“ต้วนเทียนหลาง สั่งทหารให้หยุดโจมตีซะ”
หลิ่วชั่งหลันะโอย่างเกรี้ยวกราด ขณะเหวี่ยงหมัดไปทำลายลูกศรที่พุ่งมาด้านหน้า
หากอาณาจักรโม่เยว่บุกโจมตีเต็มรูปแบบล่ะก็ ในศึกครั้งนี้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ในตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าาภายในจะสงบลงสักที และให้เหล่าทหารไปช่วยกันป้องกันการรุกรานของทหารอาณาจักรโม่เยว่
“หยุดหรือ? หลิ่วชั่งหลัน เ้าเป็คนทรยศ สมรู้ร่วมคิดกับคนที่ลอบสังหารองค์หญิง แม้ว่าต้วนเทียนหลางผู้นี้อาจไม่แข็งแกร่งพอจะเป็คู่มือให้แก่เ้า แต่ข้าก็จะสู้กับเ้าจนตัวตาย”
แววตาของต้วนเทียนหลางกลายเป็เย็นะเื จนหลิ่วชั่งหลันถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
เ้าสารเลวต้วนเทียนหลาง ชีวิตของเหล่าทหารนับหมื่นนายต้องถูกคร่าไปอย่างสูญเปล่า
หลิ่วชั่งหลันทะยานขึ้นไปกลางอากาศ และะโอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เหล่าทหารเสวี่ยเยว่จงหยุดการสู้รบและร่วมมือกันต่อต้านศัตรู ไม่อย่างนั้นพวกเราทั้งหมดจะตายอยู่ที่นี่!”
“ฟิ้ว!!!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน เป็เสียงลูกศรที่กำลังพุ่งไปหาหลิ่วชั่งหลัน ลูกศรนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรงอย่างมาก
“ต้วนเทียนหลาง เ้าคนทรยศ!”
หลิ่วชั่งหลันคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ใช้พลังจากฝ่ามือขึ้นสยบลูกศรจนกลายเป็ผุยผง แล้วร่างของเขาก็ลงสู่พื้นทันที ในขณะเดียวกันก็ะโด้วยเสียงดังก้องว่า “เหล่าทหารเสวี่ยเยว่จงฟังคำสั่ง ถอยทัพไปที่ชายแดนต้วนเริ่นเดี๋ยวนี้!”
แน่นอนว่าหลิ่วชั่งหลันเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดี ว่าทหารเสวี่ยเยว่กำลังสับสน จนไม่อาจต้านทานกำลังของอีกฝ่ายได้
“กองกำลังทหารโลหิตจงฟังคำสั่ง! ถอยทัพไปที่ชายแดนต้วนเริ่น!”
จิวชื่อเซวี่ยะโอย่างเกรี้ยวกราดขณะกำลังควบม้า จากนั้นกองกำลังทหารม้าโลหิตก็หยุดต่อสู้และถอยร่นไปหลังกระโจม
“ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!”
เสียงที่น่าหวาดกลัวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนั้นหลิ่วชั่งหลันเหลือบมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลสุดสายตา จู่ๆ สีหน้าก็กลายเป็ซีดขาวราวกับกระดาษไปโดยสมบูรณ์
บนท้องฟ้าในตอนนี้มีลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนดิ่งลงมาราวกับห่าฝน พวกมันมีมากเกินไปจนบดบังแสงอาทิตย์เสียมิด
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที หลิ่วชั่งหลันก็สังเกตได้ว่าสีท้องฟ้าพลันมืดลงฉับพลัน จากนั้นลูกศรจำนวนมหาศาลก็ล่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ตามมาด้วยเสียงโหยหวนด้วยความเ็ปดังไปทั่วบริเวณ ฉากนี้ราวกับเป็วันพิพากษาของกองทัพเสวี่ยเยว่
หลินเฟิงใช้ดาบที่แหลมคมในมือขึ้นฟาดฟันไปในอากาศ เมื่อลูกศรปะทะคลื่นดาบ ของเขาแล้ว ลูกศรเหล้านั้นต้องแตกออกเป็เสี่ยงๆ
ห่าลูกศรพุ่งลงมาอย่างต่อเนื่องเป็เวลา 10 ลมหายใจ หลังจากนั้นแสงสว่างที่ถูกบดบังก็กลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง อย่างไรก็ตามใน่เวลานี้ กระโจมของทหารเสวี่ยเยว่ทั้งหมดได้พังพินาศลง และบนผืนดินก็เต็มไปด้วยซากศพมากมาย
“ถอย!”
“ถอย!”
เสียงร้องะโกลายเริ่มบ้าคลั่ง ทหารมากมายต่างะโให้ล่าถอย ด้วยหวังว่าหากพวกเขาไปถึงชายแดนต้วนเริ่นแล้ว พวกเขาก็ยังมีกองหน้าที่เป็ความหวังอยู่บ้าง
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”
แสงสว่างบนท้องฟ้าพลันถูกบดบังไปด้วยลูกธนูอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ยังคงมีเสียงโหยหวนและเืสาดกระเซ็นทั่วบริเวณเช่นเดิม แต่ในขณะนั้นได้มีเสียงกีบเท้าม้าที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ถึงกับทำให้ท้องฟ้าต้องคำราม ผืนดินต้องสั่นะเืราวกับเป็วันโลกาวินาศ หลังจากยิงห่าลูกศรรอบที่สอง กองกำลังทหารม้าของอาณาจักรโม่เยว่ก็บุกโจมตีค่ายทหารเสวี่ยเยว่อย่างไม่ลังเล
ต่อให้เห็นโลหิตของม้าัต้องเปื้อนผืนดิน หลินเฟิงก็ไม่ได้ถอยร่นแต่อย่างใด เขาจับดาบยาวไว้แน่นและพุ่งไปหาทหารม้าโม่เยว่ที่กำลังบุกเข้ามา
“ตาย!”
เหล่าทหารม้าโม่เยว่ที่กำลังบุกเข้ามาต่างไม่คาดคิดว่าหลินเฟิงจะกล้าตอบโต้ หลินเฟิงยื้อแย่งหอกยาวแล้วสังหารทหารโม่เยว่ขณะควบม้าไปด้วย
ดาบของหลินเฟิงกำลังเปล่งแสงออกมาเยือกเย็นจนน่าขนลุก
แสงของดาบที่เปล่งประกายออกมา ราวกับแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปเก้า์!
ขณะนั้นได้มีร่างเงาหนึ่งพุ่งเข้ามา แต่ร่างเงาผู้โชคร้ายนั้นกลับถูกผ่าเป็สองส่วนในเวลาอันสั้น และร่างที่ถูกผ่าแยกไปแล้วก็ยังคงควบม้าต่อไปหน้าตาเฉย
“ดาบปลิดิญญา”
สีหน้าของหลินเฟิงกลายเป็เย็นเยือก พลันม่านตาสีเทาปรากฏจิตสังหารออกมา เมื่อเขากวัดแกว่งดาบออกไป ทหารหลายร่างก็ถูกสังหารลงในชั่วพริบตา
หลินเฟิงยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและโจมตีขณะฝ่าฝูงชนออกไป โดยใช้ทักษะดาบอันร้ายกาจ นั่นก็คือดาบแห่งความตาย
เพียงหนึ่งดาบทำให้ทหารหลายสิบนายต้องสิ้นชีวิตไป
อย่างไรก็ตามในขณะนั้นเหล่าทหารโม่เยว่ได้เข้ามาล้อมหลินเฟิงไว้ทว่าไม่ได้บุกเข้ามา พวกเขาชูหอกในมือขึ้นเหนือศีรษะและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ปาหอกใส่หลินเฟิงที่อยู่ตรงกลาง ถ้าหากหอกสักเล่มโจมตีโดนเขาล่ะก็ หลินเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นอำนาจดาบแห่งความตายที่น่าหวาดกลัวก็ได้แผ่ปกคลุมเหล่าทหารม้าโม่เยว่ ทำให้พวกเขาถึงกับตกตะลึงจนร่างกายต้องแข็งทื่อ
“ดาบร่วงโรย”
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง ขณะนั้นหลินเฟิงได้หมุนกายอย่างรวดเร็วขณะกวัดแกว่งดาบในมือ ส่งผลให้ทหารที่ล้อมรอบหลินเฟิงไว้ต่างถูกตัดขาดเป็สองส่วน เพียงดาบเดียวก็ทำให้ทหารหลายสิบนายต้องถูกฆ่าตายในพริบตา
ในสนามรบนั้นชีวิตก็ราวกับเป็สิ่งไร้ค่า ทหารทั้งสองฝ่ายเพียงมาเจอหน้ากันเพื่อต่อสู้ หากใครแข็งแกร่งและกล้าหาญพอผู้นั้นย่อมเป็ผู้ชนะ
หลินเฟิงะโขึ้นไปในอากาศแล้วร่อนลงบนหลังม้าตัวหนึ่ง เขาปลดปล่อยกลิ่นอายอันหนาวเหน็บออกมา อำนาจดาบนั้นคล้ายกับแก่นแท้ เพียงชั่วพริบตาม้าที่กำลังพยศกลับกลายเป็เชื่อฟัง จากนั้นหลินเฟิงก็ควบม้าทะยานไปข้างหน้าในทันที
ดาบของเขาเปล่งแสงอย่างต่อเนื่อง หนึ่งดาบสังหารทหารหนึ่งนาย ขณะที่หลินเฟิงควบม้าก็ไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาได้ ราวกับว่าหลินเฟิงเป็เทพแห่งา
ชายแดนต้วนเริ่นอยู่ห่างจากกองทัพเสวี่ยเยว่ประมาณ 10 ลี้ ทว่าระยะทางที่แสนสั้นนี้ กลับกลายเป็เส้นทางแห่งขุมนรก มีซากศพจำนวนมากนอนเกลื่อนอยู่บนพื้นตลอดเส้นทาง
้าของชายแดนต้วนเริ่นได้มีพลธนูอยู่สามพันคน นอกจากนี้พลธนูทั้งหมดต่างมีฝีมือยิงธนูที่ร้ายกาจ พวกเขาประจำการอยู่ทั่วทุกมุมของชายแดนต้วนเริ่น ทุกครั้งที่ทหารโม่เยว่เข้ามาใกล้ พลธนูก็จะยิงลูกศรออกไปทันที
นอกจากนี้เส้นทางที่คับแคบสามารถรับคนได้เพียงไม่กี่คน ทหารโม่เยว่ได้แต่หลบซ่อน ไม่กล้าเข้าไปในนั้น พวกเขาเป็ถึงกองทัพของโม่เยว่แต่กลับไร้ประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากตอนนี้ใจกลางช่องเขาของชายแดนต้วนเริ่น ได้มีร่างเงาสายหนึ่งยืนอยู่ตรงปากทางเข้า ซึ่งเ้าของร่างเงาดังกล่าวนั้นคือ หลิ่วชั่งหลัน
กองทัพเสวี่ยเยว่ทำได้เพียงอยู่ด้านหลังหลิ่วชั่งหลัน หรือไม่ก็ปีนผาขึ้นไปและตั้งคันธนูเพื่อรอศัตรูมา
หากทหารโม่เยว่เข้ามาใกล้ก็จะถูกลูกศรของหลิ่วชั่งหลันฆ่าตายทันที
ลูกศรของหลิ่วชั่งหลันนั้นไม่เคยพลาดเป้า และเมื่อยิงไปแล้วย่อมหมายถึงชีวิตของคนผู้นั้น
เมื่อมองเหล่าทหารเสวี่ยเยว่ที่ถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้หลิ่วชั่งหลันรู้สึกช้ำใจราวกับถูกมีดทิ่มแทง
เมื่อหลินเฟิงควบม้ามาถึงแล้ว เขาก็ลงจากอานม้าและไปยืนข้างหลิ่วชั่งหลันที่กำลังมองกลุ่มทหารซึ่งอยู่ห่างไกลอย่างเงียบๆ
สาเหตุที่เหล่าทหารต้องมาตายเช่นนี้ นั่นก็เพราะหลินเฟิง
“ต้วนเทียนหลาง”
ด้วยความแค้นของหลินเฟิงที่มีต่อต้วนเทียนหลาง ทำให้ความทะเยอทะยานของหลินเฟิงเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุด และได้ทำให้ชีวิตของทหารหลายพันนายต้องดับสิ้นไป ต้วนเทียนหลางในตอนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
ทำไมต้วนเทียนหลางถึงต้องทำเช่นนี้ เพื่อฆ่าเขาแล้วถึงกับต้องเปิดฉากทำาเชียวหรือ ท่ามกลางความโกลาหลนั้น กองทัพโม่เยว่ได้ฉวยโอกาสอันหาได้ยากนี้บุกโจมตีโดยไม่รีรอ
แต่ดูเหมือนว่าอาณาจักรโม่เยว่จะรู้ถึงาภายในอีกฝ่าย จึงฉวยโอกาสนี้บุกโจมตี
เหล่าทหารเริ่มรวมกลุ่มกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามทั้งหมดได้ถูกหลิ่วชั่งหลันจัดการจาก้า ซึ่ง้าหุบเขานี้สามารถโจมตีศัตรูได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกันก็สามารถป้องกันได้อีกด้วย
กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลนั้น ดูเหมือนว่าจะสังหารทหารเสวี่ยเยว่ที่เหลือรอดหมดแล้ว กองกำลังทหารม้าโม่เยว่จำนวนมากค่อยๆ เข้าใกล้ชายแดนต้วนเริ่นขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงชายแดนต้วนเริ่น จู่ๆ กองกำลังทหารม้าก็ได้หยุดเคลื่อนทัพ
ชายแดนต้วนเริ่นเป็เส้นทางคมนาคมของเสวี่ยเยว่ เป็ด่านป้องกันสุดท้ายของเมืองต้วนเริ่นที่จะผ่านไปยังเสวี่ยเยว่ได้ แน่นอนว่าหลายๆ คนของอาณาจักรโม่เยว่ต่างรู้เื่นี้เป็อย่างดี
ขณะที่ยืนอยู่บนเขาของชายแดนต้วนเริ่นนั้น ถ้าหากผลักหินก้อนใหญ่ลงมาจะสามารถโจมตีศัตรูที่ผ่านเข้ามาได้ ไม่เพียงแต่ทำให้คนาเ็เท่านั้น แต่ยังสามารถขัดขวางทหารม้าที่ผ่านเข้ามาได้ จากนั้นใช้คันธนูยิงลูกศรเพื่อสังหารทันที การยิงครั้งเดียวก็คร่าชีวิตได้ถึงสิบคน แม้กระทั่งมีเป็ร้อยคนก็ย่อมทำได้
ทหารของอาณาจักรโม่เยว่ไม่เขลาพอที่จะเข้าไปในชายแดนต้วนเริ่น เพราะ้าหุบเขามีทหารจำนวนมากซุ่มโจมตีอยู่
หากพวกเขาเดินทัพผ่านช่องหุบเขา อย่างน้อยต้องมีทหารตายนับหมื่นนาย ซึ่งถือว่าเป็การสูญเสียอย่างมากสำหรับโม่เยว่
หลิ่วชั่งหลันมองกองทัพขนาดใหญ่ของโม่เยว่ด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ในใจเขายังคงสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้
ความพ่ายแพ้ในศึกรบครั้งนี้คือถูกสังหาร เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านทหารโม่เยว่ได้ เมื่อครู่ที่ผ่านมาได้มีกองทัพเข้ามาในชายแดนต้วนเริ่น ซึ่งกองทัพนี้มีทหารประมาณหนึ่งแสนนาย และในหมู่พวกเขาก็มีหลายคนที่ได้รับาเ็
าในเวลานี้ทำให้เหล่าทหารต้องสละชีวิตไปแล้วเกือบสามแสนนาย ซึ่งเป็จำนวนที่น่าใยิ่ง
ขณะที่เกิดาภายใน กองทัพอาณาจักรโม่เยว่ได้เดินทางมารวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาเปิดฉากสังหารต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายเสวี่ยเยว่ไม่มีโอกาสตอบโต้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น แต่ระหว่างที่หลบหนีอลหม่าน พวกเขาต่างคิดว่าจะสามารถชนะทหารของอีกฝ่ายที่มีถึงห้าแสนนายได้อย่างไร ในที่สุดทหารเสวี่ยเยว่ต้องถูกฆ่าตายไปเป็จำนวนมาก
ในขณะนั้นกองกำลังทหารที่อยู่ด้านหน้าได้หยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นมีร่างเงาหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา เ้าของร่างเป็เพียงคนรุ่นเยาว์และมีรูปร่างผอมบาง ใบหน้าของเขานั้นซีดขาวอย่างน่าประหลาด แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็ดวงตาที่แหลมคมและเหี้ยมโหด ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนตกอยู่ใต้อำนาจนั้นไม่ยาก และนั่นคือคุณสมบัติที่แท้จริงของกษัตริย์
“แม่ทัพเทพลูกศร”
ชายหนุ่มคนนั้นขยับปากเล็กน้อยดูเหมือนน้ำเสียงจะไม่ดังนัก ทว่ากลับมันชัดเจนในโสตประสาทของหลิ่วชั่งหลันโดยตรง
“โม่เจี๋ย!”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเืเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้