10 วันต่อมา กลิ่นอายของหลินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนมีแสงสีขาวนวลเข้าออกขณะที่สูดลมหายใจ
ตอนนี้เองด้านนอกถ้ำจงกู่ มีเงาร่าง 2 ร่างกำลังใกล้เข้ามา
“ที่นี่เป็สถานที่ที่ดีจริงๆ มันช่างเงียบสงบและเหมาะแก่การบ่มเพาะเป็อย่างมาก” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวออกมาเมื่อมองเห็นถ้ำ และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ
“เสวี่ยเอ๋อ เรามาทำที่นี่ให้กลายเป็สถานที่บ่มเพาะกันดีไหม เ้าว่าอย่างไร?”
“ข้าคิดว่าในใจของเ้าไม่น่าจะคิดถึงเื่การบ่มเพาะอยู่นะ” หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ สวมชุดรัดรูปสีแดงเพลิง และมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงามน่าดึงดูดใจมาก
“ฮ่าๆๆ ก็ยามว่างจากการฝึก ข้าจะได้พาสาวงามเช่นเ้าไปท่อง์ไง แบบนี้ดีหรือไม่?” ชายหนุ่มคนนั้นมีร่างกายผอมแห้งและผิวที่ขาวซีด ดูไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์เท่าไร
หญิงสาวที่สวมเสื้อสีแดงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นเงียบๆ แต่ก็ไม่กล่าวปฏิเสธ เนื่องจากว่าการบ่มเพาะพลังนั้นต้องใช้เงินเป็จำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วเม็ดยาคุณภาพสูงหรืออาวุธดีๆ จะมีราคาค่อนข้างสูง ถ้าเป็คนที่มาจากครอบครัวธรรมดาๆ และไม่กล้าเสี่ยงอันตรายเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์อสูรปีศาจ ก็เป็ไปได้ยากที่จะมีเงินมาซื้อของเหล่านี้ ครอบครัวและพร์ของหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงล้วนมีพื้นเพที่ธรรมดามาก ดังนั้นเพื่อให้การบ่มเพาะรวดเร็วขึ้น นางจึงคิดใช้ทางลัดด้วยการเข้าหาผู้ชายคนนี้
ลู่เฟย อายุ 18 ปี บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 พร์ของเขานั้นธรรมดามาก แต่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก ทำให้เขาสามารถมาถึงจุดนี้ได้ อีกทั้งพี่ชายของเขา ลู่เหลียง ก็ยังเป็ศิษย์สายใน ดังนั้นหญิงสาวนาม เสวี่ยฮวน จึงได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับลู่เฟย เพื่อที่จะได้รับเม็ดยาคุณภาพสูงและอาวุธดีๆ ในเวลาเดียวกันยังได้เพลิดเพลินกับความสุขทางกายอีกด้วย
เมื่อเข้าไปในถ้ำ ทั้งสองคนก็เห็นหลินเฟิงนั่งสมาธิบ่มเพาะอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง ไม่คิดว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องเปลี่ยนที่เสียแล้ว” เสวี่ยฮวนกล่าวด้วยความเสียดาย
“เปลี่ยนที่อะไร? ดูจากกลิ่นอายก็รู้แล้วว่า เขาอยู่แค่ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ข้าจะเป็คนทำให้มันไปเอง” ลู่เฟยกล่าวขณะส่ายหน้า
“มันคงจะไม่ดีนะ” เสวี่ยฮวนหัวเราะคิกคัก
“อะไรกัน มันก็แค่คนอ่อนแอ รอข้าตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปไล่มันออก” ลู่เฟยแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย มันเป็เื่ปกติที่ผู้ที่แข็งแกร่งจะใช้กำลังยื้อแย่งถ้ำฝึกฝนจากผู้ที่อ่อนแอกว่า และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผู้ที่อ่อนแอถึงได้เกลียดชังผู้ที่แข็งแกร่งนัก ในวันข้างหน้าหากมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะกลับมาแก้แค้น ดังนั้นผู้ที่แข็งแกร่งจึงต้องจบเื่ภายในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายอาจกลับมาแก้แค้นได้
“ฮิฮิ” การที่เสวี่ยฮวนหัวเราะคิกคัก นั่นก็แสดงว่ายอมรับวิธีการของลู่เฟย
ถ้ำจงกู่แห่งนี้น้อยคนนักที่จะมา จึงเป็สถานที่ที่เหมาะแก่การค้นหาความสุขและบ่มเพาะพลังเป็อย่างมาก
“ไอ้หนู เลิกเสแสร้งได้แล้ว ตื่น!” ลู่เฟยรู้สึกถึงคลื่นหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ตัวของหลินเฟิง
หลินเฟิงลืมตาขึ้นพร้อมจิตสังหารที่หนาวเหน็บ ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาในถ้ำ เขาก็ตื่นแล้ว แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะจากไปด้วยตัวเอง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะคิดไปฝ่ายเดียว ความคิดของคนเหล่านี้เลวร้ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
“เ้า้าไล่ข้าออกไป หรือว่า้าทำลายการบ่มเพาะของข้า?” หลินเฟิงถามอย่างเ็า
“ในเมื่อเ้าได้ยินทั้งหมดแล้วก็ลงมือด้วยตัวเองเถอะ ทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง จากนั้นค่อยไสหัวไป” ลู่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับว่าที่กล่าวไปนั้นเป็เื่เล็กน้อย
“เยี่ยม” หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหาลู่เฟยอย่างช้าๆ
“เ้ายังไม่ได้ทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง แล้วคิดจะจากไปง่ายๆ อย่างนี้เหรอ?” ลู่เฟยยิ้มอย่างเ็า เมื่อคิดว่าหลินเฟิงจะจากไปแบบนี้
“ข้าบอกตอนไหนว่าข้าจะไป?” ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววเยาะเย้ย ทันทีที่กระแทกเท้าลงบนพื้นดิน ทั่วทั้งถ้ำก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง และร่างของหลินเฟิงก็พุ่งเข้ามา
“หืม?” ลู่เฟยขมวดคิ้วและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพราะมีหมัดกำลังพุ่งตรงมาหาเขา
“ตูม!!!”
“อ้าก!!!”
กระดูกแขนของลู่เฟยถูกบดขยี้จนแตกหักและห้อยลงมา ซึ่งในเวลาเดียวกันตรงลำคอของเขาได้มีมือของปีศาจจับไว้ แล้วยกร่างของเขาขึ้นมา
“ข้าอยากถามเ้านักว่า เ้าจะใช้วิธีอะไรมาทำลายการบ่มเพาะของข้า?” หลินเฟิงมองลู่เฟยที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักด้วยสายตาเ็า ส่วนสีหน้าของเสวี่ยฮวนที่ยืนอยู่อีกด้านก็ดูซีดขาว พวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าเถิด ข้าจะไปจากที่นี่” ลู่เฟยจับแขนของหลินเฟิงที่คว้าคอของเขาไว้และพยายามที่จะดึงออก ขณะที่เปล่งน้ำเสียงแหบแห้งออกมาจากปากอย่างยากลำบาก
“รู้ว่าผิดไปแล้ว ก็พอเถิด?” ในตอนแรกคิดว่าเขาเป็เพียงลูกพลับนิ่ม จึง้าทำลายการบ่มเพาะและไล่หลินเฟิงออกไป แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่สามารถทำได้ จึงยอมรับผิดแล้วจากไป ในใต้หล้านี้มีเื่ที่สะดวกสบายขนาดนี้ด้วยหรือ? หากศักยภาพของเขาไม่ดีเท่ากับอีกฝ่าย ตอนนี้เขาคงถูกทำลายการบ่มเพาะไปแล้ว
“เมื่อเ้า้าทำลายการบ่มเพาะของผู้อื่น ก็ต้องเตรียมใจไว้ว่าจะถูกผู้อื่นทำลายการบ่มเพาะของเ้าด้วย” จบประโยคนี้หลินเฟิงก็ปล่อยหมัดโจมตีไปที่จุดชี่ไห่ของลู่เฟย ส่งผลให้ลู่เฟยกระเด็นออกไป
หลินเฟิงเหลือบมองไปที่เสวี่ยฮวนที่ยืนตะลึงอยู่ข้างๆ พลางกล่าวอย่างเ็าว่า “ไสหัวไป!”
ร่างกายของเสวี่ยฮวนสั่นสะท้าน นางรีบวิ่งไปหาลู่เฟยและพยุงเขาออกจากถ้ำ
“เ้าทำลายการบ่มเพาะของข้า เ้าจะต้องไม่ตายดีแน่…” เสียงะโลอยมาจากนอกถ้ำ แต่หลินเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบโต้และกลับไปฝึกฝนต่อ
หลังจากหลินเฟิงฝึกต่อได้ไม่นานก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ลู่เฟยและเสวี่ยฮวนได้ย้อนกลับมา ทั้งยังนำคนอื่นมาด้วย
คนคนนี้อายุราวๆ 19 ปี ดูคล้ายคลึงกับลู่เฟยนิดหน่อย แต่ใบหน้าเหมือนกับนกอินทรีและมีดวงตาที่คมดุจเหยี่ยว ทว่าดูเคร่งขรึมกว่าลู่เฟยมาก
“พี่ใหญ่ ไอ้สารเลวนี่มันหักแขนของข้า และยังทำลายการบ่มเพาะของข้าด้วย ข้า้าให้มันตาย ไม่ดีกว่า… ข้า้าให้มันตายทั้งเป็!” ลู่เฟยกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูอึมครึมและน่ากลัวราวกับผีร้าย
“วางใจเถอะ ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของมันก่อน แล้วค่อยบดขยี้แขนมัน จากนั้นจะส่งให้เ้าจัดการ” ลู่เหลียงกล่าวขณะที่จ้องมองไปยังหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกเหมือนเป็เหยื่อที่กำลังจะถูกนกล่า
“เยี่ยม” ลู่เฟยพยักหน้าอย่างพอใจ
หลินเฟิงขมวดคิ้ว แม้ว่าลู่เหลียงจะยังไม่แสดงพลังออกมา แต่ด้วยดวงตาดุจเหยี่ยวคู่นั้น เขาก็สามารถรู้ได้ว่าคนคนนี้แข็งแกร่งกว่าลู่เฟยมาก เมื่อเทียบกับศิษย์สายนอกที่อยู่อันดับที่ 6 อย่างจิ่งฮ่าวล้วนแข็งแกร่งกว่ามากโข
“กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายน้องชายข้า ข้าจะทำให้เ้ารู้ว่าผลลัพธ์นั้นมันเ็ปแค่ไหน” ลู่เหลียงกล่าวขณะที่เดินไปหาหลินเฟิง
เมื่อหลินเฟิงก้าวไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ พลังทั้งหมดในตัวของเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง
ระลอกคลื่นที่รุนแรงในอากาศได้แผ่พุ่งออกมา คลื่น์เก้ากระแทกทำให้อากาศทั้งหมดเกิดการสั่นะเื ภายในถ้ำได้มีเสียงแผดร้องขึ้นมา ถึงแม้ว่าการบ่มเพาะของหลินเฟิงจะอยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่พลังของคลื่น์เก้ากระแทกที่ปล่อยออกไป กลับมีพลังมากถึง 9,000 จินหรืออาจจะถึง 9,500 จิน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
“ที่แท้เ้าก็จงใจปิดบังระดับการบ่มเพาะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมน้องชายของข้าถึงถูกทำลายการบ่มเพาะได้ แต่พลังแค่นี้ไม่สามารถเอาชนะข้าได้หรอก”
เมื่อลู่เหลียงได้เห็นพละกำลังของหลินเฟิง ทำให้คิดว่าหลินเฟิงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เขาลอบก่นด่าความโง่เขลาของน้องชายตัวเอง ที่วันๆ รู้จักแต่จะหาความสุขกับผู้หญิง จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายแบบนี้
ลู่เหลียงเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา เสียงนี้ไม่เหมือนเสียงของมนุษย์ แต่เหมือนเสียงร้องของเหล่านักล่าเสียมากกว่า
ลู่เหลียงเปลี่ยนฝ่ามือเป็กรงเล็บ โดยที่กรงเล็บทั้งห้าล้วนเคลือบไปด้วยลมปราณที่คมกริบ
เมื่อคลื่น์เก้ากระแทกปะทะเข้ากับกรงเล็บ หลินเฟิงก็ถอยฉากออกมา พลางมองที่มือของตัวเองซึ่งถูกข่วนจนเืไหลออกมาไม่หยุด
ความเ็ปแล่นพล่านไปทั่วร่าง
“ขอบเขตแห่งจิติญญา!” หลินเฟิงจ้องมองไปที่ลู่เหลียง การที่กรงเล็บนั่น สามารถทำลายคลื่น์เก้ากระแทกที่มีพลังกว่า 9,500 จินอย่างง่ายดาย ทั้งยังฝากรอยข่วนไว้ที่มือของเขาได้ แสดงว่าการบ่มเพาะของอีกฝ่ายมากกว่าขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9
“ตอนนี้เ้ารู้สึกเสียใจหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่มันสายไปแล้ว” ลู่เหลียงไม่ปฏิเสธ เขาเพิ่งบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่เพียงแต่ร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น กระทั่งลมปราณที่ปลดปล่อยออกมาก็ยังทรงพลังอีกด้วย หากผู้บ่มเพาะในขอบเขตนักรบลมปราณเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะในขอบเขตแห่งจิติญญา อย่างไรก็สู้ไม่ได้
“ต้องเสียใจสิ เสียใจที่ไม่ได้ฆ่ามันั้แ่แรก” หลินเฟิงกล่าวขณะชักดาบที่อยู่ด้านหลัง ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวดั่งเงา
ถ้าจะมัวมานั่งเสียใจ มิสู้งัดทุกอย่างที่มีเพื่อต่อสู้เอาตัวรอดดีกว่าเหรอ
เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มไปทั่วถ้ำ ดาบยาวของหลินเฟิงกลายเป็ลำแสงแทงไปที่ลู่เหลียง
ลู่เหลียงไม่สามารถหลบการโจมตีได้ กรงเล็บของเขางอเป็ตะขอและพุ่งทะยานไปทางดาบ ด้วยลมปราณอันแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยออกมา ทำให้ปลายดาบบิ่นเล็กน้อย เขาใช้กรงเล็บจับไปที่ดาบโดยตรง
“อัสนีกัมปนาท” หลินเฟิงะโ ทันใดนั้นดาบก็ส่งเสียงร้องคำรามดุจฟ้าผ่าออกมา ลู่เหลียงที่ใช้กรงเล็บัักับปลายดาบของหลินเฟิง ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่รุนแรงราวกับสายฟ้า
ดาบที่ว่องไวราวกับสายลม หมุนเป็พายุประสานไปกับเสียงคำรามของสายฟ้า บังเกิดเป็พลังที่ทรงอำนาจขึ้นมา
“ตูม!”
ด้วยพลังโจมตีที่ทรงอำนาจ ลู่เหลียงจึงปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบของตัวเองออกมา มันคือจิติญญาแห่งอสูร จิติญญานกอินทรี
ด้านหลังของลู่เหลียงปรากฏเงาร่างของนกอินทรีขึ้นมา แต่ทว่ายังห่างไกลจากจิติญญานกเวหาของฉู่จ่านเผิงที่ดูน่าเกรงขามกว่ามาก
เมื่อนกอินทรีแผดเสียงร้องออกมา ทันใดนั้นกรงเล็บของลู่เหลียงก็เรืองแสงสีทอง ก่อนจะไหลไปรวมตัวกันที่ตรงกลาง และทำลายคลื่นดาบที่พุ่งทะยานเข้ามาจนแตกกระจาย ดาบของหลินเฟิงยังคงถูกกรงเล็บของลู่เหลียงจับไว้
“ความน่าเกรงขามของขอบเขตแห่งจิติญญา เ้าคิดว่าสามารถต่อสู้กับมันได้หรือ?” ดวงตาดุจเหยี่ยวของลู่เหลียงเผยร่องรอยความป่าเถื่อนขึ้นมา เมื่อครู่นี้เขาได้ปะทะกับท่าดาบของหลินเฟิง และรับรู้ถึงพลังโจมตีที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย จึงปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา
ด้วยประสบการณ์จากการทดสอบที่หน้าผาจงกู่ ทำให้เคล็ดวิชาอัสนีกัมปนาทของหลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะอยู่เพียงระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่พลังโจมตีกลับไม่ด้อยไปกว่าระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เผลอๆ อาจจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ลู่เหลียงปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา ไม่ว่าการมองเห็นหรือพละกำลังล้วนแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงสามารถจับดาบของหลินเฟิงตรงๆ ได้
แต่ทว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณไม่สามารถต้านทานผู้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้ จริงๆ เหรอ?
หลินเฟิงไม่เชื่อ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้