ทุกคนทราบกันดีว่าหินหยวนมีสามระดับ นั่นคือระดับล่าง ระดับกลาง และระดับสูง
หินหยวนระดับล่างนั้นสามารถพบเห็นได้มากที่สุด เป็หินหยวนที่ถูกใช้จ่ายของทั่วไป ขณะเดียวกันยังใช้บำเพ็ญตน หล่ออาวุธ ปรุงโอสถ สร้างค่ายกล และอื่น ๆ อีกมากมาย
หินหยวนระดับกลางค่อนข้างพบเห็นได้น้อย หนึ่งก้อนมีค่าเท่าหินหยวนระดับล่าง 100 ก้อน และยังใช้ในการใช้จ่ายได้เช่นกัน แต่มีน้อยคนที่จะใช้มัน เพราะหินหยวนระดับกลางค่อนข้างล้ำค่า จึงไว้ใช้สำหรับการบำเพ็ญตนเสียมากกว่า ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่มีหินหยวนระดับกลางจะไม่ใช้ในการใช้จ่าย พวกเขาจะเก็บไว้ใช้เพื่อทำเื่อื่น แม้หินหยวนระดับกลางหนึ่งก้อนจะมีค่าเท่าหินหยวนระดับล่าง 100 ก้อน แต่กลับมิมีผู้ใดยินดีแลกเปลี่ยน
ทว่าหินหยวนระดับสูงเป็สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่า ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากกว่าหินหยวนระดับกลางหลายเท่า หินหยวนระดับสูงเพียงหนึ่งก้อนมีค่าเท่าหินหยวนระดับล่าง 10,000 ก้อน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเขลาพอที่จะนำหนึ่งก้อนนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็ระดับล่าง 10,000 ก้อน แต่หากหินหยวนระดับสูงปรากฏในงานประมูลใหญ่ ๆ จะมีค่าเท่ากับหินหยวนระดับล่างถึง 20,000 ก้อน
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่ามีปรมาจารย์ศัสตราวุธผู้หนึ่ง้าหลอมอาวุธที่ทรงพลังชิ้นหนึ่งและจำเป็ต้องใช้หินหยวนระดับสูงหนึ่งก้อน แต่เขาไม่มี ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงเสียหินหยวนระดับล่างไป 30,000 ก้อนจึงจะประมูลหินหยวนระดับสูงมาได้หนึ่งก้อน
แต่บัดนี้เย่เฟิงนำหินหยวนระดับสูง 10 ก้อนออกมา ซึ่งเป็เื่ที่ยากจะจินตนาการ ทำให้ทัศนคติที่เถ้าแก่หอพันศัสตรามีต่อเย่เฟิงเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ใช่เื่น่าแปลกใจอะไร ไม่จำเป็ต้องเอ่ยถึงมูลค่าของหินหยวนระดับสูง 10 ก้อน แต่การที่คนคนหนึ่งนำหินหยวนระดับสูง 10 ก้อนออกมาเช่นนี้ได้จะมีฐานะธรรมดาหรือ?
ในสายตาของเถ้าแก่ ฐานะของเย่เฟิงอาจมีค่าควรแก่การผูกมิตรมากกว่าเจียงเซิ่งหลิง
“หินหยวนระดับสูง ล้อกันเล่นหรือ? เถ้าแก่ ท่านต้องล้อเล่นแน่เลยใช่ไหม? เขาอยู่แค่ขั้นรวมชี่ จะไปมีหินหยวนระดับสูงมากขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?” เจียงเซิ่งหลิงเห็นผู้คนใจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเดินไปหาเถ้าแก่แล้วกล่าวเช่นนั้น โดยคิดว่าเถ้าแก่กำลังล้อเล่น
“ไม่ ข้าไม่ได้ล้อเล่น สิ่งที่คุณชายท่านนี้นำออกมาคือหินหยวนระดับสูงจริงแท้แน่นอน ทั้งยังเป็หินหยวนระดับสูงคุณภาพดีอีกด้วย” เถ้าแก่ตอบกลับเจียงเซิ่งหลิงพร้อมเผยสีหน้าเ็า
“หากคุณชายเจียงอยากได้ดาบหงส์แดง ก็ต้องนำหินหยวนระดับสูงออกมาจ่ายแล้วละ” เถ้าแก่กล่าวด้วยท่าทีราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน
“เ้า...” เจียงเซิ่งหลิงได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงด้วยความโมโห
“ดีมาก หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก!” เจียงเซิ่งหลิงรู้ว่าอยู่ที่นี่ต่อก็รังแต่จะขายหน้าเสียเปล่า ๆ จึงจูงมือหลิวถิงถิงเดินออกไป แต่ก่อนจะออกไปก็ได้ทิ้งคำพูดไว้ให้เย่เฟิง
ทว่าเย่เฟิงไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว ตอนอยู่ในถ้ำของปลายยอดปีศาจพิภพที่เขาเทียนเสวียน เย่เฟิงได้รับสมบัติมามากมาย ในนั้นยังมีหินหยวนระดับสูงจำนวนหนึ่ง ดังนั้นหินหยวนระดับสูงที่มีค่าในสายตาของผู้อื่น กลับไม่มีค่ามากเท่าไรเมื่ออยู่ตรงหน้าเย่เฟิง แต่เขาเคยอ่านตำราบางเล่มของชั้นที่สี่ในหอวิชา จึงแน่ใจว่าสิ่งที่ตนได้มาคือหินหยวนระดับสูงจริง ๆ
“คุณชาย หินหยวนระดับสูง 10 ก้อนของท่านมีมูลค่ามากกว่าดาบหงส์แดง เพราะฉะนั้นข้าจะรับแค่ 7 ก้อนเท่านั้น” หลังจากเจียงเซิ่งหลิงออกไป เถ้าแก่ก็เดินมาหาเย่เฟิงพร้อมกล่าวเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งหินหยวนระดับสูง 3 ก้อนคืนเย่เฟิง
แม้หินหยวนระดับสูงจะล้ำค่าและหายาก แต่เถ้าแก่ไม่ใช่คนโง่เขลา การที่ชายหนุ่มนำหินหยวนระดับสูง 10 ก้อนออกมาอย่างไม่ลังเล เื้ัของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเถ้าแก่ผลีผลาม กองกำลังที่อยู่เื้ัเย่เฟิงอาจพิโรธ เช่นนั้นจะไม่เป็ผลดีต่อพวกเขาหอพันศัสตรา
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นรับหินหยวนระดับสูง 3 ก้อนคืนมาด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเคย แต่ยิ่งเขามีท่าทีเฉยเมย เถ้าแก่ก็ยิ่งคิดว่าเย่เฟิงมีฐานะสูงส่ง บัดนี้แม้แต่หญิงสาวทั่วทั้งหอพันศัสตรารวมทั้งโยวเฟิ่งต่างมองเย่เฟิงด้วยท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม แต่แฝงด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
“โยวเฟิ่ง รีบไปนำป้ายหยกครามระดับสูงสุดของหอพันศัสตรามาให้คุณชายเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่หันไปกล่าวกับโยวเฟิ่ง แต่เมื่อโยวเฟิ่งได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ พร้อมกล่าวต่อว่า “เถ้าแก่ ป้ายหยกครามมีไว้สำหรับลูกค้าที่ซื้อของมูลค่าหนึ่งล้านหินหยวนระดับล่างไม่ใช่หรือเ้าคะ? คุณชายท่านนี้มาเยือนหอพันศัสตราเป็ครั้งแรก แต่มูลค่าที่เขาซื้อของไปนั้นเทียบเท่ากับหินหยวนระดับล่างแสนก้อนนะเ้าคะ เขายังไม่ควรได้รับป้ายหยกคราม”
“รีบไปเอามาซะ อย่ามาพูดจาไร้สาระ หากทำคุณชายท่านนี้เสียเวลา ข้าจะย้ายเ้าไปอยู่เขตอื่น!” เถ้าแก่ตะคอกใส่โยวเฟิ่ง
“เ้าค่ะ โยวเฟิ่งจะไปเอาป้ายหยกมาให้คุณชายเ้าค่ะ!” เมื่อโยวเฟิ่งเห็นปฏิกิริยาของเถ้าแก่ก็หน้าขาวซีดทันที ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปภายในหอพันศัสตรา ซึ่งนางนั้นไม่อยากถูกย้ายไปอยู่เขตอื่น ไม่เช่นนั้นอนาคตของนางก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
ครู่ต่อมา โยวเฟิ่งเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับป้ายหยกสีคราม เป็ป้ายหยกที่สลักลวดลายสลับซับซ้อน แต่ดูแล้วสวยงดงามยิ่งนัก
“คุณชาย นี่คือป้ายหยกคราม เป็สัญลักษณ์ของแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของหอพันศัสตรา เมื่อมีป้ายหยกคราม ไม่ว่าคุณชายจะไปเยือนสาขาไหนของหอพันศัสตรา ท่านจะได้รับการต้อนรับเป็อย่างดี และท่านจะได้รับส่วนลดอีกร้อยละ 30” เถ้าแก่รับป้ายหยกครามมาจากโยวเฟิ่ง ก่อนจะส่งมอบให้เย่เฟิง ทำเย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยซื้อพวกอาวุธ แต่ป้ายหยกครามอาจมีประโยชน์ต่อเขา เขาจึงรับมาอย่างไม่ปฏิเสธ
“ขอบคุณ” เย่เฟิงกล่าวด้วยความเกรงใจ
“คุณชายไม่ต้องเกรงใจ แขกระดับคุณชายควรดื่มด่ำกับสิทธิพิเศษเช่นนี้” เถ้าแก่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ผู้คนรอบข้างต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาอิจฉา พวกเขาชอบมาเลือกซื้อที่หอพันศัสตราอยู่บ่อย ๆ ก็ย่อมรู้แน่นอนว่าป้ายหยกครามหมายถึงอะไร
“เยียนหราน เ้าชอบดาบหงส์แดงเล่มนี้ไหม?” เย่เฟิงหันไปถามฉินเยียนหรานพร้อมยิ้มจาง ๆ
“ชอบ” ฉินเยียนหรานรับดาบหงส์แดงเล่มนั้นมา จากนั้นทั้งสองออกจากหอพันศัสตรา โดยมีเถ้าแก่หอพันศัสตราและโยวเฟิ่งออกมาส่งพวกเขา
“โยวเฟิ่ง หากคราวหน้าคุณชายท่านนี้มาซื้อของที่หอพันศัสตราให้มาแจ้งข้าทันที แล้วก็ต้อนรับเป็อย่างดีด้วยเล่า เข้าใจไหม?” หลังจากเย่เฟิงและฉินเยียนหรานออกไป เถ้าแก่ก็กำชับโยวเฟิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง คนใหญ่คนโตอย่างเย่เฟิง พวกเขาหอพันศัสตราจะต้องผูกมิตรเอาไว้
“เ้าค่ะ เถ้าแก่!” โยวเฟิ่งพยักหน้า ครั้งนี้การกระทำของเย่เฟิงทำให้นางใเป็อย่างมาก ต่อไปหากเย่เฟิงมาเยือนหอพันศัสตราอีกครา แม้ไม่มีคำเตือนจากเถ้าแก่ นางก็จะดูแลเป็อย่างดี
ระหว่างที่เย่เฟิงและฉินเยียนหรานมุ่งไปข้างหน้า เสี่ยวไป๋ก็นอนหลับอยู่ในอ้อมกอด ช่างดูน่ารักน่าชังยิ่ง
“เยียนหราน เ้าจะซื้ออะไรอีกไหม?” เย่เฟิงเอ่ยถามฉินเยียนหรานขณะเดินอยู่บนถนนในตลาด
“ได้ดาบมาแล้ว เรากลับสำนักกันเถอะ!” ฉินเยียนหรานกล่าวพลางยิ้ม
“ดี!” เย่เฟิงพยักหน้า เมื่อได้เห็นหญิงสาวมีความสุข เย่เฟิงเองก็มีความสุขไปด้วย
“ไอ้สวะ ในที่สุดเ้าก็ออกมาแล้ว!”
ทันทีที่เย่เฟิงและฉินเยียนหรานพ้นเขตตลาดตระกูลมู่ ก็มีสี่เงาร่างปรากฏตัวที่ด้านหน้า ผู้พูดคือมู่เยี่ยน จ้าวเทียนเองก็อยู่ข้าง ๆ เช่นกัน เขากำลังมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือกระคนความโกรธแค้น แม้แต่เจียงเซิ่งหลิงและหลิวถิงถิงก็อยู่ด้วย
“หมาดีจะไม่ขวางทาง[1] ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองพวกมู่เยี่ยน
“ไอ้สวะนี่ จะตายอยู่รอมร่อ ยังกล้าปากดีอีกหรือ!” จ้าวเทียนตวาดใส่เย่เฟิง ก่อนหน้านี้ที่ถนนในตลาด เย่เฟิงสร้างความอับอายให้เขาเป็อย่างมาก เขาจึงกลับไปที่ตระกูลมู่เพื่อไปตามหามู่เยี่ยนมาสะสางบัญชีแค้นนี้
“ไม่คิดว่าเ้าจะกลับไปขอความช่วยเหลือ ข้านึกเสียใจแล้วสิที่ไม่ได้ทำลายเ้า” เย่เฟิงแสยะยิ้มพร้อมพลังปราณปะทุออกจากร่าง นี่ทำให้จ้าวเทียนเผยสีหน้าไม่สู้ดี เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก ตัวสั่นระริก การเผชิญหน้ากับเย่เฟิงเช่นนี้ ทำเขาเกิดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงกับด่าตัวเองในใจว่าตนนั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเ้า แล้วจะตัวสั่นระริกทำไม? คงไม่ใช่ว่ากลัวจนฉี่ราดกางเกงอีกนะ!” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองดวงตาหวาดหวั่นของจ้าวเทียน
เมื่อมู่เยี่ยน เจียงเซิ่งหลิง และหลิวถิงถิงได้ยินเช่นนั้นต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจ และมองจ้าวเทียนด้วยความสงสัย แต่เมื่อจ้าวเทียนเห็นคนเหล่านี้มองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกโมโห ก่อนจะมองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต
“มองข้าแบบนี้ทำไม หรือข้าพูดผิด? ก่อนหน้านี้ที่ถนนในตลาด ใครกันนะที่กลัวข้าจนฉี่ราดกางเกง เ้าลืมเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?” เย่เฟิงเย้ยหยันจ้าวเทียนต่อ เขานั้นไม่ชอบเปิดเผยข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่จ้าวเทียนผู้นี้เป็คนไร้ยางอาย ภายนอกยอมรับผิดกับเขา แต่ความจริงกลับไปเชิญมู่เยี่ยนมาจัดการเขา ดังนั้นเขาไม่จำเป็ต้องเกรงใจคนประเภทนี้
“ชายผู้นี้กลัวจนฉี่ราด เขาใช่ลูกผู้ชายจริง ๆ หรือ?” ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินคำพูดของเย่เฟิงต่างก็หัวเราะเยาะเย้ย เมื่อจ้าวเทียนได้ยินคำวิจารณ์ก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เ้า...” จ้าวเทียนโกรธจนดวงตาแดงก่ำที่เย่เฟิงพูดจาเช่นนั้น ก่อนจะตวาดใส่เย่เฟิง “เ้าต้องตาย!”
ในที่สุดจ้าวเทียนก็ะเิโทสะออกมา จากนั้นกริชเล่มหนึ่งปรากฏในมือเขา ก่อนจะพุ่งไปแทงเย่เฟิง
“ไปให้พ้น!” ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่สนใจกริชของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว นาทีต่อมาได้ยินเสียงดังปัง จ้าวเทียนส่งเสียงกรีดร้อง เขาถูกหมัดของเย่เฟิงซัดจนกระเด็นปลิวพร้อมกระอักเื
มู่เยี่ยนเห็นฉากตรงหน้าก็เผยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนจะรับร่างจ้าวเทียนแล้วพบว่ากระดูกบริเวณอกของจ้าวเทียนหักหลายท่อน หากไม่มีชุดเกราะคุ้มกาย หมัดนี้ของเย่เฟิงคงพรากชีวิตไปจากจ้าวเทียนแล้ว แต่ถึงจะมีการป้องกันจากชุดเกราะ จ้าวเทียนก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับคืนสภาพเดิม อย่างน้อยต้องใช้เวลาปีกว่า
“คนไร้ค่า หาที่ตายแท้ ๆ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองจ้าวเทียน เขานั้นไม่เคยปรานีกับคนที่้าฆ่าเขา แต่ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับจ้าวเทียน เย่เฟิงจึงไว้ชีวิตไม่ฆ่าจ้าวเทียน
“เ้ากล้าทำร้ายเขา อยากตายงั้นหรือ?” มู่เยี่ยนขึ้นเสียงใส่เย่เฟิง จ้าวเทียนคือลูกพี่ลูกน้องเขา เขาก็ย่อมโกรธเย่เฟิงที่มาทำร้ายจ้าวเทียน
“คนผู้นี้เหิมเกริมมาก ในเมื่อพี่มู่บรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว มิสู้สั่งสอนเขาสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?” เจียงเซิ่งหลิงเหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับมู่เยี่ยนเช่นนั้น ซึ่งคำพูดของเขาเป็การยุยงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขั้นยุทธ์แท้?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไม? หรือเ้าเกิดกลัวขึ้นมา? ถ้ากลัวก็คุกเข่าขอโทษข้าซะ แล้วก็อยู่ให้ห่าง ๆ องค์หญิงซินอี๋!” มู่เยี่ยนเห็นปฏิกิริยาของเย่เฟิงก็เหยียดยิ้มเ็า
แต่ขณะนั้นฉินเยียนหรานชำเลืองมองเย่เฟิงด้วยความขุ่นเคือง นางย่อมรู้จักองค์หญิงซินอี๋ แต่ไม่นึกว่าเ้าหมอนี่จะรู้จักองค์หญิงซินอี๋ด้วย
“ขั้นยุทธ์แท้แล้วอย่างไร?”
เย่เฟิงกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย เมื่อก่อนมู่เยี่ยนอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ บัดนี้บรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว เื่นี้มีอะไรให้ต้องแปลกใจหรือ?
---------------------------------------------
[1] หมาดีจะไม่ขวางทาง หมายถึง คนดีจะไม่กีดกันหรือกีดขวางสิ่งที่ผู้อื่นจะทำเหมือนสุนัขถ้าหากมีคนจะเดินผ่านหากเป็สุนัขที่ดีก็ต้องหลีกทางให้
