“เพล้ง!” ในจวนเล็กๆ หลังหนึ่งของสายชีพจรเสวียน มีชุดน้ำชาลอยออกมาจากด้านในห้องพัก
“ศิษย์พี่จ้าว... ไม่เป็ไรหรอก เ้าคนนั้นก็เป็แค่คนใกล้ตายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลกับคนใกล้ตายหรอก” จางเว่ยโน้มตัวลงไปใกล้จ้าวเจิ้นหย่วน พลางกล่าวอย่างใจเย็น
“กล้าเอาลูกหมาป่าของข้าไป และยังทำให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าศิษย์พี่หญิงฉู่อีก หากไม่โกรธออกมา ข้าก็คงอัดอั้นเอาไว้ไม่ได้หรอก!” จ้าวเจิ้นหย่วนกล่าวอย่างเคร่งขรึม นับั้แ่เข้ามาอยู่สำนักยุทธ์ว่านจ้ง โดยมีพี่ชายอย่างจ้าวเฟิงอวิ๋นอยู่ด้วยกัน ก็แทบไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อต้านเขามาก่อน แม้แต่ผู้ดูแลที่รับผิดชอบสายชีพจรเสวียนก็ยังต้องยอมอ่อนน้อมให้กับเขา
แต่ในครั้งนี้ เขากลับถูกฉู่เยว่ฉานตำหนิต่อหน้าศิษย์จำนวนมากในหอตำรา เื่นี้จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร? เขารู้จักฉู่เยว่ฉานเป็อย่างดี นางเป็คนที่พี่ชายของเขายังเกรงกลัว เขาจึงไม่กล้าจะล่วงเกินนางเลย แต่เ้าคนใกล้ตายนั่น... ฮึ!
“แต่... แต่ศิษย์พี่หญิงฉู่ก็บอกเอาไว้แล้วนะ ว่าจะปกป้องเขาเป็เวลาสามปี... หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา อย่างไรนางก็อาจจะโทษเ้าได้?” จ่างเว่ยพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็กังวล
“เพียะ!” จ้าวเจิ้นหย่วนตบจางเว่ยจนกระเด็นออกไป และพูดอย่างเฉียบขาด “โทษข้าหรือ? เขาเป็คนที่กำลังจะตายอยู่แล้ว เกิดเขาตายขึ้นมาจะต้องโทษข้าด้วยหรือ? แม้ว่าศิษย์พี่หญิงฉู่จะปกป้องเขา แต่ก็ใช่ว่านางจะอยู่กับเขาทุกวันมิใช่หรือ? ไม่คิดหาวิธีบ้างหรือ? ยืมมือคนอื่นฆ่าไม่ได้หรือ? เ้านี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเ้าเอาชนะเขาไม่ได้ เื่มันจะเป็เช่นนี้หรือ?”
จางเว่ยกระอักเืออกมา ใบหน้าของเขาเผยท่าทางไร้เดียงสา แม้ว่าจะรู้สึกโกรธ แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยออกมา เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้นทันที “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว ศิษย์พี่จ้าวกล่าวมามีเหตุผลยิ่งนัก แต่พวกเราจะยืมมือคนอื่นมาอย่างไร? เพราะถึงอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ว่าศิษย์พี่หญิงปกป้องเขาอยู่”
“เื่นี้... ขอข้าลองคิดดูก่อน!” จ้าวเจิ้นหย่วนนั่งอยู่ตรงที่เดิม จ้องมองตรงไปเบื้องหน้า และครุ่นคิดอย่างหนัก
“ในเมื่อไม่ได้จุดตะเกียงกรรม เขาก็มีชีวิตอยู่ไม่เกินสามปี... เมื่อเป็เช่นนั้น แม้ว่าพวกเราจะไม่ลงมือ อย่างไรเขาก็ต้องตายอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่จะทำอย่างไรให้เขาตายเร็วขึ้นได้บ้าง?”
“จริงสิ... ตอนที่ผู้าุโเลี่ยทำการปรุงยาอยู่เมื่อสองสามวันก่อน เขาทำกุมารโอสถะเิตายไปอีกสองสามคนมิใช่หรือ?” จ่างเว่ยนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะกระซิบเบาๆ
ดวงตาของจ้าวเจิ้นหย่วนเปล่งประกายขึ้นทันที หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตบลงไปที่ศีรษะของจางเว่ย “เยี่ยมมาก... วิธีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ใบหน้าของจางเว่ยดูขมขื่นอย่างยิ่ง และกระอักเืออกมาเต็มปากอีกครั้ง
...
ฉินอวี่กลับมาถึงห้องพัก และยังคงคิดวนเวียนอยู่กับคำพูดของฉู่เยว่ฉาน
“การคัดเลือกศิษย์สิบอันดับแรก... อีกทั้งยังเป็ศิษย์รุ่นห้า ขั้นกุมารทิพย์ลงมา เป็ศิษย์รุ่นห้า หรืออาจกล่าวได้ว่า ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะในระดับขั้นเทียนชุ่ย? ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ เกรงว่าต่อให้เข้าร่วมได้ ก็คงจะยากที่จะติดอันดับหนึ่งในสิบ”
สิ่งนี้ไม่ใช่เพราะฉินอวี่กำลังคิดทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง แต่สำนักยุทธ์ว่านจ้งได้รวบรวมผู้มีพร์เอาไว้ และต่างมีพละกำลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าถงอวิ๋นเฟยทั้งสิ้น ความแข็งแกร่งของถงอวิ๋นเฟยในตอนนั้น ทำให้ฉินอวี่แอบหวั่นใจอยู่เล็กน้อย และนี่เป็เพียงพลังที่เกิดขึ้นหลังจากเขาระงับระดับการฝึกฝน!
ก่อนหน้านี้ ฉินอวี่เริ่มจับสังเกตไปในตอนฉู่เยว่ฉานกล่าวว่าสิบอันดับแรกจะได้เข้าไปในหอบรรพชน สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายอย่างควบคุมไม่ได้ จะเห็นได้ว่าการอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ไม่เพียงแต่จะได้เข้าคารวะบรรพชนในหอบรรพชนเท่านั้น แต่ยังมีรางวัลอื่นๆ อีกด้วย
จากสิ่งนี้ ฉินอวี่อาจจะพอคาดการณ์ได้ว่า ในสี่สายชีพจรจะต้องมีผู้มีพร์เป็จำนวนมากที่ระงับการฝึกฝนของตนเองไว้ เพื่อรอการคัดเลือกศิษย์ พละกำลังของพวกเขาต่างแข็งแกร่งอย่างเทียบมิได้ ซึ่งอาจเทียบได้กับขั้นกุมารทิพย์
“ระยะเวลาสามปี ในเวลาสามปีข้าจะต้องเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยให้ได้ จึงจะสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ และไม่รู้เลยว่าการคัดเลือกศิษย์นั้นเป็เช่นไร หากยังสู้ต่อไป ก็คาดว่าคงไม่สามารถเรียกวิชาปีศาจคลั่งขึ้นมาใช้ได้ ดังนั้น จะสามารถขึ้นเป็หนึ่งในสิบอันดับแรกได้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาสามปีนี้เสียแล้ว”
“อสุนีลึกลับ เพลิงแอ่งธรณี บางทีอาจกลายเป็ท่าไม้ตายของข้าจริงๆ น่าเสียดายที่เข้าไปได้เพียงส่วนชั้นที่หนึ่งของหอตำรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็เคล็ดวิชาการต่อสู้และวิชาต่างๆ แต่ก็ไม่มีตำราเล่มใดที่เกี่ยวข้องกับเพลิงแอ่งธรณีเลย” ฉินอวี่พึมพำ
“ช่างเถอะ มาดูก่อนดีกว่าว่ามีวิชาเต๋าแบบใดที่จะเหมาะกับอสุนีลึกลับบ้าง”
หลังจากนั้น ฉินอวี่ก็หลับตาทั้งสองข้างลง ชุดตำราที่เขาเคยอ่านผ่านมาต่างปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขา และเริ่มแสดงออกมาให้เห็น
ท้ายที่สุด เขาก็เลือกวิชาที่เหมาะสมกับ่เวลานี้ออกมาเล่มหนึ่ง และเป็คู่มือเล่มหนึ่ง
“ร่างป้องกันอสุนีลึกลับ!”
“คู่มือแก่นพลัง!”
“ลองศึกษาสองวิชานี้ดูก่อน ร่างป้องกันอสุนีลึกลับ สามารถยกระดับการป้องกันกายตนเองขึ้นมาได้ และวิธีการที่บันทึกไว้ในคู่มือแก่น... จะช่วยเพิ่มระดับของพลังอสุนีลึกลับ” ฉินอวี่พึมพำกับตนเองก่อนจะปิดตาลง
สามวันต่อมา
ฉินอวี่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพักของตนเอง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยอสุนีลึกลับที่หนาทึบราวกับใยแมงมุม และในขณะที่รวบรวมพลังอสุนีลึกลับอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างรวดเร็ว ฉินอวี่จึงรีบเก็บอสุนีลึกลับและลืมตาขึ้นทันที
“เ้าเป็คนกำลังใกล้ตายหรือ?” ศิษย์หนุ่มที่ดูสง่าผ่าเผยยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองฉินอวี่อย่างจับจ้อง และะโมาอย่างเ็า
“มีเื่อันใดหรือ?” ฉินอวี่ระงับความโกรธเอาไว้และพูดอย่างเคร่งขรึม
“เ้าได้รับเลือกจากผู้าุโเลี่ย” ชายหนุ่มร่างกำยำพูดอย่างเ็า
ฉินอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย และส่งเสียงเยาะเย้ยอยู่ในใจ จ้าวเจิ้นหย่วนเริ่มนั่งไม่ติดแล้วหรือ? หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เื่ของจ้าวเจิ้นหย่วนหากจบได้เร็วก็ดีไม่น้อย ไม่เช่นนั้น หากลากยาวต่อไป ก็จะเป็การรบกวนการฝึกฝนยุทธ์ของตนเองได้
เมื่อเดินออกไป ฉินอวี่จึงพบว่านอกจากตนเองแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนวัยหนุ่มอีกห้าคนกำลังรออยู่ไม่ไกล เมื่อฉินอวี่มองไปก็พบว่าเป็ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทั้งสิ้น
“ตามข้ามา!” ชายหนุ่มร่างกำยำทักทายศิษย์ทั้งห้า และเดินไปทางด้านหนึ่ง
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา
เมื่อเขาไปถึงสุดขอบเขตของสายชีพจรที่มีหุบเขาอยู่มากมาย ห่างจากจุดศูนย์กลางไปเกินกว่าหนึ่งร้อยลี้ ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งหยุดนิ่ง และส่งเสียงะโ “ผู้าุโเลี่ย กุมารโอสถชุดใหม่ได้มาถึงแล้ว” พูดจบ ชายหนุ่มร่างกำยำก็หันหลังมาอย่างรวดเร็ว ราวกับเขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี่และคนทั้งหกต่างมองหน้ากันและกัน มองไปยังหุบเขาด้วยความหวาดกลัว และรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างมาก
“พาเข้ามาให้หมด” เสียงที่ทุ้มดังออกมาจากหุบเขาแห่งนั้น
ฉินอวี่ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว และไม่รู้เลยว่าจ้าวเจิ้นหย่วนกำลังคิดจะทำอะไร เขาเหลือบมองห้องไม้ที่ดูเรียบง่ายที่สร้างไว้ทั้งสองด้านของปากทางเข้าหุบเขา กระท่อมไม้แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นไม่นาน เขาเริ่มสงสัยขึ้นในใจ และค่อยๆ เดินเข้าสู่หุบเขาแห่งนั้น
ทันทีที่เขาเข้าไปในหุบเขา เขาก็เห็นหม้อปรุงยาขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลางหุบเขา และมีผู้าุโที่เนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งกำลังจ้องไปยังหม้อปรุงยา ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ และเพิกเฉยต่อพวกฉินอวี่ทั้งหกคน
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากชายชรา หลายคนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว แต่ฉินอวี่กลับกวาดสายตาไปทั่วทั้งหุบเขา และพบว่ามีฝุ่นอยู่ในหุบเขาเป็จำนวนมาก ทั้งยังมีเศษสีดำและคราบเืสีแดงเข้มปรากฏอยู่อย่างไม่ชัดเจนนัก
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ทั้งหุบเขาก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของตัวยาที่เข้มข้น ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกมีพลัง แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องแปลกใจ คือกลิ่นของยาที่ให้ความรู้สึกเหนียว และในด้านในสุดของหุบเขามีกระท่อมไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ แต่กระท่อมไม้หลังนี้ดูเหมือนจะผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน เมื่อมองไปทางส่วนอื่นๆ ในหุบเขา ในใจของฉินอวี่กลับรู้สึกคาดการณ์อะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
หุบเขาแห่งนี้... ดูเหมือนจะผ่านการะเิมาก่อน และจ้าวเจิ้นหย่วนพาตนเองมาที่นี่ ก็เพราะเขากำลัง้า... นี่กำลังคิด... ยืมมือฆ่าคนหรือ? ไม่สิ... จะต้องบอกว่ายืมหม้อปรุงยาฆ่าคนเสียมากกว่า?
ขณะที่ฉินอวี่กำลังคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ผู้าุโที่ตัวมอมแมมก็หยิบวัตถุดิบยาที่ไม่รู้จักออกมา และโยนมันลงในหม้อปรุงยาอย่างลังเล แต่เมื่อมือขนาดใหญ่ของเขาตบลงไป เส้นสายลวดลายบนหม้อปรุงยาทั้งหมดก็เรืองแสงขึ้นทันที
“ตูม บึ้ม!”
ฉินอวี่ััได้ถึงเสียงที่ดังก้องในหูของเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังที่พลุ่งพล่าน เสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากนั้น คลื่นเสียงที่ดังก้องนับไม่ถ้วนก็ได้เกิดแรงคลื่นเสียงอันทรงพลังส่งตรงไปทางฉินอวี่ จนเขาลอยไปกระแทกเข้ากับกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ทำลายกระท่อมไม้เป็แตกเป็ชิ้นๆ
หลังจากตกลงสู่พื้นอย่างหนัก เืก็ไหลออกมาจากหน้าอกของฉินอวี่ และมองไปทางหุบเขาแห่งนั้นด้วยความสยดสยอง
เมื่อฝุ่นบนท้องฟ้าสลายไป หุบเขาที่ะเิได้เกิดเป็หลุมขนาดั์ และผู้าุโก็ยืนนุ่งผ้าขาดๆ อยู่บนหม้อปรุงยา สักพักก็มีเสียงคำรามมาจากหุบเขาว่า “เป็ไปได้อย่างไรกัน! นี่มันเื่อะไรกันแน่? ข้าไม่เชื่อในความโชคร้ายครั้งนี้ ใครก็ได้มานี่เดี๋ยวนี้...”
ฉินอวี่หยิบยาอายุวัฒนะออกมาแล้วใส่เข้าไปในปาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ดังนั้นแผนการอันชั่วร้ายของจ้าวเจิ้นหยวน ที่แท้คือการให้หม้อปรุงยาะเิใส่ตนเองจนตาย?
นี่นับยังเป็โชคดีของเขา ถ้าเขาโดนเศษหม้อปรุงยากระแทกเข้าใส่ละก็ เมื่อคิดภาพตาม ฉินอวี่ก็หันไปมองศิษย์ที่ถูกเศษหม้อปรุงยากระแทกจนศีรษะแตก เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ทันที
“ใครก็ได้มานี่เดี๋ยวนี้!” ผู้าุโร่างกายมอมแมมพูดพลางมองไปบนพื้น
ดูเหมือนจะไร้การตอบรับ ผู้าุโหันศีรษะไปอย่างกะทันหัน เห็นเพียงคนสี่ในหกคนถูกะเิตาย และมีคนหนึ่งเป็ลมหมดสติไปแล้ว แต่ผู้าุโที่เนื้อตัวมอมแมมยังคงเมินเฉยต่อการตายของกุมารโอสถ ดวงตาของเขาเพ่งเล็งมาทางฉินอวี่ จากนั้นยกมือขวาอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี่ััได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา จากนั้นร่างกายก็พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และร่อนลงต่อหน้าผู้าุโ
ผู้าุโมีความสูงประมาณห้าจ้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีดำ ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน เส้นผมของเขาต่างชี้ไปทางด้านหลังราวกับเข็มเหล็ก
“ระดับเขตแดนเต๋า! ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋า” หัวใจของฉินอวี่ดิ่งลึกลงทันที! เขานึกไม่ถึงว่าผู้าุโหน้าตาอัปลักษณ์คนนี้จะเป็ถึงผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋า
“ข้ากำลังเรียกเ้า ไม่ได้ยินหรือ?” ผู้าุโตะคอกด้วยความโกรธ ก่อนที่ฉินอวี่จะตอบอะไรออกมา ผู้าุโก็เขวี้ยงตัวยาเม็ดหนึ่งเข้าปากของฉินอวี่ และะโดังลั่น “เอาป้ายคำสั่งไป ไปที่หอร้อยสมบัติ เปลี่ยนหม้อปรุงยาใบใหม่ให้ข้าด้วย และแลกวัตถุดิบยาเหล่านี้มาด้วยสิบชุด! ข้าให้เวลาเ้าหนึ่งชั่วยาม” พูดจบ ผู้าุโก็ปล่อยฉินอวี่ และหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงแผ่นหนึ่งและหนังสัตว์อสูรผืนหนึ่งออกมา
เมื่อเม็ดยาเข้าไปในปากของเขา ฉินอวี่รู้สึกเพียงพลังบริสุทธิ์ที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย ฟื้นฟูร่างกายที่าเ็ของเขา ขณะที่เขากำลังประหลาดใจ ผู้าุโก็ะโออกมา “เ้ายังยืนทำอะไรอยู่อีก ทำไมไม่รีบไปเล่า? หากหมดเวลา ข้าจะให้เ้ารับผิดชอบ!”
แม้ว่าฉินอวี่จะมีความโกรธอย่างไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเื่เป็เช่นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ตอนนี้ได้แต่คอยคิดว่าจะหนีออกไปเช่นไร หากอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจถูกะเิตายจริงๆ เป็แน่
หรือมันจะจริงตามที่พวกเขาพูดกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปี?
“เอ๊ะ... กระท่อมไม้เ่าั้ไม่ถูกะเิหรือ?” ฉินอวี่จ้องมองไปยังกระท่อมไม้ที่อยู่ด้านในสุดของหุบเขา และพูดขึ้นอย่างใ แต่ก็ไม่นึกอะไรต่อ ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปจากหุบเขา
