การกระทำและคำพูดของเฉินเฟิงนั้นค่อนข้างทำร้ายจิตใจ
หลิ่วอีอีแอบชอบเขามาตั้งสามปีและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขาอีกหลายครั้ง
น่าเสียดายที่โชคชะตาช่างเล่นตลก
กลายเป็ว่าหลิ่วอีอีคือลูกสาวของประธานบริษัทเทคโนคอมเซียงเหลียน หลิ่ว่จื้อ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีวาสนาต่อกัน!
ยิ่งกว่านั้น หลิ่ว่จื้อก็พูดชัดเจนแล้วว่า จะไม่ยอมให้หลิ่วอีอีจดทะเบียนสมรสกับเขา
เฉินเฟิงและหลิ่ว่จื้อต่างเป็คนที่พูดแล้วทำ เมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้ว พวกเขาจะไม่กลับคำ
“เฉินเฟิง...ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง…พ่อก็เป็พ่อ…ส่วนฉัน คือฉัน...พ่อแม่ของฉันหย่าร้างกันตั้งนานแล้ว ฉันอาศัยอยู่กับแม่มาตลอด หรือถ้าคิดว่าฉันคนเดียวไม่พอ ฉันจะแนะนำน้องสาวฉันหลิ่วชิงชิงให้รู้จักด้วยก็ได้ เธอเพิ่งสอบเข้ามหาลัยเสร็จในเดือนมิถุนานี้เอง เธอวางแผนจะเข้ามาเรียนที่มหาลัยโม๋ตูที่เดียวกับเรา"
เพื่อที่จะเหนี่ยวรั้งเฉินเฟิงไว้ หลิ่วอีอียอมกระทั่งลดคุณค่าของตนเองลง
สุดท้ายแล้วหลิ่วอีอีก็เข้าใจและััได้ถึงสิ่งที่เฉินเฟิงเคยรู้สึกในโรงยิมได้อย่างลึกซึ้ง
ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวฉินเสวียและฮูอวี่ ถูกหักหลังและสวมเขาต่อหน้าเพื่อนนักศึกษาทั้งมหาลัยหลายพันคน ความเ็ปที่มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้!
หลิ่วอีอีร้องไห้อย่างหนักและกอดเฉินเฟิงแน่นไม่ยอมปล่อย
ไม่ ยังไงเธอก็ไม่้าสูญเสียความสัมพันธ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้
เธอแอบรักเฉินเฟิงมาตลอดสามปีเต็ม!
เพิ่งจะเป็คู่รักกันได้เพียงสามชั่วโมง กลับต้องมาจบลงเพียงเพราะพ่อ เธอยอมรับเื่นี้ไม่ได้
แม่ของหลิ่วอีอีที่นิ่งเงียบมาตลอด เมื่อเห็นลูกสาวตัวเองร้องไห้หนักขนาดนี้ จึงรู้ว่าลูกสาวรักเฉินเฟิงมากแค่ไหน เธอลงมือตบหน้าหลิ่วชวงจื้อหนึ่งทีอย่างรุนแรง ก่อนแผดเสียงดังลั่น
"หลิ่วชวงจื้อ คุณก็อยู่ที่ฮ่องกงและเมืองหลวงไปเถอะ อย่ากลับมาเมืองโม๋ตูอีกเลย ต่อไปนี้ พวกเราแม่ลูกไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคุณอีกต่อไป ฉันจะตัดสินใจเื่การแต่งงานของลูกสาวเอง!"
ที่จริง แม่ของอีอีก็อัดอั้นตันใจมานานแล้ว
เพราะ่ที่หย่าร้างกันใหม่ๆ หลิ่ว่จื้อกลับหาคนรักใหม่อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีลูกสาวคนที่สองอย่างหลิ่วชิงชิงอีก
แม่ของหลิ่วอีอีเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวในเมืองโม๋ตู โดยที่ไม่ได้สนใจผู้ชายคนไหนเลย
ทางด้านหลิ่ว่จื้อซึ่งถูกอดีตภรรยาตบหน้าไป ก็รู้สึกขายขี้หน้าเป็อย่างมาก แม้ว่าจะอยากตอบโต้ แต่เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าหวังและผู้เฒ่าหยางอยู่ เขาจึงเดินอารมณ์เสียจากไป
"มาเถอะ...นั่งลงกินข้าวกินปลาแล้วคุยกันให้รู้เื่..."
หลิงหนิง ภรรยาผู้เฒ่าหวังดึงหลิ่วอีอีออกจากอ้อมกอดของเฉินเฟิงและกระซิบบางอย่างให้เธอฟัง
ไม่นานหลังจากนั้นหลิ่วอีอีที่ร้องไห้จนตาบวม สุดท้ายก็ยิ้มได้ด้วยคำปลอบใจจากหลิงหนิง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเฟิงจึงนั่งลงแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างรู้สึกผิด
เขาบอกเลิกกับหลิ่วอีอีแล้ว แม้เป็เพียงชั่วพริบตา แต่เขาก็ละอายใจเกินกว่าจะกล่าวคำขอโทษ
หลิงหนิงในฐานะประธานบริษัทการเงินการลงทุนหลิงซื่อ ไม่ว่าจะเื่ธุรกิจหรือครอบครัว เธอก็ให้ความช่วยเหลือกแก่ผู้เฒ่าหวังได้เสมอ
เธอมองเฉินเฟิงที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบนเรียบว่า
"เฉินเฟิงเอ๋ย แม้ว่าคุณจะกราบสามีของฉันตาเฒ่าหวังเป็พ่อบุญธรรม แต่เราก็ตกลงกันไว้แล้วว่าให้เรียกตามแต่ละคนสะดวก ตอนนี้ฉันจะพูดกับคุณในฐานะพี่สาวนะ ไม่ใช่แม่บุญธรรม"
ภูมิหลังของหลิงหนิงค่อนข้างลึกลับต่อคนนอก แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าฐานะทางบ้านคงไม่ใช่เล่นๆ
ตำแหน่งประธานบริษัทของหลิงซื่อกรุ๊ปของเธอเกี่ยวพันกับเฉียนต๋ากรุ๊ปั้แ่สมัยก่อตั้งใหม่ๆ ั้แ่มีนาปี 1994
บริษัทการเงินการลงทุนหลิงซื่อกรุ๊ปนี้เป็กลุ่มบริษัทที่มีความหลากหลายทางด้านการลงทุน มีั้แ่การตกแต่งบ้าน ก่อสร้างบ้าน รับจัดงานเลี้ยงและให้ความบันเทิง ตลอดจนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจและตลาดค้าขายต่างประเทศ
หลิงซื่อกรุ๊ปเป็พันธมิตรทางธุรกิจและหุ้นส่วนของเฉียนต๋ากรุ๊ปในโครงการพลาซ่าเชิงพาณิชย์ระดับนานาชาติ และยังมีชื่อเป็เ้าของกิจการต่างๆ มากมาย อาทิ เทียนท๋ายรับแต่งบ้าน ร้านคาราโอเกะซุปตาร์พาร้อง การค้าการพาณิชย์เชื่อมโลก และออลันเต้คลับ
หลิงซื่อกรุ๊ปและเฉียนต๋ากรุ๊ปอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันภายใต้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเดียวกัน
นี่เป็ผลให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกันราวกับคู่รัก แต่ก็เป็คู่รักที่ใช่ว่าจะธรรมดา
ยิ่งกว่านั้นผู้เฒ่าหวังและเธอทำงานในตึกเดียวกัน ด้วยความที่ห้องออฟฟิศของหลิงซื่อกรุ๊ปตั้งอยู่ในชั้น 26 ของตึกเฉียนต๋า
เฉินเฟิงวางตะเกียบลงและพร้อมรับฟังอย่างจริงจัง
"พี่หนิง พี่พูดมาเถอะ ผมฟังอยู่ครับ"
อายุจริงของผู้เฒ่าหวังจะ 41 ปีแล้ว นับว่าไม่ใช่เื่แปลกที่เฉินเฟิงจะเรียกเขาว่าพ่อบุญธรรม
แต่ลูกชายของผู้เฒ่าหวังเพิ่งอายุ 7 ขวบ และหลิงหนิงก็ดูอายุอานามประมาณ 30 ต้นๆ เท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เฉินเฟิงจะเรียกหลิงหนิงว่า 'พี่หนิง'
"เมื่อกี้ฉันรับหลิ่วอีอีเป็น้องสาวบุญธรรมแล้ว ถ้าเธอเรียกฉันว่าพี่สาว เราก็เป็ครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวไม่กลับคำใส่กัน น้องชาย พี่คิดว่าเธอคงไม่เคยมีความรักมาก่อน ในเชิงธุรกิจ เธอมีลับลมคมใน สามารถชนะใจพี่เบิ้มของวงการอย่างเฒ่าหวัง เฒ่าหยาง และเฒ่าถางได้ แต่นายควรดูแลแฟนของนายให้ดีกว่านี้นะ ไม่ใช่บอกเลิกเธอแค่เพราะเธอเป็ลูกสาวของคนที่นายเกลียด!"
หลิงหนิงมองเฉินเฟิงและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
"ใช่ เฉินเฟิง ฉันค่อนข้างถูกใจเธอทีเดียว พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งบอกเลิกกับลูกสาวฉัน เพราะแค่ไอ้แก่สกุลหลิ่วนั่นเลย!"
ในฐานะแม่ยาย เธอยอมอ่อนข้อให้โดยหวังว่าเฉินเฟิงจะขอโทษก่อน
เมื่อเฉินเฟิงได้ยินคุณแม่ของหลิ่วอีอีพูด เขารู้สึกโล่งใจที่หาทางลงได้ในที่สุด
เขาจึงมองไปที่หลิ่วอีอีและพูดด้วยความสำนึกผิด
"ผมขอโทษ คิดว่าเมื่อกี้ผมพูดเพื่อแค่ไล่พ่อคุณไปเถอะ"
เมื่อหลิ่วอีอีได้ยินคำขอโทษจากเฉินเฟิง เธอก็เช็ดน้ำตาและยิ้มอย่างมีความสุข
"แล้วพรุ่งนี้นายจะไปจดทะเบียนกับฉันไหม?"
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงรีบตอบกลับทันที
"ฉันไม่กลับคำพูดหรอก ถึงแม้ว่าฉันยังไม่ได้รักเธอ แต่ฉันพูดแล้วว่าจะจดทะเบียนกับเธอ ฉันก็จะจดทะเบียนกับเธอ น่าเสียดายที่เราทั้งคู่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ..."
เมื่อคุณแม่หลิ่วได้ยินดังนั้น เธอจึงหัวเราะคิกคัก
"ไม่ต้องห่วง คนที่มีความสามารถพิเศษสามารถแต่งงานก่อนอายุถึงเกณฑ์ได้
พอดีฉันเป็เ้าหน้าที่ของสำนักงานทะเบียนสมรสเมืองโม๋ตู พรุ่งนี้ฉันจะออกทะเบียนและประทับตราให้พวกเธอสองคนเอง!"
เมื่อเฉินเฟิงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ว่า พรุ่งนี้เขาหนีการจดทะเบียนสมรสกับหลิ่วอีอีไม่ได้แล้ว
เขาจึงรีบพูด
"ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ผมขอพาอีอีไปค้างที่บ้านผมนะครับ ผมคิดว่าคงถึงเวลาให้พ่อแม่ผมเห็นหน้าค่าตาลูกสะใภ้แล้ว"
ที่เฉินเฟิงยอมพาหลิ่วอีอีกลับบ้านเพื่อพบพ่อแม่ถือว่าเป็วิธีการขอโทษอีกทางหนึ่งของเขา
เขาบอกเลิกเธอต่อหน้าทุกคน ซึ่งเป็การทำร้ายศักดิ์ศรีของหลิ่วอีอีเป็อย่างมาก
การพาเธอไปพบพ่อแม่ของเขาที่บ้านน่าจะเป็ทางเดียวที่พอจะชดใช้ความผิดนี้ได้
"นี่... เร็วไปไหม ฉันยังไม่พร้อม..."
เมื่อหลิ่วอีอีได้ยินว่าเฉินเฟิงจะพาเธอไปพบพ่อแม่ของเขาคืนนี้ เธอรู้สึกมีความสุขและประหม่าในเวลาเดียวกัน
