นางนึกถึงถ้อยคำบอกเล่าของท่านลุงบังคับเกวียนผู้นั้น ต้นเกล็ดัต้นหนึ่งนำไปประมูล ยังเคาะราคาได้สูงลิบลิ่วถึงร้อยตำลึง ก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่ง
ราคาของต้นอวี๋คูไม่รู้ว่าจะสูงกว่าต้นเกล็ดัเท่าไร แต่ก็น่าจะสูงกว่าหลายเท่า
ถ้าหากขายได้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการเซ้งร้านและซื้อเครื่องเรือนก็ไม่เป็ปัญหาแล้ว ยังเหลือเงินอีกก้อนใหญ่เพียงพอให้นางกับน้องชายใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งสุขสบาย
นางแบกกระบุงขึ้นหลังแล้วปีนลงไปตามแนวหน้าผาอีกครั้ง ประหยัดเวลากว่าตอนปีนขึ้นมาเกินเท่าตัว
เมื่อเดินไปถึงแปลงสมุนไพรที่ตนเองปลูกไว้ ิเป่าจูก็หยุดพัก
หลังจากครุ่นคิด ก็นั่งยองลงแล้วเลือกต้นตี้สือที่กำลังงอกงามดียิ่งขึ้นมาต้นหนึ่ง
แม้ว่าชื่อของมันจะไม่สะดุดหู แต่ก็เป็สมุนไพรที่มีสรรพคุณของล้ำเลิศ สามารถสร้างเม็ดเืขึ้นมาใหม่ได้ เป็ยาดีสำหรับรักษาโรคโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเืขาว ซึ่งเป็โจทย์ยากสำหรับการแพทย์ในยุคสมัยนี้ ยากยิ่งนักที่จะพบเจอสักต้น
ต้นอวี๋คูกล่าวได้ว่าเป็ของล้ำค่าที่ควรค่าแก่การเป็มรดกตกทอด เกรงว่าในโลกนี้จะเหลือเพียงแค่ต้นนี้เพียงต้นเดียวเท่านั้น ต่อให้นำไปประมูลก็อาจไม่มีใครรู้จัก ขายไม่ได้ราคาที่ตรงกับใจของนาง
ยิ่งไปกว่านั้นสรรพคุณทางยาของมันก็มีแต่บทความในตำรา ยังไม่มีการทดลองใดๆ มาพิสูจน์ได้ ทุกอย่างจึงยังมิได้รับการยืนยัน
หากเลือกสมุนไพรที่มีทั้งประสิทธิภาพและเป็ที่รู้จักมาแทน แม้ราคาจะสูงเทียบต้นเกล็ดัไม่ได้ แต่มิใช่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างแน่นอน
หลังจากปลูกต้นอวี๋คูในสวนพร้อมกับสมุนไพรอื่นๆ และกำชับหลี่ไหวฺอวี้กับน้องชายให้ดูแลอย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว ิเป่าจูก็นำต้นตี้สือออกจากบ้านเข้าไปในเมือง
อารมณ์ของนางตึงเครียดมาตลอดทาง ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เปิดหูเปิดตาว่าการประมูลเป็เช่นไร
“เถ้าแก่รบกวนถามหน่อย ท่านทราบหรือไม่ว่า... เอ่อ หอหมื่นสมบัติไปทางใด” นางจำได้ว่าท่านลุงผู้บังคับเกวียนเคยเอ่ยถึงชื่อนี้
เมื่อมาถึงในเมืองก็ไปถามกับร้านค้าข้างทาง ถึงแม้ว่าจะมาหลายหนแล้ว แต่นางยังไม่เคยได้ยินเื่หอประมูลจริงๆ
“แม่หนูคงมาจากหมู่บ้านสินะ นั่น เดินตามถนนสายนี้ไปทางทิศใต้...”
เถ้าแก่เห็นิเป่าจูผ่ายผอมตัวเล็กนิดเดียว จึงปฏิบัติต่อนางเหมือนเด็กอายุไม่กี่ขวบ ยังหวังดีชี้บอกทางให้อย่างละเอียด
“ว่าแต่ เ้าจะไปหอหมื่นสมบัติทำไมหรือ” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงระหว่างเด็กผู้หญิงเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งตรงหน้ากับหอประมูลเข้าหากันได้เลย
“ได้ยินผู้าุโในหมู่บ้านบอกว่าที่นั่นคึกคักยิ่ง ก็เลยอยากไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ขอบคุณท่านอามากเ้าค่ะ”
ิเป่าจูตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ หลังกล่าวขอบคุณก็ะโโลดเต้นวิ่งจากไป
พอเดินไปถึงหัวมุมทางเลี้ยว ก็ตัวสั่นขนลุกเกรียวอย่างอดไม่ไหว จิติญญาของนางเป็สตรีที่เป็ผู้ใหญ่แท้ๆ กลับต้องแสร้งทำไร้เดียงสา ชวนให้ขนลุกขนพองยิ่งนัก
หอหมื่นสมบัติเป็หอประมูลของล้ำค่าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เป็สถานที่ที่ขุนนางระดับสูงกับเหล่าพ่อค้าคหบดีมักแวะเวียนมาบ่อยครั้ง เป็อาคารสูงสองชั้น ตั้งอยู่ในที่ดินย่านใจกลางเมือง ทั้งหรูหราและดูโอ่โถง
ที่หน้าประตูมีป้ายไม้ตั้งอยู่ ติดประกาศแจ้งประเด็นสำคัญอยู่สองเื่
ผู้ที่จะนำสินค้ามาประมูลจะต้องติดต่อหอหมื่นสมบัติล่วงหน้าก่อนอย่างน้อยสามวัน จะมีผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการประเมินราคา หากตรงตามข้อกำหนดของหอประมูล ก็จะมีการประมูลในอีกสองวันถัดไป ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะมีการประชาสัมพันธ์ออกไป
ส่วนอีกเื่ก็คือเมื่อมีการแจ้งข่าวว่าการประมูลกำลังจะเริ่มต้น ทั้งแขกที่ได้รับเชิญและผู้นำของเข้าประมูลจะต้องเข้าสู่สถานที่ประมูลล่วงหน้า
ิเป่าจูเลิกคิ้ว หลังจากอ่านกฎระเบียบชัดเจนแล้ว ก็ยกกระบุงสะพายหลังแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป แต่พอเท้าข้างหนึ่งแตะที่ธรณีประตู กลับถูกคนขวางไว้
“นี่ นี่ ออกไป ออกไป ดูให้ชัด นี่ใช่สถานที่ที่เ้าจะเข้าไปได้หรือ”
ชายร่างกำยำสองคนเดินเข้ามาขวางที่ประตู หนึ่งในนั้นคว้าคอเสื้อด้านหลังของิเป่าจูด้วยมือข้างเดียวแล้วโยนนางลงไปจากบันได
“ก็เห็นเปิดทำการค้าอยู่มิใช่หรือ ไยจึงเข้าไปไม่ได้”
ิเป่าจูลุกขึ้นยืน ไม่นำพาว่าตัวจะเลอะฝุ่นหรือไม่ รีบถอดกระบุงสะพายหลังลงมาแล้วตรวจสอบต้นตี้สือในนั้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เคราะห์ดีที่ไม่เสียหาย
นางตั้งหลักไม่ดีถูกโยนออกมา จึงล้มลงมานั่งกับพื้น
ขณะที่กำลังจะล้มลง กลับไม่ลืมว่ามีของรักของหวงอยู่บนหลัง จึงเพียรฝืนควบคุมตนเองให้เอียงมาด้านข้างแทนที่จะล้มหงายหลัง
“เ้าพูดมาก็ถูก ว่าเปิดทำการค้าอยู่ แต่จงมองดูให้ชัด ที่นี่คือหอหมื่นสมบัติ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้”
เมื่อเห็นิเป่าจูในสภาพโกโรโกโส ชายทั้งสองคนต่างก็หัวเราะเสียงดัง หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว คนที่อยู่ด้านซ้ายก็แยกเขี้ยวตะคอกใส่นางราวกับสุนัขดุร้าย
“ที่นี่ไม่ใช่หอประมูลหรือไร ข้ามีของมาขาย” ิเป่าจูเชิดหน้าดวงน้อยขึ้นมา รูปร่างเล็กจ้อยไม่มีสิ่งใดน่ามองเมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสองคน
“อย่างเ้านี่นะ?”
ชายร่างใหญ่ตกตะลึง มองสำรวจิเป่าจูั้แ่หัวจรดเท้า ขณะที่แน่ใจว่านางไม่น่าจะมีของมีค่ากับตัว ดวงตาก็เผยแววเยาะหยัน “รีบไป รีบไป ที่นี่ไม่ต้อนรับขอทาน”
“มีอะไรกัน โหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าประตู ไม่กลัวจะรบกวนแขกด้านในเลยรึ ข้าว่าพวกเ้าคงไม่อยากทำงานแล้วกระมัง”
เวลานี้ มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เขาแต่งตัวด้วยอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม ท่วงท่าดูสง่างามเฉกเช่นปัญญาชน แต่ฝีปากกลับเฉียบคมร้ายกาจยิ่งกว่าบุรุษร่างใหญ่สองคนนั้น
เพียงเห็นคนผู้นี้ พวกเขาสองคนก็สำรวมกิริยาทำตัวว่าง่ายในทันควัน ทั้งยังเปลี่ยนสีหน้า ท่าทางก็นอบน้อมเชื่อฟัง
“ผู้ดูแลซ่ง พวกเราไหนเลยจะกล้า เื่เป็เช่นนี้ขอรับ...” ทั้งสองต่างผลัดกันอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
“เ้ามีสินค้ามาขาย?” ชายหนุ่มเงยหน้ามองไป ิเป่าจูจึงเห็นดวงตาที่เฉียบคมคู่นั้น
“ใช่” คำตอบหนักแน่นตรงไปตรงมา ไม่เงอะงะเหลาะแหละ
“ตามข้าเข้ามาเถอะ” บุรุษสะบัดเสื้อคลุมเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเข้าไป
“ผู้ดูแลซ่ง...นี่...” ชายร่างใหญ่สีหน้าตกตะลึง เมื่อก่อนถ้าพบคนลักษณะเช่นนี้ล้วนมีคำสั่งให้พวกเขาไล่ออกไป แต่ไฉนวันนี้ถึงมีการยกเว้น ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องกระมัง
“ฮึ” ิเป่าจูรีบตามเข้าไป แต่ก่อนที่จะพ้นประตูนางก็หันมาทำตาขวางใส่คนสองคนที่ยังตะลึงพรึงเพริดอยู่ที่ประตู
หลังจากเข้ามาข้างใน ถึงนับว่าได้เปิดหูเปิดตากับหอประมูลอย่างแท้จริง สถานที่โอ่อ่ากว้างขวาง หรูหราสง่างาม
ชายหนุ่มพานางเดินไปทางห้องโถงของเรือนด้านหลัง ระหว่างทางก็แนะนำตนเอง “ข้าชื่อซ่งอี้ เป็ผู้ดูแลหอหมื่นสมบัติ”
ิเป่าจูถึงรู้ว่าเขาไม่เพียงแต่เป็หัวหน้าของบ่าวรับใช้ แต่ยังเป็ผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างในหอหมื่นสมบัติ เทียบได้กับเ้านายคนหนึ่ง
“โจวเหล่า มาทำงานได้แล้ว” เมื่อซ่งอี้เดินไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่เรือนหลังก็หยุด แล้วเคาะประตูเรียกอย่างมีมารยาท พอได้ยินเสียงตอบกลับมา ถึงจะผลักประตูเข้าไป
ในห้องมีชายชราอยู่คนหนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะพอๆ กับเถ้าแก่หวัง ในมือถือเครื่องลายครามที่มีลวดลายประณีตงดงามชิ้นหนึ่งอยู่ ไม่มีท่าทีตอบสนองอันใดกับคนสองคนที่เข้ามาในห้อง
“กล้าดีอย่างไรถึงส่งของห่วยๆ พรรค์นี้มาที่นี่” ชายชรายกมือขว้างสิ่งของที่ดูเหมือนจะมีราคาค่างวดอยู่ไม่น้อยลงพื้นแตกกระจาย ปากก็ก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด
ของแตกเป็เสี่ยงๆ อยู่ข้างเท้าของทั้งสองคน ิเป่าจูสะดุ้งโหยงใกับการกระทำที่หุนหันพลันแล่นนี้
แต่ซ่งอี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่ก้าวถอยไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วทำเหมือนว่าเคยชินกับมันแล้ว
“โจวเหล่า นี่มัดขัดต่อระเบียบ” เขาประสานสองมือไว้เบื้องหน้า กวาดตามองเศษซากแตกหักบนพื้น ก่อนถอนหายใจและเอ่ยด้วยความจนใจ
“อย่าเอาระเบียบมาขู่ข้าเสียให้ยาก ของห่วยแตกเยี่ยงนี้ยังกล้าแอบอ้างว่าเป็ผลงานชิ้นเอกของปรมาจารย์เฉาฟาน ที่แตกไปแล้วชดใช้ให้สิบเหวินก็ยังมากไปด้วยซ้ำ”
ชายชราดูโกรธจัด ไฟโทสะท่วมลุกสามจั้ง เป่าหนวดเคราถลึงตาอย่างเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำ
แม้จะเป็ของเลียนแบบ แต่ด้วยฝีมือและการเคลือบสีก็น่าจะเกินสิบตำลึง แต่กลับถูกชายชราที่ชื่อว่าโจวเหล่าบอกว่าจะชดใช้แค่สิบเหวิน
