ณ สุสานโบราณ ฟ้าดินะเืเลือนลั่น ทั้งมิติมายาสุญญตากำลังสั่นไหว
ทุกคนที่เข้าไปในซากโบราณสถานลำดับต่างๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทีละคนอย่างน่าประหลาด
ข่าวเื่นี้แพร่สะพัดไปทั่วมิติมายาสุญญตาราวกับไฟลามทุ่ง ทั่วทั้งแผ่นดินเซียนฉยงต่างก็ค่อยๆ รับรู้ข่าว เพราะมิใช่แค่ทวีปไท่เซียนที่เกิดเหตุการณ์นี้ แต่ในทวีปอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นขั้วอำนาจต่างๆ ล้วนตื่นตระหนก แม้แต่พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรมิติมายาสุญญตาก็เกี่ยวพันกับแผ่นดินเซียนฉยงอย่างลึกซึ้ง หากเกิดปัญหาขึ้น แผ่นดินเซียนฉยงอาจตกอยู่ในความวุ่นวายที่คาดไม่ถึง
น่าเสียดายที่ศักราชเซียนที่เก้าเพิ่งพัฒนามาได้เพียงหนึ่งหมื่นปี พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ยังมิอาจควบคุมมิติมายาสุญญตาได้โดยสมบูรณ์ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เพื่อให้สถานการณ์มั่นคง พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ร่วมมือกับขั้วอำนาจต่างๆ ประกาศสภาวะฉุกเฉิน กลุ่มคนที่แอบซ่อนตัวหากก่อความวุ่นวายให้ปราบปรามทันที
ทุกอย่างล้วนทำเพื่อส่วนรวมและความมั่นคงของแผ่นดิน
……
ณ ศาลาบรรพชนแห่งจงโจว ดินแดนต้นกำเนิดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์
ตำหนักหยกยิ่งใหญ่สง่างามล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า ปรากฏเป็ภาพเลือนรางราวภาพมายา ราวกับเป็หอคอยสมบัติหลิงเซียวและตำหนักเซียนเก้าชั้นฟ้าในตำนาน
ทันใดนั้น วิหคสีรุ้งโบยบิน ดอกไม้โปรยปราย เสียงดนตรีเซียนไพเราะเสนาะหู
ประตูศักดิ์สิทธิ์โอ่อ่าเปิดอ้าออกช้าๆ แสงศักดิ์สิทธิ์เก้าสายสาดส่องลงมาจากฟากฟ้า
เหนือตำหนักอันเก่าแก่มีเงาสะท้อนอันยิ่งใหญ่เก้าสายปรากฏขึ้น คล้ายมนุษย์ คล้ายเซียน
“พวกท่านเปิดวิหารศักดิ์สิทธิ์เพราะเื่อันใดหรือ?”
เสียงก้องกังวานดังไปทั่วตำหนัก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามอันสูงส่ง
“คารวะเซียนศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน!”
ด้านล่างของตำหนัก มีผู้าุโจากพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์สิบสองคนยืนเป็ระเบียบ สายตาแฝงด้วยความตื่นเต้น เพราะบุคคลที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาก็คือตัวตนที่สูงส่งที่สุดแห่งแผ่นดินเซียนฉยง พวกเขาคือผู้นำสูงสุดแห่งพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์
ผู้าุโของทวีปจงโจวก้าวออกมากล่าวรายงานว่า “เรียนท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน บัดนี้เกิดการสั่นะเืในมิติมายาสุญญตา ซากโบราณสถานทั้งหมดถูกปิดตัวลงแล้ว”
“แรงสั่นะเืในมิติมายาสุญญตาหรือ? ตรวจสอบสาเหตุแล้วหรือยัง?”
“ยะ...ยังมิทราบสาเหตุ แต่พวกเรามั่นใจว่า มิติมายาสุญญตากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!”
ผู้าุโจงโจวรู้สึกวิตกกังวลจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
“การเปลี่ยนแปลงหรือ?”
“มิผิด! พวกเราพบว่ามิติมายาสุญญตาที่ไร้ชีวิตชีวาปรากฏพลังชีวิตขึ้นมา เหมือนมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังตื่นขึ้น”
“ปรากฏพลังชีวิตหรือ?”
เซียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าหันมาสบตากัน บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์มิติมายาสุญญตามากว่าแปดพันปีแล้ว เดิมคิดว่าเข้าใจมิติแห่งนี้มากเพียงพอ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้...มิติมายาสุญญตาไม่ธรรมดาจริงๆ!
จากนั้นเซียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อของวิหารศักดิ์สิทธิ์ส่งจิตเข้าไปหลอมรวมกับมิติมายาสุญญตา
……
ผ่านไปครู่หนึ่งเซียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าก็กลับมาจากมิติมายาสุญญตาทีละคน
“มีพลังชีวิตจริงๆ ทั้งยังรุนแรงมาก!”
“วิวัฒนาการ! ข้ารู้สึกว่ามันกำลังวิวัฒนาการ! เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?”
“มิติมายาสุญญตาเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของแผ่นดินเซียนฉยง พวกเรามิอาจชะล่าใจได้...ควรเอาเื่นี้ไปรายงานให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองหรือไม่?”
“แต่ผู้เฒ่าทั้งสองคอยสะกดหุบเหวจิ่วโยวเอาไว้ มิอาจปลีกตัวออกมาได้”
“เื่นี้มิใช่เื่เล็ก พวกเราควรรายงานเื่นี้ให้ผู้เฒ่าทั้งสองทราบก่อน แล้วพวกท่านจะตัดสินเอง”
“ตกลง”
“ข้าก็เห็นด้วย”
“เห็นด้วย”
……
เซียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าสื่อสารผ่านจิต หลังจากนั้นสั่งการให้ผู้าุโทั้งสิบสองคนคอยตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของมิติมายาสุญญตาอย่างใกล้ชิด หากเกิดอะไรขึ้นต้องรายงานทันที
เงาเซียนค่อยๆ จากไป ตำหนักอันตรธานหายไปเช่นนั้น ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ
……
มิติมายาสุญญตาเกิดการสั่นะเือย่างรุนแรง ผู้คนล้วนหวั่นวิตก
ทว่าในสุสานโบราณกลับเงียบสงบ ไม่ว่าด้านนอกจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือฟ้าถล่มดินทลาย ที่นี่กลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป จนไม่เหลือร่องรอย
จั๋วอวิ๋นเซียนยืนเหม่ออยู่ด้านล่างแท่นบูชาราวกับหุ่นไล่กา มิได้หวาดกลัว มิได้วิตกกังวล มิได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
เขาไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น เพียงแค่ยืนจ้องร่างที่อยู่บนแท่นบูชาเงียบๆ
สตรีชุดขาวที่ถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้คนนั้นงดงามและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ เขาไม่เคยพบเจอคนที่งดงามเช่นนี้มาก่อน เขามิอาจสรรหาคำมาบรรยายความงามนี้ได้ ราวกับเป็นางเซียนจาก์หรือเป็นางฟ้าที่หลุดออกมาจากภาพวาด โดยสรุปแล้วนางงดงามจนิญญาแทบหลุดออกจากร่าง มิอาจลบเลือนภาพความงามนี้ออกจากสมองได้
ไม่ว่าผู้ใดล้วนรักความสวยงาม ยิ่งมิต้องพูดถึงชายหนุ่มอายุสิบสองสิบสามปีคนหนึ่ง
……
“เ้า...เป็ใคร?”
สตรีชุดขาวเงยหน้ามองจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยสายตาเ็า ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
นี่คือความแตกต่างของระดับชีวิต ในสายตาของสตรีชุดขาว จั๋วอวิ๋นเซียนเป็เพียงมดไร้ค่า คนปกติจะพูดคุยกับมดด้วยหรือ? คำตอบคือไม่อยู่แล้ว
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ามีนามว่าจั๋วอวิ๋นเซียน ผู้าุโมีนามว่าอะไรหรือ?”
ในความคิดของเขา อีกฝ่ายน่าจะเป็ ‘ภาพลวงตา’ ที่เก่าแก่โบราณมาก เช่นนั้นเรียกว่า ‘ผู้าุโ’ คงมิผิดกระมัง?
“ข้าชื่อ...”
สตรีชุดขาวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่านางลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สตรีชุดขาวจึงเอ่ยปากอีกครั้ง” ข้ามีนามว่า...เฉียนโม่”
“เฉียนโม่หรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนดีใจมาก ถึงขั้นรู้สึกตื่นเต้น เขาไม่เคยพูดคุยกับสตรีคนอื่นนอกจากพี่สาวมาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร ทำได้เพียงพูดตามที่ใจนึก “ผู้าุโเฉียนโม่ ท่านงดงามยิ่งนัก”
“……”
สตรีชุดขาวเงียบขรึม ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรกับการเอ่ยชมตรงๆ เช่นนี้ ทั้งยังมาจากปากของเด็กน้อยคนหนึ่ง เดิมทีนางควรดีใจ ทว่าในใจของนางกลับไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่ใช่เพราะนางทำตัวเ็า แต่เป็เพราะความเ็าได้ฝังลึกเข้ากระดูกนางไปแล้ว
เคยมีใครดีใจเพราะถูกมดชมด้วยหรือ?
“เ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
น้ำเสียงของสตรีชุดขาวเยือกเย็น แฝงด้วยความหนาวเหน็บสุดขั้ว
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิดพลางกล่าวด้วยความสงสัย “ทำไมข้าถึงต้องกลัวท่าน?”
ความจริงแล้วจั๋วอวิ๋นเซียนสงสัยจริงๆ เขาไม่ได้รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย แต่ไม่ใช่เพราะเขาอายุน้อยไม่กลัวความตาย เป็เพราะในใจของเขาคิดว่ามิติมายาสุญญตาเป็เพียงโลกมายา รวมถึงทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วย
“ทำไมเช่นนั้นหรือ?”
สตรีชุดขาวเผยใบหน้าระลึกความหลัง กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อนานมาแล้ว ผู้คนเรียกข้าว่าดาวหายนะ บ้างก็เรียกข้าว่าสตรีปีศาจ บ้างก็เรียกว่าผีร้าย...ข้าเคยท้าทาย์และเคยสังหารสรรพชีวิตมานับไม่ถ้วน...จนกระทั่งกายดับจิตสลาย ทว่าตราบาปติดตัว ิญญาเซียนจึงถูกจองจำไว้บนแท่นบูชาแห่งนี้ มิอาจไปผุดไปเกิด...”
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง แล้วถามกลับไปว่า “ตอนนี้เ้ากลัวข้าหรือยัง?”
โซ่ตรวนสั่นไหวรุนแรงราวกับกำลังจะปล่อยอะไรออกมา
“อ๋อ”
จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้ว ไม่รู้ควรตอบอย่างไรจึงถามกลับไป “ผู้าุโเฉียนโม่ เช่นนั้นตอนนี้ท่านยังเ็ปหรือไม่? ถูกผู้คนเกลียดชัง ถูกจองจำ เสียอิสรภาพ ท่านน่าจะเ็ปไม่น้อยกระมัง?”
“……”
สตรีชุดขาวเงียบกริบอีกครั้ง นางรู้สึกว่าวิธีการสื่อสารของนางเหมือนจะมีปัญหา
แต่คำพูดของจั๋วอวิ๋นเซียนได้ทิ่มแทงเข้าไปในใจของสตรีชุดขาว เพราะไม่เคยมีใครเป็ห่วงนางมาก่อนและไม่เคยมีใครถามความรู้สึกของนาง
น้ำตาค่อยๆ ไหลริน นั่นคือคำตอบของนาง...ใช่แล้ว นางเคยรู้สึกเ็ป แต่กลับไม่เคยเสียใจ
นางไร้ที่พึ่งพิง อยู่บนเส้นทางที่อ้างว้างโดดเดี่ยว
