ั้แ่หลังจากที่ลิ่วจื่อวางยาลงในน้ำของจวนนี้ด้วยโอสถที่ทำให้ง่วงนอน รวมกับพิษที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์อย่างช้าๆภายในชั่ววินาทีก็ทำให้คนทั้งจวนไร้ความรู้สึกและล้มลง
แต่มีคนที่โดนพิษโอสถไปอ่อนๆในวินาทีที่ได้สติมาพลันรู้สึกถึงความแปลกประหลาด
คนพวกนั้นรีบเรียกรวมตัวแล้วตามไปที่เรือนด้านหลัง
มาเจอกับพวกตู้ซินถงและโม่เต้าจื่อหนิงเซียง…พวกเฉินเนี้ยนหรานเข้าพอดี
“ถุยพวกเ้ากล้ามาก่อเื่ในเรือนของพวกเรา” คนที่เป็หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยดึงหน้าพูดเสียงเข้มแล้วชักมีดออกมาเตรียมจะแทงคน
“ไสหัวไป…”
พอดีกับที่ตอนนั้นชุนเทียนะโลงมา
เขาเป็ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงสำหรับการต่อสู้เช่นนี้ เขาไม่กลัวอยู่แล้ว
“ชุนเทียนเ้ารีบจัดการคนพวกนี้แล้วออกมา”เฉินเนี้ยนหรานหลังจากสั่งเสร็จ จึงรีบพาพวกคนซึ่งถูกโอสถที่ทำให้ตัวอ่อนปวกเปียกวิ่งออกไปด้านนอก
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้วางโอสถอะไรลงไปพอจะเดินถึงได้ทำให้ลำบากพอดู
“ออกไปจากที่นี่ก่อนไปถึงสถานที่ที่มีร้านในเขต ข้าสามารถหาโอสถมาแก้ได้” โม่เต้าจื่อพูดเสียงอ่อน
เห็นท่าทางของเขาที่เดินไม่กี่ก้าวก็หอบหายใจใบหน้าที่เดิมทีมีสีหน้าไม่เลว ในตอนนี้ยิ่งมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาทั้งตัวดูแล้วสวยงามขึ้นมาก
เมื่อสังเกตเห็นสายตาแปลกๆของนาง โม่เต้าจื่อจึงมองมาที่นางอย่างระแวดระวัง
“แม่นางแม้ข้าจะเสเพล แต่ไม่มองหาสตรีที่ออกเรือนแล้วหรอกนะ”
หนิงเซียงที่กำลังไร้เรี่ยวแรงได้ยินเข้าพลันถลึงตามองเขา มองไป มองมา ทันใดนั้นก็ยกมืออ่อนแรงขึ้นไปกวักตรงหน้าของเขา
“ฮ่าๆข้ายังไม่ออกเรือน ให้ข้ามาเรียกเ้าแล้วกัน วางใจเถิด ข้าจะปฏิบัติต่อเ้าด้วยความอ่อนโยนข้ารู้ว่านี่เป็ครั้งแรกของเ้า”
โม่เต้าจื่อทำหน้าโกรธลูกศิษย์ของเขากลับหอบหายใจฮึดฮัด “ครั้งแรกของท่านอาจารย์จริงหรือ? เขาบอกว่าเขาเคยมีความสัมพันธ์กับสตรีมานับไม่ถ้วนจะเป็ครั้งแรกได้อย่างไร?พวกเ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ไอ๊หยาเหนื่อยจะตายแล้วเดินแค่ไม่กี่ก้าว เหตุใดถึงได้เหนื่อยขนาดนี้?”
เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวชิงเฟิงเหนื่อยมากจนทนไม่ไหว แววตาสงสัยมองไปบนตัวของโม่เต้าจื่อมาตลอด
สีหน้าของคนถูกมองพลันแดงจัดขึ้นมาผ่านไปนานจึงคิดประโยคหนึ่งออกมา
“หนิงเซียงจะบอกเ้าอีกครั้ง ข้าไม่ได้เป็บุรุษบริสุทธิ์แล้วข้าเป็บุรุษที่ผ่านสตรีมามากมาย”
แต่เขาไม่รู้ว่ายิ่งเขาแก้จะยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าเขากำลังมีพิรุธมากไม่ใช่หรือ!
เฉินเนี้ยนหรานเข้าใจและมองตากับหนิงเซียงก่อนจะหัวเราะฮ่าๆออกมาอย่างขบขัน แต่กลับเห็นชุนเทียนกำลังวิ่งมาแต่ไกล
“รีบวิ่งเร็วเข้ามีหลายคนกำลังตามมา หากสลัดไม่หลุด พวกเราตายแน่ ฝีมือของพวกนั้นแข็งแกร่งมากข้ารู้สึกว่าเหมือนกับคนของพระราชวัง”
ชุนเทียนพูดจบก็แย่งเชือกในมือของเฉินเนี้ยนหรานมาฟาดอย่างบ้าคลั่ง
ใน่เวลาเร่งรีบตอนที่เฉินเนี้ยนหรานหันกลับไปมอง เห็นคนร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังวิ่งตามมา
ตลอดทางทุกคนล้วนไม่มีกะจิตกะใจจะพูดล้อเล่นอีกแต่วิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
แม้แต่อาหารก็ไม่กล้าเข้าไปนั่งทานในร้านข้างทาง จนกระทั่งตอนกลางคืนถึงได้เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมที่นัดแนะกับสาวใช้สีไว้
“คุณหนูคุณหนูเ้าคะ”
ตอนที่สาวใช้สีเห็นหนิงเซียงก็เข้ามากอดไม่ยอมปล่อย
ท่าทางราวกับสุนัขถูกเ้าของทิ้งไว้วิ่งเข้ามากอดเ้านายที่กลับมาอีกครั้ง
“ข้าจะบอกให้นะหนิงเซียงสาวใช้ของเ้าในเวลาปกติแล้วข้าดูแลนางดีมาก เหตุใดตอนนี้พอเจอเ้า กลับทำท่าทางเหมือนอยู่กับข้าแล้วถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้นเฮ้อ มีประโยคหนึ่งเรียกว่าอย่างไรนะ? จะเลี้ยงอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้หมาป่าเชื่องได้หมาป่าตัวนั้นเรียกว่าอะไร?ชุนเทียน?”
ชุนเทียนต่อคำอย่างใสซื่อ“หมาป่าตาขาว!”
สาวใช้สีโกรธจนกระทืบเท้า“คุณหนู ท่านดูสิ ฮูหยินพูดล้อข้าอีกแล้ว นางรังแกสาวใช้ของท่านนะเ้าคะ”
หนิงเซียงหัวเราะฮ่าๆแล้วบีบแก้มนิ่ม “ข้าว่า ชุนเทียนรังแกเ้าแล้ว เ้านี่จริงๆ เลยเชียว ยามถูกคนอื่นรังแกข้าเคยสอนไปแล้วนี่ว่าให้ตอกกลับไปหนักๆ พวกเราไม่ใช่คนทานมังสวิรัติเสียหน่อย”
สาวใช้สีหัวเราะฮ่าๆตอนนี้ไม่มีอันตรายอีกแล้ว อารมณ์ของนางจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย
ตอนนั้นเองที่นางกระดิกนิ้วไปทางชุนเทียน“ชุนเทียนเอ๋ย มา พวกเราไปคุยกันตรงนั้นสักรอบ ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเ้ายังถามเื่เชวียนเชวียนกับข้า ไปพวกเราไปตรงนั้นของรถม้าแล้วค่อยๆ พูดเื่ของเชวียนเชวียนกัน”
ชุนเทียนมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แววตากลับไม่ยิ้มจึงลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ยังพ่ายแพ้ต่อรอยยิ้มราวดอกไม้ของนาง
จึงหันกลับไปมองเฉินเนี้ยนหรานด้วยความลังเล“นายหญิง ท่านว่าข้าสมควรตามนางไปถามเื่ของเชวียนเชวียนตรงนั้นหรือ?”
ทุกคนได้ยินเื่น่าตกตะลึงอีกครั้งหนิงเซียงมองไปยังเฉินเนี้ยนหราน “นายหญิง!”
น้ำเสียงที่มีความแปลกพิกลนี้จะฟังอย่างไรก็แฝงไปด้วยความหยอกล้ออยู่ภายใน
“นายหญิง?!”โม่เต้าจื่อยิ่งลากเสียงยาวเลียนแบบของชุนเทียนร้องออกมา
“อย่างไรเรียกนายหญิงแล้วอย่างไร?ข้ากับโจวอ้าวเสวียนมีลูกกันสองคนแล้วข้าให้ชุนเทียนเรียกข้าว่านายหญิงมีสิ่งใดไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? ผิดหรือ? ข้าว่าพวกเ้าสองคนทำท่าทางอะไรกัน? แล้วก็หนิงเซียงโม่เต้าจื่อ ตอนนี้พวกเ้าสองคนบอกข้ามา เหตุใดพวกเ้าถูกนางจับเข้าจวนไป? ข้าไม่เชื่อว่าพวกเ้าจะถูกคนในหมู่บ้านจับไปโดยไม่รู้เื่รู้ราวเช่นนี้อย่าพูดกับข้าว่าถูกสตรีคนนั้นต้องใจ แล้วหลงเข้าไปในรังหมาป่าพวกนี้นะข้าไม่มีทางเชื่อ”
เื่นี้จะคิดอย่างไรก็มีสิ่งแปลกๆ จากการลงมือของหนิงเซียงและโม่เต้าจื่อ อย่างไรเสียคงไม่ถึงกับมองเ้าของที่ดินของที่นี่ไม่ออกหรอกแต่ความจริงของความจริงคือ สองคนนี้ถูกจับเข้าจวนสกุลโจวไป
“เฮ้อข้ารู้อยู่แล้วว่าปกปิดสตรีนางนี้ไม่ได้ เอาเถิด ข้าพูดแล้วกัน”
หนิงเซียงผายมือออกสุดท้ายจึงสารภาพความจริงออกมา
“ความจริงแล้วนั้น!”
เพิ่งจะเอ่ยปากพูดคิ้วสวยของนางกลับขมวดเข้าหากันแน่น
โม่เต้าจื่อที่อยู่ด้านข้างมองท่าทางขี้ขลาดของนางพลันส่ายหัว“ความจริงแล้ว พวกเราถูกคนวานให้เข้าไปสืบเื่ราวในสกุลโจว”
เฉินเนี้ยนหรานยิ้มเย็น“ดังนั้น พวกเ้าจึงวางแผนไว้ก่อนแล้ว จงใจทิ้งข้ากับสาวใช้สีให้อยู่ด้านหลังแล้วพวกเ้าสองคนกลับเดินทางไกลไปด้วยกัน”
หนิงเซียงลำบากใจ“เื่นั้นน่ะ เ้าของที่ดินโจวคนนี้ ภายนอกดูเป็เ้าของที่ดินธรรมดาความจริงเ้าก็เห็นแล้ว เื่ภายในนี้ลึกซึ้งมาก เฮ้อเื่ราวเป็อย่างไรค่อยพูดกันทีหลังเถิด อย่างไรเสีย การมาในครั้งนี้พวกเราจะไม่มาก็มาแล้ว ความจริงแล้ว ข้าไม่้าพาเ้าเข้าไป เกรงว่า…”
นางมองสายตาของเฉินเนี้ยนหรานด้วยความยุ่งเหยิงเล็กน้อยและมีความปวดใจอยู่สักหน่อย
รู้จักกับหนิงเซียงมานานกลับยังไม่เคยเห็นนางทำสายตาเช่นนี้
ความคิดของเฉินเนี้ยนหรานพลันกระตุกมีความคิดบางอย่างค่อยๆ ประกอบร่างภายในใจของนางเงียบๆ
นางเบือนหน้า“ข้าไม่ถามแล้ว พวกเ้า้าทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด ต่อไปหากมีเื่เช่นนี้จริงๆ รบกวนบอกพวกเราก่อนล่วงหน้าทำเอาข้าคิดว่าพวกเ้าอยู่ข้างในไม่ออกมาแล้วจริงๆ ความจริงของความจริงเกรงว่าข้าไม่ลงมือ พวกเ้าคงจะลงมือสินะ เอ๋ เหตุใดเ้ายังไม่กลับไปอีก?”
พอดีกับในตอนนั้นตู้ซินถงซึ่งอยู่ด้านข้างขยับตัว เฉินเนี้ยนหรานจึงคิดขึ้นมาได้ว่าในรถม้านี้ยังมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง
ตู้ซินถงยักไหล่“ตอนนี้ข้าไม่มีที่ให้ไปแล้ว ดังนั้นตามไปกับพวกเ้าแล้วกัน”
มองท่าทางดูไม่ได้ของเขาและใบหน้าที่คล้ายกับโจวอ้าวเสวียนเล็กน้อย เฉินเนี้ยนหรานยิ้มร้ายกาจออกมา
“พ่อหนุ่มเ้าติดหนี้ชีวิตข้า!”
“ไม่ได้เลวร้ายถึงกับติดหนี้ชีวิตเช่นนี้? หากจะพูดขึ้นมาแล้วเ้าเพียงยื่นมือมาช่วยข้าเท่านั้น แม่นาง อย่าได้ตระหนี่เช่นนี้ ช่วยชีวิตคนหนึ่งเ้าได้บุญเป็ร้อยเชียวนะ”
ตู้ซินถงแก้ไขอย่างเคร่งเครียดเขาไม่ยอมรับว่าติดหนี้บุญคุณหรอก ติดหนี้บุญคุณนั้นคืนยากนักถ้าติดแล้วจะลำบากมาก
“แต่ความจริงของความจริงคือเ้าติดหนี้บุญคุณข้าครั้งใหญ่เ้าต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้นะ เช่นนี้ก็แล้วกันเ้าติดไปก่อน ต่อไปมีที่เหมาะสมแล้วค่อยชดใช้คืนก็ย่อมได้ ข้าเป็คนพูดจาว่าง่าย”
ตู้ซินถงมองไปทางนางด้วยความสงสัยสุดท้ายจึงพยักหน้า “อืม ใน่นี้ข้าไม่มีสถานที่ให้ไป จึงต้องฝืนทนอยู่กับพวกเ้าวางใจเถิด วางใจเถิด ข้าทานอาหารไม่มาก”
หนิงเซียงยิ้มเย็นแล้วส่ายหน้า“ดูสิ เ้าช่วยคนอย่างไรมา?ช่วยออกมาแล้วยังต้องดูเื่กินดื่มสู้ให้ข้าก็จบแล้ว ข้าเห็นเขาหน้าตาดูดี สู้ให้เขาหาเงินให้พวกเราดีหรือไม่? ข้าน่ะชอบทำการค้าประเภทนั้นมานานแล้ว ฮ่าๆ…พอดีเลย ชิๆ…”
ยิ่งนางมองตู้ซินถงอย่างพิจารณาดวงตายิ่งเปล่งประกาย
ตู้ซินถงขดตัวอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน“ตามใจพวกเ้าเถิด อย่างไร ดูแลเื่การกินดื่มข้าก็พอแล้ว ส่วนเื่งาน ไม่ให้ข้าเสียตัวก็พอเื่ใดข้าล้วนร่วมมือด้วย”
หนิงเซียงสะบัดนิ้วมือไปมาอย่างพอใจ“ดี ดี คนสบายๆ เช่นเ้า ข้ารักที่สุด มีประโยคนี้ของเ้า ข้าวางใจแล้ว สบายใจได้ต่อไปข้าไม่ทำให้เ้าเสียตัว อย่างมากที่สุดคือให้เ้าไปเดินอวด”
เฉินเนี้ยนหรานส่ายหน้าเห็นใจตู้ซินถงจากในส่วนลึก
บุรุษคนนี้เพิ่งจะออกมาจากรังหมาป่าชัดเจนเลยว่าในตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในรังเซียงของหนิงเซียงแล้ว
เกรงว่ารังเซียงนี้จะอยู่ยากเสียหน่อย ทว่ามีบางคนเป็คนร้ายกาจั้แ่กำเนิด
เหมือนกับตู้ซินถงที่ดูเหมือนจะมีอำนาจและการกระทำไม่ธรรมดาตรงหน้าคนนี้
ตอนที่เขาถูกบอกว่านาง้าให้เขาแต่งกายเป็สตรี เข้าไปในหอนางโลม ก่อนจะปรากฏตัวออกไปรับลูกค้าร้องเพลง เต้นระบำหาเงิน…
“ดีๆข้าอยากแต่งตัวเช่นนี้มานานแล้ว เช่น เช่นนี้จะดีจริงหรือ? จะไม่ถูกมองออกจริงๆหรือ?เช่นนี้จะปะเหลาะให้คนพวกนั้นจ่ายเงินได้หรือ?”
เฉินเนี้ยนหรานสาวใช้สีและพวกโม่เต้าจื่อ มองหนิงเซียงที่คุยกับตู้ซินถงราวกับกำลังตามใจเด็กด้วยความคิดเพียงอย่างเดียวคือ โลกใบนี้ เหมือนจะวิปโยคแล้ว
มีบุรุษดีๆที่ใด้าแต่งกายเป็สตรีจริงๆ !
“ดีๆมันดีจริงๆ หากเ้าเชื่อฟังที่ข้าวางแผน จะต้องได้คนที่มากินดื่มกับเ้าที่สำคัญที่สุด คือจะยังมีคนจำนวนไม่น้อยมาส่งดอกไม้ให้เ้า จะให้ดี หากเ้าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมพวกนี้ได้ถึงตอนนั้นจะได้รางวัลเสน่ห์กลับมา แล้วยังมีอย่างอื่นอีก เช่นนี้เ้าจะยิ่งมีคุณสมบัติที่น่าภาคภูมิใจแล้ว”
