สีหน้าของหนานหลิงพลันมืดครึ้มลงทันใด ภายในสำนักศึกษาเทียนอวิ่น หยวนเฮ่าผู้นี้ขึ้นชื่อเื่ความแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าเขา หากวันนี้้าจัดการกับมู่เฟิง เห็นทีว่าคงไม่ง่ายแล้ว
“เขามีนามว่าหยวนเฮ่า เป็คนของอาณาจักรต้าหยวน ที่ผ่านมาเขาตามเกี้ยวพาข้าอย่างไร้อย่างอายมาตลอด แต่ว่าข้าไม่ได้สนใจเขา”
มู่หลิงเอ๋อร์ตอบกลับมู่เฟิงที่อยู่ด้านข้างไปตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบัง ในขณะเดียวกันนางก็จับแขนของมู่เฟิงเอาไว้ด้วย
เมื่อหยวนเฮ่าเห็นว่ามู่หลิงเอ๋อร์จับแขนเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง เขาก็นึกอิจฉาขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็บูดบึ้ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “หลิงเอ๋อร์ เขาคือใคร?”
“เขาคือน้องชายของข้านามมู่เฟิง เ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”
มู่หลิงเอ๋อร์ตอบกลับอย่างเฉยชา
“ว่าอย่างไรนะ แท้จริงก็เป็เสี่ยวเฟิงหรอกหรือ ฮ่าๆ เป็ครอบครัวเดียวกัน เป็ครอบครัวเดียวกัน เสี่ยวเฟิง ข้ามีนามว่าหยวนเฮ่า เป็พี่เขยในอนาคตของเ้า”
เมื่อหยวนเฮ่าได้ยินว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้างคือน้องชายของมู่หลิงเอ๋อร์ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขายิ้มแย้มออกมาอย่างเป็มิตร ก่อนจะตบลงบนไหล่ของมู่เฟิงเพื่อเป็การทักทายพร้อมกับยิ้มละไม
เมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของมู่เฟิงถึงกับกระตุกในทันที ชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก เขาจึงยิ้มออกมาก่อนทักทายอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่หยวน
“หยวนเฮ่า หนานหลิงคิดจะกลั่นแกล้งเสี่ยวเฟิง เ้าจะช่วยเขาหรือไม่?”
มู่หลิงเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ช่วย ข้าย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว หนานหลิง จากนี้ไปน้องมู่เฟิงจะเป็คนที่ต้าหยวนของพวกเราให้การปกป้อง หากเ้าคิดจะกลั่นแกล้งเขา ต่อไปเ้าคงต้องถามข้าหยวนเฮ่าผู้นี้ก่อนว่ายินยอมหรือไม่”
หยวนเฮ่าแสดงเจตจำนงของตัวเองออกมาทันที เขาจ้องมองหนานหลิงอย่างเ็า
ทุกคนต่างก็หันไปมองหนานหลิงที่เวลานี้ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็ดำคล้ำด้วยแรงโทสะแล้ว
ในเมื่อวันนี้มู่เฟิงมีหยวนเฮ่าและมู่หลิงเอ๋อร์คอยหนุนหลัง เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถแตะต้องอีกฝ่ายได้แล้ว
“มู่เฟิง ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะสามารถหลบซ่อนอยู่หลังผู้หญิงไปได้ตลอดชีวิต วันเวลาในสำนักศึกษายังอีกยาวไกล เอาไว้เราค่อยมาเล่นกันใหม่”
หนานหลิงเหลือบตามองมู่เฟิง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“ข้ามู่เฟิงจะรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ใดกันแน่จะเป็ฝ่ายชนะ”
มู่เฟิงหรี่ตาลง ขณะกล่าวอย่างใจเย็น
หนานหลิงเหลือบมองไปทางกลุ่มคนของหยวนเฮ่า ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังอวิ๋นชิงว่าน เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า จากนั้นก็หมุนตัวเดินนำคนของตนจากไป
“เ้าคนทราม”
มู่ขวงมองตามหลังหนานหลิงไปพร้อมกับสบถออกมา
“เฟิง ข้าขอโทษ ข้า...”
อวิ๋นชิงว่านที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้ารู้สึกผิด นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
มู่เฟิงยิ้มบางก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวของเด็กสาว เขาใช้มือข้างหเดียวดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เื่ถอนหมั้นนั้นข้ารู้อยู่แล้ว ข้าไม่โทษเ้า ข้ารู้ว่าเ้าไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเื่นี้”
อวิ๋นชิงว่านกระชับกอดมู่เฟิงแน่น มู่เฟิงทั้งอ่อนโยนและเอาใจใส่นางมาก
หยวนเฮ่ามองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เขาพลันตระหนักถึงต้นเหตุของความขัดแย้งระหว่างมู่เฟิงกับหนานหลิงได้ในทันที
“หลิงเอ๋อร์ คิกๆ ข้าจัดการเื่นี้ได้ดีหรือไม่”
หยวนเฮ่าส่งยิ้มให้มู่หลิงเอ๋อร์
“นับว่าไม่เลว"
มู่หลิงเอ๋อร์พยักหน้า ในที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นตรงมุมปากของนาง
“แค่เ้ามีความสุขก็พอแล้ว ข้ายังมีเื่ต้องทำคงต้องขอตัวก่อน น้องมู่เฟิง หากเ้ามีเวลาก็มาเที่ยวเล่นที่ต้าหยวนของเราได้”
หยวนเฮ่าหันไปส่งยิ้มให้มู่เฟิง
“เื่วันนี้ขอบคุณพี่ใหญ่หยวนมากขอรับ”
มู่เฟิงกำหนัดคำนับอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบคุณ จากนี้ไปเราถือเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว”
หยวนเฮ่าโบกมือก่อนจะกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี มู่เฟิงตกตะลึง ชายผู้นี้ช่างหน้าหนาเสียจริง
เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดครึ้มลงของมู่หลิงเอ๋อร์ หยวนเฮ่าก็รีบจากไปพร้อมกับคนของเขาอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิง หยวนเฮ่าผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ฮึ่ม แค่เ้าทึ่มผู้หนึ่งเท่านั้น ไปกันเถอะ ผู้ดูแลของพวกเ้ากำลังรออยู่”
มู่หลิงเอ๋อร์แค่นเสียงออกมาอย่างเ็า จากนั้นเด็กสาวก็จับมือมู่เฟิงและเดินนำกลุ่มคนตระกูลมู่ไปยังเรือนพัก
เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงเขตเรือนพักขนาดใหญ่ มู่เฟิงกวาดตามองเขตเรือนพักด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ในบริเวณนีอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของพลังฟ้าดินที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งมันมีความเข้มข้นสูงกว่าสถานที่อื่น
ภายในเขตเรือนพักแห่งนี้มีเพียงเรือนพักของศิษย์สายนอกตั้งอยู่ และภายในเรือนพักจะมีสามห้องนอนหนึ่งห้องโถง โดยด้านหน้าเรือนพักจะมีลานสำหรับการฝึกซ้อม หนึ่งเรือนพักจะมีผู้อาศัยอยู่เพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นแต่ละคนจึงมีห้องแบ่งเป็สัดเป็ส่วนของตัวเอง
มู่เฟิง มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ถูกจัดให้อยู่ในเรือนพักเดียวกัน ส่วนบรรดาศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นนั้นก็ได้เรือนพักในบริเวณใกล้เคียงนัก
หลังจากทำการจัดสรรที่พักของตนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มารวมตัวกันในห้องโถง เวลานี้พวกเขากำลังหารือกันเกี่ยวกับเื่บางอย่าง
“พี่หญิง พวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นเลย ท่านช่วยอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือไม่ แล้วภายในสำนักศึกษาจวนเป่ยอ๋องมีอำนาจมากเพียงใดขอรับ”
มู่เฟิงเอ่ยถาม
มู่หลิงเอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะเริ่มเล่าว่า “เ้าคงได้ยินที่ผู้าุโเจิ้งกล่าวแล้วว่ากฎเหล็กของที่นี่คือห้ามสังหารคน แน่นอนว่ากฎนี้ครอบคลุมแค่ในสำนักศึกษาเท่านั้น ส่วนข้างนอกจะเป็อย่างไรล้วนไม่มีใครสนใจเ้า”
“ในสำนักศึกษาจะถูกแบ่งออกเป็ชั้นนอกและชั้นใน หากว่า้าเข้าสู่สำนักศึกษาชั้นใน จำเป็ต้องบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังให้ได้ก่อน เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสามารถเรียนรู้ทักษะวิชาที่ลึกล้ำขึ้นได้ และเรือนพักของศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในก็แตกต่างกัน ภายในเขตเรือนพักของศิษย์สายในมีการลงลายเส้นของอาณาเขตรวมจิติญญาเอาไว้ ทำให้พลังฟ้าดินในบริเวณนั้นเข้มข้นกว่าที่นี่มาก”
มู่หลิงเอ๋อร์อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับสำนักศึกษาให้เด็กหนุ่มทั้งสามคนฟัง
“ตอนนี้พี่หญิงของข้าก็เป็ศิษย์สายในแล้วใช่หรือไม่?”
มู่เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนสิ”
มู่หลิงเอ๋อร์ยิ้มบาง ก่อนจะอธิบายต่อว่า “ภายในสำนักศึกษามีศิษย์มากกว่าหนึ่งหมื่นคน ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนมาจากหลากหลายสถานที่ที่แตกต่างกันไป เมื่อทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ มันจึงเกิดเป็กองกำลังของบัณฑิตขึ้นมา”
“ส่วนกลุ่มคนของหนานหลิงที่พวกเ้าเพิ่งเห็นเมื่อครู่ พวกเขาล้วนเป็คนของจวนเป่ยอ๋องรุ่นก่อนที่เข้ามาศึกษาที่นี่ พวกเขาสร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมา และเรียกกลุ่มของตัวเองว่าสมาคมเป่ยอ๋อง ในขณะนี้มีหนานหลิงเป็ผู้นำกลุ่ม ซึ่งวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับหนิงกังขั้นหกแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็ยอดฝีมือที่ถูกจัดอยู่อันดับอีกด้วย”
“ส่วนวรยุทธ์ของเ้าทึ่มหยวนเฮ่าก็อยู่ในระดับหนิงกังเช่นกัน เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรต้าหยวน เขาได้รวบรวมบรรดาศิษย์ที่มาจากอาณาจักรต้าหยวนและก่อตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้น โดยเรียกขานกลุ่มของตัวเองว่าต้าหยวน ซึ่งวรยุทธ์ระดับหนิงกังของหยวนเฮ่านั้นก็อยู่ในขอบเขตระดับกลางเหมือนกับหนานหลิงเช่นกัน”
“นอกจากกลุ่มของพวกเขาแล้ว ยังมียอดฝีมืออีกหลายกลุ่มที่จับกลุ่มรวมตัวกันเช่นนี้”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าว
“แล้วตระกูลมู่ของเรามีหรือไม่ขอรับ?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม
“แน่นอนว่ามี ศิษย์ตระกูลมู่ของเราก็มีการรวมกลุ่มเช่นกัน”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จริงสิ พี่หลิงเอ๋อร์ ข้าได้ยินท่านพูดถึงการจัดอันดับ มันคือสิ่งใดหรือขอรับ?”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“การจัดอันดับนี้หมายถึงอันดับความแข็งแกร่งของศิษย์ในสำนักศึกษา โดยอันดับเหล่านี้จะเป็รายชื่อของผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยอันดับแรก ซึ่งชื่อของหนานหลิงและหยวนเฮ่าก็รวมอยู่ในจำนวนหนึ่งร้อยคนนี้ด้วย สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็บุคคลที่โดดเด่นจากบรรดาคนนับหมื่นในสำนักศึกษา และวรยุทธ์ของพวกเขาก็ล้วนอยู่ในระดับหนิงกังขึ้นไป”
มู่หลิงเอ๋อร์อธิบายขณะที่มือของนางก็นำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมากาง ซึ่งในนั้นได้บันทึกรายชื่อของคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้
ทุกคนมองไปยังรายชื่อแรก ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งคือ เว่ยอี้อวิ๋น วรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้า!
ผู้แข็งแกร่งอันดับสองคือ ข่งย่วน วรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้า!
ผู้แข็งแกร่งอันดับสามคือ ซือถูคง วรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้า!
ผู้แข็งแกร่งอันดับสี่คือ หยางฉาน
เมื่อทุกคนได้เห็น พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของตนกำลังชาหนึบ รายชื่อผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกล้วนมีแต่ผู้ที่มีวรยุทธ์อยู่ในระดับหนิงกังขั้นเก้าทั้งนั้น ในขณะที่อันดับหนึ่งร้อยคือวรยุทธ์ระดับหนิงกังในขอบเขตเทียนเว่ยระดับเล็ก
และชื่อของมู่หลิงเอ๋อร์ก็ถูกจัดอันดับให้เป็หนึ่งในร้อยเช่นกัน โดยชื่อของนางอยู่ในอันดับที่เก้าสิบห้า ส่วนหนานหลิงอยู่ในอันดับที่สามสิบเอ็ด ในขณะที่หยวนเฮ่าอยู่ในอันดับที่สามสิบสาม
กล่าวได้ว่าในบรรดารายชื่อของผู้ที่ติดอันดับเหล่านี้ ไม่ว่าจะสุ่มเลือกใครขึ้นมา พวกมู่เฟิงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
สถานที่แห่งนี้คือแหล่งรวมของเหล่ายอดฝีมือในแผ่นดินเป่ยหยวนอย่างแท้จริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้