!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่ทั้งน่ารัก ตัวเล็ก และดูบอบบาง เซียวหลิงอวิ๋นไม่ได้เปิดฉากการโจมตีในทันทีแต่อย่างใด ปล่อยให้อีกฝ่ายได้โชว์กระบวนดาบของตัวเองจนพึงพอใจเสียก่อน!
ในขณะใช้วิชาก้าวลวงิญญาเพื่อหลบหลีกอยู่นี้ เขาก็หลอกล่อให้อีกฝ่ายรีดเร้นวิชาดาบของตัวเองจนถึงขีดสุด จากนั้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาออกแรงดีดนิ้วใส่ดาบของอีกฝ่ายทันที!
“แกร๊ง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา!
สาวน้อยแทบจับดาบของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ทำให้กระบวนโจมตีของนางพังลงไม่เป็ท่าทันที!
สาวน้อยรับรู้ได้โดยปริยายว่านี่คือความเมตตาจากเซียวหลิงอวิ๋น และที่ทำให้นางประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือการที่กระบวนดาบของนางสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและคล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิมภายใต้การชี้นำของอีกฝ่าย แทบเรียกได้ว่าเป็การชี้แนะทีละขั้นตอนเลยก็ว่าได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบอาจารย์และศิษย์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็สอนให้นางเข้าถึงวิชาดาบได้ดียิ่งขึ้น!
นางจับดาบของตัวเองให้มั่น พลิกปลายดาบชี้ลงพื้น ก่อนจะทำมือคารวะเซียวหลิงอวิ๋นด้วยความเคารพ พูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ: “ขอบคุณศิษย์พี่มากเ้าค่ะ!”
บนอัฒจันทร์ เหล่าผู้าุโทุกคนต่างก็พากันพยักหน้า!
“ช่างเป็วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม สามารถเคลื่อนที่ไปในระยะสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมที่พัดผ่านต้นหลิว หรือไม่ก็แมวที่ย่องเผาอยู่ในป่า แม้แต่นักยุทธ์ระดับเก้าเองยังมีเพียงไม่กี่รายที่สามารถใช้วิชาตัวเบาเช่นนี้ ผู้าุโเมิ่ง วิชาตัวเบาที่เซียวหลิงอวิ๋นใช้คือเคล็ดวิชาอะไรรึ?” ผู้าุโคนหนึ่งพูดกับผู้าุโผู้ดูแลหอวรยุทธ์ของสำนัก!
“ข้าไม่รู้เลย!”
“ไม่รู้หรือ? เขาไม่ได้ร่ำเรียนมาจากหอวรยุทธ์ของเ้าหรอกหรือ?”
“ไม่ใช่!” ผู้าุโเมิ่งตอบห้วนๆ ด้วยความมั่นใจ!
บุตรแห่ง์! บนริมฝีปากของชายชราที่อยู่ตรงกลางปรากฏรอยยิ้ม!
ดวงตาของผู้าุโจ้าวเองก็เป็ประกาย: ช่างเป็เด็กที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งจะโดดเด่นแล้ว นิสัยใจคอของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำที่สามารถเอาชนะใจผู้คนนั่นยังไม่เป็รองใคร! ดูนั่นสิ ดูนั่น เหล่าเด็กสาวข้างล่างต่างก็จ้องมองไปที่เ้าหนุ่มด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายไฟและเต็มไปด้วยความเสน่หา!
เหตุใดในตอนนั้นข้าถึงไม่มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้บ้างนะ? ไม่อย่างนั้น ข้าคงไม่ถูกผลักไสมายังสถานที่เช่นนี้ ไม่สิ ไม่ใช่ เป็เพราะข้ามาอยู่ที่นี่ต่างหากถึงพลอยได้รับโชค ได้พบเ้าหนุ่มหลิงอวิ๋น และได้ตำรับยาโบราณมาตั้งสามสูตร ทำให้ข้ามีเงินทุนมากกว่าตอนอยู่ที่สำนักหลักอีก ฮ่าๆ สงสัยจะจริงอย่างคำโบราณว่า เฒ่าไซเสียม้า ดีหรือร้ายใครจะรู้ได้[1]!
------------------------------------------------------
[1] เฒ่าไซเสียม้า ดีหรือร้ายใครจะรู้ได้ (塞翁失马 焉知非福) หมายความว่า เื่ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ เราอย่าไปตัดสินเด็ดขาดว่าเป็เื่ดีหรือร้าย เพราะทุกๆ เื่ก็อาจกลายเป็เื่ดีหรือร้ายได้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือเวลา ในตอนนี้เราอาจมองว่ามันเป็เื่แย่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันอาจจะกลายเป็เื่ดีทีหลังก็ได้
