หนิงอ้ายเกือบลืมไปเเล้วว่าโลกยุทธภพนี้นอกจากจะเเบ่งการปกครองดูเเลเป็เมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูเเลของเเต่ละแคว้นในมหาทวีปทั้งหกแห่งนี้เเล้ว ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็ผู้ฝึกตนชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ตั้งรกรากอาศัยกันมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ซึ่งเป็พื้นที่ราบลุ่มหรือพื้นที่ติดเเม่น้ำสายใหญ่เกือบทั้งหมด
ตามแนวเทือกเขาสูงหรือตามมหาพงไพรต่าง ๆ ล้วนเป็ถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรกันทั้งสิ้น ได้เเบ่งเขตการปกครองไปไม่ต่างจากเมืองผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังคงยึดตามหลักของธรรมชาติที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะอยู่รอดถือได้ว่าเป็การคัดสรรจากธรรมชาติอย่างเเท้จริง
ยังเชื่อกันว่าตรงพื้นที่สุดชายแดนทางใต้เป็ที่อยู่อาศัยของเหล่าปีศาจอสูรชั้นต่ำ เหล่าหมู่มารระดับสูง ได้มีบันทึกเอาไว้ว่าในครั้งอดีตกาลตั้งเเต่ยุคเเรกเริ่ม ว่าในครั้งนั้นผู้ฝึกตนและเหล่ามารปีศาจต่างได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกปรองดอง เเต่ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมจึงหล่อหลอมให้เหล่ามารปีศาจได้เสพติดการฆ่าฟันเป็อย่างมาก
แม้ว่าใน่เเรกจะเป็เพียงการสังหารเหล่าสัตว์อสูรเพื่อนำมาเป็อาหารหรือการต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตปกครองก็จริง เเต่ใน่หลังเหล่ามารปีศาจต่างเริ่มที่จะเข่นฆ่าผู้ฝึกตนอย่างลับๆ เพราะมีความเชื่อจากผู้นำมารระดับสูงสุดว่าเืและร่างกายของผู้ฝึกตนที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณจะสามารถเพิ่มขีดจำกัดในด้านต่างๆ มากกว่าสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งร่างกายของผู้ฝึกตนที่ผ่านการเคี่ยวกรำอย่างยิ่งยวดในเเต่ละครั้งที่เลื่อนตัดผ่านระดับต่อไป หากเป็ผู้ฝึกตนระดับสูงมากเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของพลังิญญาย่อมทวีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
่เเรกเหล่าผู้ฝึกตนยังไม่ได้ระแคะระคายในความผิดปกติส่วนนี้ เนื่องจากเหล่ารุ่นเยาว์ชายหญิงมากฝีมือหรือบรรดาผู้าุโประจำตระกูลที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับในการออกท่องยุทธภพหรือออกไปทำภารกิจต่าง ๆ ล้วนมีความเป็ได้ที่ว่าอาจจะตกตายไปด้วยเพราะความลึกลับในมหาพงไพรที่ได้ย่างกรายเข้าไปหรือระหว่างทางอาจจะโชคร้ายได้พบกับเหล่าสัตว์อสูรระดับสูง ทุกคนต่างรับรู้โดยทั่วกันว่าหากเทียบในเขตขั้นเดียวกันของระดับพลังิญญาเเล้วความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรย่อมเหนือกว่าผู้ฝึกตนไปถึงหนึ่งขั้น ดังนั้นเเล้วเหตุการณ์สูญเสียเช่นนี้หากมองด้วยความเป็กลางเเล้วย่อมสามารถเป็ไปได้เช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานข่าวคราวที่ว่าได้มีสัตว์อสูรออกอาละวาดในเขตเมืองพื้นที่อาศัยของผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาตามแนวรอยต่อของชายแดนต่าง ๆ เป็ที่น่าผิดสังเกต เมื่อมีสืบค้นความผิดปกตินี้ก็ได้พบว่าเหล่าสัตว์อสูรเหล่านี้คล้ายกับว่าได้มีบางสิ่งอย่างกระตุ้นจนมีความแตกตื่นไร้สติเช่นนี้เป็ที่น่าสงสัยยิ่ง
นอกจากนั้นเเล้วผู้ฝึกตนชายหญิงที่มีการแจ้งยืนยันตันตนก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเป็จำนวนที่มากขึ้นเป็อย่างมาก สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความหวาดกลัวและเป็ปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวด้วยเพราะบรรดาผู้ที่สูญหายไปส่วนหนึ่งนั้นเป็ถึงเหล่าบรรดาสุดยอดรุ่นเยาว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพร์อย่างเเท้จริงที่ทางตระกูลสังกัดเ่าั้ต้องทุ่มเททรัพยากรไปเป็อย่างมาก
ใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นได้ อีกทั้งมีไม่น้อยเช่นกันที่มีตัวตนระดับสูงที่เป็เชื้อสายราชวงศ์ปกครองของเเต่ละแคว้น บ้างก็เป็ศิษย์อันดับต้นๆ ของสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียง บ้างก็เป็ตัวตนระดับสูงที่มีความสำคัญเป็อย่างมาก ยิ่งได้สืบลึกลงไปก็ได้พบว่าบรรดาผู้ที่หายตัวไปตลอดหลายสิบปีนี้เป็ฝีมือของเหล่ามารปีศาจทั้งสิ้น
ทว่าเื่ราวของพิธีกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนชวนให้ขนลุกนั่นคือเหล่ามารปีศาจพวกนี้หลังจากที่ได้มีการจับตัวผู้ฝึกตนที่้ามาได้จะยังไม่ได้ทำการสังหารโดยทันทีเพราะต้องมีการเสพสังวาสถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รับพลังปราณบริสุทธิ์ต้นกำเนิดมาจนหมดสิ้นเมื่อครบตามกำหนดวันผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งสติความนึกคิดก่อนที่จะถูกส่งตัวเข้าพิธีกรรมขั้นตอนต่อไป
ถึงยังลานกว้างพิธีกรรมนั้น ฟังว่าจะเป็การสะกดจิติญญาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตนี้ไว้ในการเพิ่มระดับพลังในขั้นที่สูงขึ้น จากนั้นร่างกายที่ไร้ซึ่งจิติญญาและพลังิญญานี้ปีศาจระดับต่ำจะเข้ามารุมกัดกินไปหมดทั้งสิ้น เพราะร่างกายของผู้ฝึกตนมีรสชาติที่ดีกว่าสัตว์อสูรทั่วไปเป็อย่างมาก สามารถเพิ่มระดับพลังได้เช่นกันแม้จะต้องใช้ปริมาณรวมไปถึงระยะเวลาที่มากกว่าก็ตาม
เมื่อได้มีการถามไถ่ถึงเหตุผลในการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้ เเต่ทางฝั่งของประมุขมารก็ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งที่มีหลักฐานที่เเน่นหนา สิ่งนี้จึงทำให้บรรดาผู้ที่สูญเสียต่างไม่พอใจเป็อย่างยิ่งและออกมาเรียกร้องหาความยุติธรรมในเื่นี้
ท้ายที่สุดแล้วมหาาครั้งใหญ่ที่สุดก็ได้เกิดขึ้นซึ่งกินเวลาเนิ่นนานหลายสิบปี ผลสรุปท้ายที่สุดนั่นคือการเสียสละชีวิตของผู้นำสูงสุดทั้งหกคนของเหล่าผู้ฝึกตนที่ตั้งใจผนึกผู้นำปีศาจให้หลับไหลไปชั่วกัปชั่วกัลป์ภายในมหาบรรพตลูกหนึ่ง ก่อนที่จะเรียกใช้ิญญายุทธ์ต้นกำเนิดสังเวยเป็มหาค่ายกลเวทย์บทหนึ่งที่ไม่ธรรมดาสามัญ ด้วยเพราะระดับตัวตนของเทพาถึงหกคนที่ร่วมใจในครั้งนี้จึงทำให้มีความเเข็งแกร่งเป็อย่างมาก
เมื่อจบสิ้นมหาาในครั้งนั้น บรรดาเหล่ามารรวมไปถึงพวกปีศาจได้ถูกขับไล่ลงไปทางทิศใต้ซึ่งว่ากันว่าเป็พื้นที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและความชั่วร้ายที่กัดกินพลังชีวิต ด้วยอำนาจของมหาค่ายกลได้ส่งผลให้ไม่สามารถก้าวล้ำเข้ามายังเขตแดนของเหล่าผู้ฝึกตนได้ตั้งเเต่นั้นสืบมาจนถึงทุกวันนี้...
เเต่หนิงอ้ายเชื่อว่าหากเปรียบเทียบกันเเล้วเหล่ามารปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพวกคนชั่วเลวทรามในโลกเดิมของเขาสักเท่าไหร่นักที่สามารถพลิกลิ้นกลับดำเป็ขาวได้อย่างง่ายดาย อย่าลืมว่าเหล่ามารปีศาจยิ่งได้ดูดกลืนพลังชีวิตเหล่านี้ไปมากเท่าใดเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่าพันธ์ก็จะถูกเเทนที่ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์ผู้ฝึกตนที่ยากจะแยกออกได้โดยง่าย
หากว่าไม่ได้มีิญญายุทธ์ เฉพาะสายตรวจจับหรือญาณััอันลึกล้ำที่สืบทอดจากทางสายเืระดับสูง ดังนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ย่อมมีเหล่ามารปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในเส้นเเบ่งนี้อยู่ไม่น้อยเป็แน่ การหายตัวไปของเหล่าผู้ฝึกตนใน่หลายปีมานี้ย่อมเป็ไปได้ที่จะเป็ไปตามอดีตที่เคยเกิดขึ้น
"ข้าก็คิดว่าเป็เช่นนั้น เเต่ยังไม่สามารถสืบค้นเื้ัได้มากนักในยามนี้..." เฟยหลงตอบกลับไป
"เป็ไปได้ว่าอาจจะเป็กลุ่มมารปีศาจที่ยังเหลือรอดจากมหาาในครั้งนั้นก็เป็ไปได้ หากให้ข้าคาดเดาเเล้วย่อมมีพวกเราผู้ฝึกตนที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เป็แน่ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด
"อาจารย์ของเ้าและเจียงเฉิง เอ่อ...ท่านเ้าสำนักกำลังคิดค้นโอสถที่สามารถคืนสติให้กับเหล่าศิษย์พวกนี้เพราะหากพวกเขาฟื้นขึ้นก็จะสามารถให้เบาะเเสเพิ่มเติมกับเราได้ เเต่ทว่าอาการของพวกเขานั้นมีความแตกต่างจากเื่ราวที่ได้บันทึกไปมากจึงยังไม่สามารถปักใจว่าเป็ฝีมือของพวกมารปีศาจหรือไม่??" เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย่างติดขัดก่อนที่จะเอ่ยจบประโยคอย่างไหลรื่นเช่นเดิมราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นซึ่งหนิงอ้ายก็ไม่ได้สังเกตในจุดนี้เนื่องจากกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง
"ท่านไม่ต้องกังวล ข้าโดนมัดมือชกให้รับรู้เื่ราวนี้จากท่านแล้วจะหาทางช่วยตามสืบเื่ราวเหล่านี้ให้เเล้วกัน..." หนิงอ้ายเอ่ยก่อนที่จะถอนหายใจออกมา เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตใหม่นี้ที่้าใช้ชีวิตง่าย ๆ เเต่ในตอนนี้ถือว่าผิดแผนที่วางไว้ไปมากเลยทีเดียว
"ขอบใจเ้ามากในเื่นี้ เเต่ถึงอย่างไรต้องคิดถึงความปลอดภัยของเ้ามามาเป็อย่างเเรกเข้าใจหรือไม่อย่าได้ผลีผามทำอะไรที่เกินกำลังเล่า" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับหัวของหนิงอ้ายโยกเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหมั่นเขี้ยวอยู่ไม่น้อย ยอมรับว่าเขาชื่นชอบที่ร่างบางเเสดงหลากหลายอารมณ์ให้เห็นเช่นนี้ เพราะย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้เว้นระยะให้กับตนเหมือนกับทั่วไป
"อย่ามาทำเหมือนกับว่าข้าเป็เด็กน้อยเช่นนี้นะ!! ความจริงเเล้วข้ามี...ช่างเถอะ!!นี่ก็ดึกมากเเล้ว ใจคอจะไม่กลับไปเรือนพักของตนหรืออย่างไร?" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับปัดมือหนาออกไป ยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมากที่เขายอมให้อีกฝ่ายเข้าถึงตัวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
"ถ้าหากเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยไม่รังเกียจและยินยอมให้ข้านอนกับ..." เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางราวกับหนุ่มเ้าสำราญ เเต่ยังไม่ทันเอ่ยจบนั้นก็มีเสียงจากร่างบางเอ่ยขัดขึ้น
"หากท่านฝันอยู่ก็ตื่นเสียเถอะ!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับดันตัวร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายไปทางหน้าต่างที่ถูกเปิดอยู่
"ล้วนตามใจเ้า ข้าได้เพิ่มเขตแดนป้องกันเสริมทับให้เ้าอีกชั้นแล้วจะได้ไม่มีสิ่งใดเข้ามารบกวน ข้าไปละ!!'' เฟยหลงเอ่ยทิ้งท้ายเอสไว้ก่อนที่หายตัวไปในความมืดมิดทันที...
หนิงอ้ายอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เมื่อััได้ว่ากลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลือนหายไปเเล้ว จากนั้นจึงใช้เวลาในการอาบน้ำจัดการตัวเองเกือบถึงครึ่งชั่วยาม เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วจึงเห็นว่าต้าเฮยได้มองมาด้วยหน้าตาที่น่ารักน่าชังยิ่ง อีกทั้งยังบ่นเขาว่าทำไมไม่พาอีกฝ่ายไปเที่ยวเล่นนอกสำนักด้วย จนหนิงอ้ายต้องสัญญาว่าหากอีกฝ่ายเป็เด็กดีเขาก็จะพาอีกฝ่ายไปด้วยแน่นอน
ก่อนที่เ้าตัวน้อยจะเอ่ยทิ้งท้ายว่าตื่นเต้นกับงานวันเกิดของอี้หลินในวันพรุ่งนี้เป็อย่างมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าของขวัญที่เตรียมไว้จะถูกใจอีกฝ่ายหรือไม่ จนหนิงอ้ายต้องช่วยพูดจนเ้าตัวน้อยหายคิดมาก ก่อนที่จะบอกกับหนิงอ้ายอย่างหนักเเน่นว่าจะเข้านอนเเล้ว เพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเเต่เช้าและยังมีสิ่งอื่นให้ทำอีกมาก จากนั้นจึงหายเข้าไปในกองผ้าห่มในทันทีทิ้งให้หนิงอ้ายอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำคืนของเขตตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของลมปราณที่บริสุทธิ์เข้มข้น หนิงอ้ายยังคงดูดซับโอสถและหินปราณที่ตนได้รับจากอาคารส่วนกลางในก่อนหน้า ในใจนั้นคิดไม่ตกกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แม้ว่าเื่ที่เกิดขึ้นหากข้องเกี่ยวกับมารก็จริงเเต่เขาเชื่อว่าหากเกิดาอีกครั้งเหล่าผู้ฝึกตนย่อมเป็ฝ่ายที่ชนะเป็แน่ เเต่ถึงอย่างไรนั้นควรที่จะตรวจสอบและวางเเผนรับมืออย่างรัดกุมมากที่สุด
สิ่งที่ตกค้างในใจตอนนี้คือเขายังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าการที่ศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน ที่อีกฝ่ายมีหน้าตาเหมือนกับเเทนไทราวกับแกะ เเต่ทว่ายามที่อยู่ใกล้กลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่บอกว่าคนผู้นี้ไม่ควรที่จะอยู่ใกล้สักเท่าไหร่นัก...
เเต่กับเฟยหลงที่อยู่ในร่างหนังมนุษย์ของศิษย์พี่ตงหยางผู้เป็ศิษย์สายตรงของเ้าสำนักนั้น เขากลับรู้สึกคุ้นเคยและไว้วางใจเป็อย่างมากช่างเป็ความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ถูก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็ไปได้หรือไม่ ให้เวลาเป็เครื่องพิสูจน์เสียเเล้วกัน...
หนิงอ้ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยเพราะััความเย็นตรงบริเวณผิวหน้า เมื่อลืมตาขึ้นพบว่าเป็ต้าเฮยที่กำลังเลื้อยไปมาด้วยความตื่นเต้น อีกทั้งยังคงเร่งเร้าให้หนิงอ้ายรีบจัดการตนได้เเล้ว เช้านี้หนิงอ้ายต้องไปยังเรือนพักของเหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์ของตนพร้อมกับเรียนรู้ในเื่ของการหลอมสร้างปรุงโอสถ ด้วยเพราะในการสอบเลื่อนขั้นในเมื่อวานนี้ทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่ายังมีบางขั้นตอนที่ตนยังทำได้ไม่ดีนัก
อีกทั้งในยามนี้เขาก็เป็นักปรุงโอสถระดับสองเเล้ว แม้จะเป็การเลื่อนระดับที่รวดเร็วเป็อย่างมาก เเต่หนิงอ้ายก็รู้ตัวดีว่าประสบการณ์ในเื่ของการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสอง ตนยังถือว่าไร้ประสบการณ์เป็อย่างมากดังนั่นเเล้วสมควรที่จะฝึกฝนให้ได้เชี่ยวชาญมากที่สุด
เเต่เมื่อไปถึงหน้าเรือนพักของอาจารย์ ผู้าุโที่หนิงอ้ายคุ้นหน้าเนื่องจากอีกฝ่ายเป็หนึ่งในผู้ที่ดูเเลความปลอดภัยรอบเรือนหลังนี้ เเต่แจ้งสารจากท่านอาจารย์ว่าวันนี้ให้ตนไปฝึกปรุงโอสถที่เรือนของตนเสีย เนื่องจากอีกฝ่ายมีธุระที่ต้องเร่งจัดการใน่นี้ ซึ่งหนิงอ้ายคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็เื่ราวที่เฟยหลงได้บอกกับตนเมื่อคืนเป็แน่ จากนั้นหนิงอ้ายจึงกล่าวขอบคุณผู้าุโท่านนั้นก่อนที่จะหันหลังกลับเรือนพักของตน
ถึงเรือนพักเเล้วหนิงอ้ายไม่ปล่อยให้เวลาได้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้แน่ จากนั้นเด็กหนุ่มได้ใช้เวลาสองชั่วยามใน่เช้านี้ให้การปรุงโอสถระดับสองขึ้นตามสมุนไพรที่ตนมี ครั้งเเรก ๆ อาจจะไม่ได้สมใจหวังเเต่เมื่อได้เริ่มปรุงโอสถระดับสองถัดมาก็คล้ายกับว่าเขาจะจับจุดสำคัญบางอย่างได้ ไม่รอช้าจึงลงมือปรุงซ้ำในทันที แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็เื่ที่น่ายินดีเป็อย่างมากเพราะโอสถระดับสองที่ได้มานั่นต่างมีความบริสุทธิ์มากกว่าแปดส่วนขึ้นไปทั้งสิ้น
เมื่อเห็นว่าได้เวลาเเล้ว หนิงอ้ายจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับแขวนป้ายหยกทั้งสองตรงข้างเอวเป็ที่เรียบร้อย ก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังซุ้มประตูทางเข้าของสำนัก เนื่องจากว่าลู่ซีได้เขียนจดหมายเวทย์ให้ได้ทราบว่าในตอนนี้อีกฝ่ายได้มายืนรอตนตรงหน้าทางเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว
ทันทีที่ร่างบอบบางของเด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงใน่หลายวันมานี้ปรากฎตัวขึ้น เสียงพูดคุยจากเหล่าศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงเท่านี้ได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ บ้างก็ชี้นิ้วมายังเด็กด้วยความตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เพราะในตอนเเรกลู่ซีได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็นับว่าได้เรียกความสนใจอย่างมากเเล้วด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาโดดเด่นของอีกฝ่าย บ้างก็มองมาด้วยความสนใจ
โดยเฉพาะคนที่มีสหายหรือคนรู้จักเป็ศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลต่างทราบถึงความเชี่ยวชาญในเื่ของค่ายกลที่มากเกินกว่าศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าศึกษาเพียงไม่กี่วันจะรับรู้ได้ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าเด็กหนุ่มนามว่าลู่ซีคนนี้ถึงกับถูกทาบทามเป็ศิษย์สายตรงของผู้าุโสูงสุดในตำหนัก หากเป็เช่นนั้นจริงตัวตนของอีกฝ่ายถือว่าด้อยกว่าศิษย์พี่โม่โฉวผู้เป็ศิษย์สืบทอดเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น ช่างน่าอิจฉาในวาสนาของอีกฝ่ายอย่างเเท้จริง
"เกอดีใจด้วยนะหนิงอ้าย ในที่สุดเ้าก็ทำตามความฝันสำเร็จได้หนึ่งก้าวเเล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเเต่คล้ายกับว่าหนิงอ้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้านี้
"ข้าก็ดีใจที่ทำอีกหนึ่งความฝันของหนิงอ้ายสำเร็จไปแล้วก้าวหนึ่งเช่นกัน เเล้วนี่คนอื่น ๆ เล่าขอรับ?" หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปเพราะเข้าใจได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นหมายถึงหนิงอ้ายคนเก่า ก่อนเปลี่ยนเื่คุยอย่างลื่นไหล
"จ้าวหลานเกอให้ช่วยศิษย์พี่โม่โฉวกับจินหั่วในการจัดเตรียมพวกเครื่องดื่ม ส่วนอู๋ฮั่นก็ให้อยู่เฝ้าอี้หลินเพราะอีกฝ่ายอยากที่จะมาช่วยทุกคนโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำสิ่งใดเช่นนี้" ลู่ซีตอบกลับไปพร้อมกับเดินนำหนิงอ้ายไปยังทิศทางหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสนใจ
"เช่นนั้นอู๋ฮั่นก็ได้งานหนักที่สุดแล้วขอรับ การรับมือกับอี้หลินไม่ใช่เื่ง่ายเช่นนั้นเเล้วข้าต้องเตรียมอาหารโปรดของเขาให้มากหน่อยเสียเเล้ว" หนิงอ้ายตอบกลับลู่ซี ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะต่างเห็นตรงกันว่าการรับมือกับอี้หลินที่ซุกซนอยู่ไม่นิ่งราวกับลูกลิงนั่นช่างเป็เื่ที่รับมือได้ยากเสียจริง...