คำถามของฉู่เซียงจวินกระตุ้นความอ่อนโยนบางอย่างในใจของจ้าวอี้ให้เผยออกมา ทุกรอยยิ้ม ทุกรอยขมวดคิ้วผุดขึ้นในหัวเขา แตกต่างอย่างไรงั้นหรือ?
"นางไม่แสร้งทำกิริยาวาจาเกินงามเฉกเช่นบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ในห้องหอดั่งตระกูลอื่น ดวงตาของนางใสสะอาดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทว่าบางครั้งกลับทำให้นางดูลึกลับเข้าใจยาก นางฉลาด ทว่านางกลับมิเคยอวดความฉลาดของตนเองเลย"
จ้าวอี้บรรยายร่ายยาวความงดงามของเหนียนยวี่
ฉู่เซียงจวินที่คอยยืนฟังอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มบนใบหน้านางค่อยๆ บานสะพรั่ง
"ท่านอ๋องมู่ชอบคุณหนูยวี่หรือไม่" ฉู่เซียงจวินเอ่ยถามชี้ชัดในคำเดียว
ร่างกายจ้าวอี้ชะงักงัน สีหน้าและแววตาพลันสั่นไหวฉายอารมณ์ปรวนแปร
ชอบยวี่เอ๋อร์หรือ?
"จะเป็ไปได้อย่างไร? ในสายตาของข้า ยวี่เอ๋อร์เป็ดั่งพี่ชายและน้องชาย" จ้าวอี้กล่าว ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลายครั้งหลายครา ในใจของเขาวางให้นางเป็ดั่งบุรุษเพศมาโดยตลอด
"แต่คุณหนูยวี่เป็สตรี" ฉู่เซียงจวินชำเลืองมองจ้าวอี้ ท่านอ๋องมู่ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบเหนียนยวี่ ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าตัวเองชอบเหนียนยวี่อย่างนั้นหรือ?
"สตรี..." จ้าวอี้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็ประกาย "ใช่ เป็สตรี เช่นนั้นข้าจะให้ยวี่เอ๋อร์เป็ญาติผู้น้องที่เป็สตรี"
ยามที่จ้าวอี้กล่าวประโยคนั้นออกมา มีหลายสิ่งมากมายวนเวียนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ มันยุ่งเหยิงวุ่นวายเสียจนอย่างไรก็คว้าไม่ได้ ไล่ไม่ทัน
ฉู่เซียงจวินมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางครุ่นคิดถึงเหนียนยวี่และฉู่ชิง คิ้วงามพลันขมวดมุ่น
มู่อ๋องชอบเหนียนยวี่ แล้วจื๋อหร่านเล่า?
ผู้ใดคือคนที่อยู่ในใจของคุณหนูยวี่กันแน่?
นางหวนนึกถึงสิ่งที่เหนียนยวี่กล่าวว่าจื๋อหร่านไม่ใช่คนที่เหนียนยวี่ชอบ
เช่นนั้นคนที่เหนียนยวี่ชอบคือ จ้าวอี้อย่างนั้นหรือ?
ในใจของฉู่เซียงจวินเองก็ไม่ต่างจากจ้าวอี้นัก มีคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในใจคนทั้งคู่ จนไม่ได้แม้แต่สังเกตว่าราตรีได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมิทันสังเกตเห็นอีกว่า สถานที่ที่พวกเขาทอดสายมองไปอยู่นั้นกำลังมีบางอย่างเกิดขึ้น
"ไฟไหม้ ไฟไหม้..."
ทันใดนั้นมีเสียงตื่นตระหนกดังลั่นขึ้น พวกเขาทั้งคู่ต่างชะงักงงงัน ทันใดนั้นพลันได้สติกลับมารู้สึกตัว ทิศทางฝั่งค่ายเสินเช่อในสายตาของคนทั้งคู่ ยามนี้กำลังเกิดประกายไฟเล็กๆ เริ่มลุกไหม้
ค่ายเสินเช่อถูกไฟไหม้หรือ?
ทั้งสองต่างตื่นตระหนกใ พวกเขาหันมองหน้ากัน ในดวงตาของคนทั้งคู่ฉายแววหวาดกลัว
ในเวลาเพียงครู่เดียว ฉู่เพ่ยและฮูหยินแม่ทัพต่างเร่งรี่ก้าวเดินออกมาจากกระโจม ท่ามกลางแสงสว่างยามราตรี พวกเขาเห็นเปลวไฟกำลังลุกโชน ฉับพลันนั้น ร่างกายของฮูหยินแม่ทัพเริ่มสั่นสะท้าน...
"ท่าน...ท่านโกหกข้า!" ฮูหยินแม่ทัพจ้องฉู่เพ่ยอย่างไม่วางตา ดวงตานางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาบอกกับนางอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับจื๋อหร่าน ทว่าสุดท้ายแล้ว เขากลับยังสั่งคำสั่งลงไป
“ไม่ใช่นะฮูหยิน ข้า...ข้าไม่ได้สั่ง” ฉู่เพ่ยตื่นตระหนก เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับการเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาของฮูหยินของตนเอง เขามิได้สั่งออกไปจริงๆ ทว่าเปลวเพลิงกลับกำลังลุกไหม้ค่ายเสินเช่อฝั่งนั้น...
ก่อนที่ฉู่เพ่ยจะมีเวลาคิดให้กระจ่าง ฮูหยินแม่ทัพกลับพุ่งตัวไปยังม้าตัวหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น คิดอยากจะขึ้นม้า ฉู่เพ่ยตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาพลันเร่งก้าวเข้าไปข้างหน้า ระหว่างที่นางกำลังขึ้นควบม้า เขาพลันดึงตัวนางและอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแ่า
“ท่านปล่อยข้า ท่าน้าฆ่าลูกชายข้า ข้าจะไปช่วยเขา...” ฮูหยินแม่ทัพพยายามดิ้นรน สะบัดตัวให้หลุดออกจากอ้อมแขน
ทว่าฉู่เพ่ยจะปล่อยให้นางไปได้อย่างไร?
พื้นที่แพร่ระบาดนั่นกำลังเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้... ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องรับมืออย่างแรก ไม่ใช่การค้นหาความจริงของเื่ราว ทว่าคือต้องทำให้สตรีในอ้อมแขนเขาตอนนี้ปลอดภัย
ทว่าตัวเขาเองนั้นรู้ดีว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับฉู่ชิง ฮูหยินคง...
“ฮูหยิน เ้าใจเย็นลงก่อนเถิด...” ฉู่เพ่ยเอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน ทว่าสตรีในอ้อมแขนเขากลับยังคงดิ้นรนอย่างหนักหน่วง
“ท่านแม่ทัพ เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ค่ายเสินเช่ออย่างแท้จริงแล้ว เราควรทำอย่างไรดี?”
ใครบางคนกำลังร้องขอคำแนะนำ ฉู่เพ่ยเงยหน้ามองไปยังทิศทางของค่ายเสินเช่อ เมื่อครู่นี้ยังเป็แค่กองไฟประกายเล็กๆ ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียว เปลวเพลิงกลับลุกไหม้ลามรุนแรง
เพลิงไหม้ในยามนี้...แท้จริงมันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่!
ฉู่เพ่ยเหลือบมองสตรีในอ้อมแขน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้สันดาบฟาดลงบนหลังคอของสตรี เฝ้ามองร่างนางอ่อนยวบลงในอ้อมแขนของเขา ในใจรู้สึกสงสาร ทว่ากลับทำได้เพียงอุ้มนางเข้าไปในกระโจม จัดแจงวางนางลงอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาจึงออกมานอกกระโจม และสั่งการให้ทหารบางส่วนออกเดินทางไปยังค่ายเสินเช่อ
ก่อนหน้านี้ ยามที่เปลวเพลิงเพิ่งลุกไหม้ค่ายเสินเช่อ จ้าวอี้และฉู่เซียงจวินได้ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายเสินเช่อเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางแสงยามราตรี ม้าสองตัวนำกองขบวนอันเกรียงไกร เปิดเส้นทางให้
คนทั้งสองบนหลังม้ากระชับบังเหียนอย่างแ่า ใบหน้าของพวกเขาฉายแววเคร่งขรึม
เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่ข้างหน้า ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้ค่ายเสินเช่อเท่าใด ความกลัวในใจของคนทั้งสองพลันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ครั้นถึงหน้าค่ายเสินเช่อ กองเพลิงกองใหญ่ลุกโชนปิดล้อมอาณาบริเวณค่ายทั้งหมดแล้ว
“ทำอย่างไรดี? จื๋อหร่านอยู่ข้างใน จื๋อหร่านยังอยู่ข้างในนั้น!” ฉู่เซียงจวินสูญเสียสติไปแล้ว ใบหน้านางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ประตูค่ายเสินเช่อในยามนี้กำลังถูกเพลิงไฟแผดเผา ไร้หนทางที่จะเข้าไป ในอากาศมีกลิ่นไหม้ปนกลิ่นน้ำมันโชยทั่ว
จ้าวอี้สังเกตเห็นบางสิ่ง เขาจ้องมองไปยังกองเพลิงที่ลุกไหม้ คิ้วอันหล่อเหลาของจ้าวอี้พลันขมวดแน่น
"เพลิงไหม้นี้...มีคนตั้งใจวางเพลิง"
ทว่าเป็ผู้ใดที่วางเพลิงเผาค่ายเสินเช่อ?
“ไม่ใช่ท่านพ่อของข้า” ฉู่เซียงจวินเอ่ยทันทีตามสัญชาตญาณ พ่อของนางอยู่ในกระโจมตลอด นางกับจ้าวอี้อยู่นอกกระโจมไม่ได้ยินเสียงเขาสั่งการสิ่งใดเลย ทั้งยังไม่เห็นว่ามีผู้ใดเข้าออกจากค่ายเสินเช่อในเวลาสั้นๆ นั้น
ทว่าหากไม่ใช่ท่านพ่อ แล้วผู้ใดเป็คนวางเพลิงกันเล่า?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของคนทั้งสอง ครั้นนึกถึงฉู่ชิงและเหนียนยวี่ ยิ่งทำให้จ้าวอี้อยากจะพุ่งเข้าไป ทว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนเยี่ยงนี้ ทำให้มิอาจจะหาหนทางฝ่าเข้าไปได้
"ยวี่เอ๋อร์..." ทุกรอยยิ้ม ทุกรอยย่นคิ้วของเหนียนยวี่ผุดขึ้นในหัวของจ้าวอี้ ทั้งตัวของเขายามนี้ ราวกับไร้กำลังวังชา แข้งขาอ่อนแรง
เขาเข้าใจในทันทีว่าความรู้สึกที่วนเวียนอยู่ในใจตนเองก่อนหน้านี้ แท้จริงมันคือสิ่งใด
เขาชอบเหนียนยวี่หรือ?
แท้จริงแล้วเขาชอบเหนียนยวี่หรือ?
ทว่ายวี่เอ๋อร์อยู่ในกองไฟนั่น...
ไม่ เขาไม่ยอมปล่อยให้นางตายแน่!
จู่ๆ ความคิดนี้พลันะโเข้ามาในหัว มือของจ้าวอี้กำบังเหียนแน่น เขารีบขี่ม้าพุ่งทะยานไปยังเขตที่เปลวเพลิงลุกไหม้อย่างไม่ยั้งคิด
“ท่านอ๋องมู่...” ฉู่เซียงจวินเห็นแผ่นหลังของเขาหายเข้าไปในเปลวเพลิง สีหน้าพลันแข็งชะงัก นางที่นั่งอยู่บนหลังม้ายิ่งตื่นตระหนกหวาดหวั่น นางอยากไล่ตามหลังเขาไป ทว่าเปลวเพลิงลุกโหมรุนแรงขวางกั้นนางให้ย้อนกลับมาหลายครา
ไฟเริ่มลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ยามที่ฉู่เพ่ยนำทัพทหารมาที่นี่ ทั้งค่ายเสินเช่อตกอยู่ในกองเพลิงแล้ว มิมีผู้ใดสามารถย่างกรายเข้าไปได้
ครั้นฉู่เพ่ยรู้ว่าจ้าวอี้เข้าไปในค่ายเสินเช่อ สีหน้าเขาพลันฉายแววไม่น่ามองยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เขารู้สึกเสียใจที่ยอมให้ท่านอ๋องมู่ติดตามเขาออกมานอกเมือง เขาตัดสินใจทำอะไรสิ้นคิดออกไป กองเพลิงมหึมาเช่นนี้ อย่างไรคนที่อยู่ข้างในนั้นก็คงยากที่จะรอดออกมาได้ จ้าวอี้เป็ถึงโอรสคนสำคัญที่สุดของฝ่าา ั้แ่ไหนแต่ไรมา เขาถูกวางตัวให้เป็รัชทายาทสืบต่อบัลลังก์ครองตำแหน่งฮ่องเต้ ทว่าในยามนี้...
ฉู่เพ่ยรู้ว่า ทั้งภายใต้โรคระบาดรุนแรงครานี้ และภายใต้เปลวเพลิงกองใหญ่ที่ลุกโหมอยู่ตอนนี้ จะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดของราชวงศ์แคว้นเป่ยฉีเปลี่ยนไป!
กองเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังแผดเผาค่ายเสินเช่อ ส่องสว่างทั่วท้องนภาในราตรีนี้
ในเมืองชุ่นเทียน เปลวเพลิงที่ลอยโหมพุ่งทั่วท้องฟ้า ย้อมนภาและเมฆาเหนือเมืองชุ่นเทียน กลายเป็สีแดงเพลิง
ณ วังหลวง
ในตำหนักฉินของฮ่องเต้หยวนเต๋อ ครั้นฮ่องเต้หยวนเต๋อทรงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังเข้ามาจากข้างนอก พระองค์ทรงเร่งรีบออกมาจากห้องทรงพระอักษรทันที เงยมองนภาสีแดงเพลิง อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน
"เผาแล้ว...เผาแล้ว..." ฮ่องเต้หยวนเต๋อพึมพำ ดวงตาสั่นไหว ราวกับโดนสูบเรี่ยวแรงออกจากวรกาย
ชิงหร่านคอยประคองเขาอยู่ด้านข้าง ทว่ากลับเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจเื่ราว “ฝ่าาเพคะ พระองค์...มิใช่ว่าเป็ผู้รับสั่งให้เผาค่ายเสินเช่อเองหรอกหรือเพคะ?”