เมื่อพลังของพวกเขาทั้งสี่รวมกันผ่านเชือกผสานใจ ทำให้จากตอนแรกที่พวกเขาอยู่เพียงขั้นที่แปดสิบกว่า สามารถก้าวมาถึงขั้นที่เก้าสิบห้าได้ แต่ตอนนี้เมื่อเชือกผสานใจสูญเสียพลังไปแล้ว จึงทำให้พวกเขาได้รับแรงกดดันที่มองไม่เห็นโดยตรง จนตกลงไปถึงขั้นที่เก้าสิบสอง
และในกลุ่มพวกเขาทั้งสี่ ตอนนี้สถานการณ์ของเติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋ถือว่าย่ำแย่กว่าซ่านเหวินห้าวและเหวินหงต๋ามาก ทั้งสองคนถูกแรงกดดันกดจนไม่มีแม้แต่แรงจะเคลื่อนไหว หากผ่านไปนานกว่านี้พวกเขาอาจถูกแรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้บดขยี้จนถึงแก่ชีวิตได้
ทางด้านซ่านเหวินห้าวและเหวินหงต๋า แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าเติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถต้านทานแรงกดดันนี้ได้ ทว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีพลังพอที่จะเคลื่อนไหว และสามารถพาตนเองลงไปยังขั้นบันไดที่ต่ำกว่านี้ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงลองเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ซ่านเหวินห้าวเคลื่อนตัวเข้าไปคว้าซูฟั่งจู๋ ส่วนเหวินหงต๋าก็เคลื่อนตัวเข้าไปคว้าเติ้งจื่อเฉินที่กำลังอาเจียนเป็เืออกมา พวกเขารีบวิ่งลงจากบันไดหนึ่งร้อยขั้นเพื่อออกจากแรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้น
เมื่อพวกเขาลงมาแล้ว ซูฟั่งจู๋และเติ้งจื่อเฉินก็รีบนำสมบัติที่ช่วยรักษาร่างกายออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาอาการาเ็ของตัวเอง
ซ่านเหวินห้าวและเหวินหงต๋าเองก็นำสมบัติที่ช่วยในการรักษาร่างกายออกมาเช่นกัน หลังจากใช้สมบัตินั้นแล้วอาการาเ็ของพวกเขาก็เบาลงมาก พวกเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองบันไดร้อยขั้น พวกเขาก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างขมขื่น พวกเขายอมรับโดยดุษณีว่าพวกเขาไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป
ผู้คนมากมายที่ตั้งความหวังกับพวกเขาไว้สูงต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความผิดหวัง
“เป็ไปไม่ได้ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่สำเร็จอีกหรือ”
“หากไม่สามารถกำจัดบุปผางามอาบพิษ ขุนพลเทพอสูรก็จะถือกำเนิดขึ้นได้”
“และเมื่อขุนพลเทพอสูรได้กำเนิดขึ้นบนดินแดนแห่งนี้แล้ว กองกำลังของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไหนจะสมบัติวิเศษที่ช่วยปกป้องตัวเองของพวกเขาอีก สิ่งนั้นจะทำให้พวกเขาไม่มีวันตาย เมื่อเป็เช่นนี้พวกเราก็จบแล้วละ”
“์ทอดทิ้งพวกเราแล้ว”
“ถ้า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องสามารถช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถพิชิตยอดเขาแห่งคุกอนธการนี้ได้ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเราได้ ทั้งหมดเป็เพราะเฟ้ยเชียน ข้าขอสาปแช่งให้ตระกูลเฟ้ยของเขาต้องพบกับความพินาศ พวกเขาทั้งหมดสมควรตาย”
“วีรบุรุษที่แท้จริงเพียงคนเดียวก็คือ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ เขาเป็อัจฉริยะที่แท้จริง ส่วนพวกกลุ่มคนที่บอกว่าตัวเองเป็อัจฉริยะ และเอาแต่อวดดีทั้งที่ไร้ความสามารถนั้น ล้วนเป็แค่เศษฝุ่นเมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’”
เมื่อผู้คนเริ่มก่นด่ามากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดคนอื่นๆ อีกมากมายก็คล้อยตามคำด่านั้น
หลัวเลี่ยยังคงเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างเฉยเมย
บางทีคนเหล่านี้อาจเพิ่งรู้ตัวว่าได้สูญเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไป
กลุ่มคนอัจฉริยะที่ปิดบังตัวตนพวกนั้น เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาดูถูกดูแคลนตนเองได้ง่ายๆ อยู่แล้ว เมื่อพวกเขาได้ยินคำด่านั้น บางคนก็ไม่พอใจจนถึงขั้นจะเดินลงจากบันไดหยกมาสังหารคนที่ด่าตนเอง
การกระทำนี้สร้างความเดือดดาลให้กับฝูงชน จนพวกเขาโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้นไปอีก ดาบของพวกเขาถูกดึงออกจากฝักทีละคน ราวกับว่าถ้ากลุ่มอัจฉริยะพวกนั้นกล้าที่จะลงมา พวกเขาก็จะจับมือกันต่อสู้กับคนพวกนั้น
กลุ่มคนอัจฉริยะนั้น แม้ว่าพวกเขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงต่อสู้กับผู้คนมากมาย
แม้ว่าจะไม่กล้า แต่ปากก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
อัจฉริยะที่อวดดีซึ่งปิดบังตัวตนของตัวเองอยู่พูดอย่างเย้ยหยันว่า “เ้าคนนอกคอกที่โง่เขลา เ้าจะรู้เื่ความลึกลับของบันไดร้อยขั้นของูเาแห่งคุกอนธการได้อย่างไร นอกจากนี้เ้ายังคิดถึง ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ที่ตายไปแล้วอีกหรือ เขาจะนับเป็อะไรได้ ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเขานะ แม้ว่าเขาจะมาขึ้นบันไดนี้ แต่เขาอาจไปไม่ถึงขั้นที่แปดสิบก็เป็ได้ นี่ไม่ใช่เื่ของปัญญา แต่เป็เื่ของพลัง!”
“ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะมาก็ไม่มีประโยชน์”
“ข้าขอบอกพวกเ้าตามตรง ต่อให้เป็ผู้มีวรยุทธ์ระดับกายทองคำมาที่นี่ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนล้มเหลวในขั้นที่เก้าสิบห้า”
“ขั้นที่เก้าสิบห้าเปรียบเสมือนกำแพง มีเพียงผู้มีวรยุทธ์ระดับบรรพชนที่ถูกสกัดกั้นพลังไว้ให้เหลือเพียงผู้ฝึกตนระดับที่สิบเท่านั้น ที่สามารถไปถึงบันไดขั้นที่เก้าสิบเจ็ดและเก้าสิบแปดได้ ยังไม่มีใครเคยขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบเก้าได้เลย”
“พวกเ้ายอมแพ้เถิด ไม่มีใครช่วยพวกเ้าได้ พวกเ้าก็เป็ได้แค่หมากที่ขุนพลเทพอสูรใช้เพื่อให้ตนเองสามารถกำเนิดขึ้นมาได้”
“พวกเ้าจะถูกกำหนดให้หลั่งเืเพื่อเป็บันไดให้พวกข้าคว้าชัยในครั้งนี้”
“และศพของพวกเ้าก็จะเปิดทางให้พวกข้า”
อัจฉริยะที่หยิ่งทะนงเหล่านี้ตอบโต้กลับอย่างดุร้าย พวกเขาทั้งเหน็บแนมและยั่วยุ
ผู้คนจำนวนมากโกรธเคืองอย่างแท้จริงแล้ว
พวกเขาหลายคนรีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อไปต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถผ่านบันไดห้าสิบขั้นแรกไปได้ ส่วนอัจฉริยะที่ปิดบังตัวตนเ่าั้อยู่ที่ขั้นเจ็ดสิบห้าขึ้นไป
ยิ่งเป็เช่นนี้ เหล่าอัจฉริยะก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น และพวกเขาก็ยิ่งพูดจาชั่วร้ายมากขึ้นด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลัวเลี่ยก็รู้ว่าเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ถึงเวลาที่เขาจะต้องเคลื่อนไหวแล้ว
หลัวเลี่ย ผีเสื้อแห่งรัก และเย่เิหลงเคลื่อนตัวเข้าใกล้กลุ่มคนพวกนั้นมากขึ้น
เนื่องจากผู้คนเ่าั้ล้วนกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาล จึงไม่มีใครสังเกตเห็นการมาถึงของพวกเขา
หลัวเลี่ยยืนอยู่ข้างหลังฝูงชน เขาพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าเอง”
หลัวเลี่ยไม่ได้เปล่งเสียงดังมาก แต่เพราะพลังภายในของเขา จึงทำให้คำพูดนี้ลอยเข้าไปดังอยู่ภายในหูของคนจำนวนมาก
เดิมทีทุกคนรู้สึกเสียใจกับการตายของหลัวเลี่ย ซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ เพราะพวกเขาคิดว่าหลัวเลี่ยคือความหวังเดียวที่มีอยู่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงของหลัวเลี่ย พวกเขาจึงตื่นตัวขึ้น
คำพูดของหลัวเลี่ยที่พูดออกมาในครั้งนี้ถูกผู้คนที่อยู่นอกวงที่สุดก็ได้ยินก่อน จากนั้นพวกเขาก็เงียบลงทันที
ความเงียบนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่ภายในวง
ทุกคนหยุดและหันกลับมามอง
ั์ตาของพวกเขาสะท้อนร่างของหลัวเลี่ย
และร่างของเย่เิหลงที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก คล้ายกับผีเสื้อแห่งรักที่ไม่้าให้คนอื่นรู้ว่านางเป็ใคร
ในตอนแรกเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหว
ผู้คนนับล้านะโเสียงดังลั่น จนเสียงนั้นสั่นะเืฟ้าดิน
ทันทีที่หลัวเลี่ยปรากฏตัว อารมณ์ของทุกคนก็เปลี่ยนจากความโกรธเป็ความยินดี
เหล่าฝูงชนหลีกทางให้หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยและหญิงสาวทั้งสองเดินผ่านผู้คนมากมาย
ระหว่างทางที่เขาเดินผ่าน ผู้คนมากมายต่างปรบมือต้อนรับ ะโเสียงดัง และบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่อัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนก็ลงจากบันไดร้อยขั้นมายืนรอเขาที่ข้างล่างูเาแห่งคุกอนธการ
และนี่ก็คือความกระตือรือร้นของทุกคน
ในตอนที่หลัวเลี่ยสังหารเฟ้ยเชียน แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาจะกลัวความตายและไม่กล้าช่วยเหลือหลัวเลี่ย แต่ในใจลึกๆ พวกเขาก็จำได้ว่าหลัวเลี่ยช่วยชีวิตพวกเขาไว้
เมื่อพวกเขาพบกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงอีกครั้ง หรือถูกผู้อื่นทำให้อับอาย แล้วเห็นหลัวเลี่ยปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าของหลัวเลี่ย แต่เหตุการณ์นี้ก็สามารถทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นไหวได้
ตอนนี้หลัวเลี่ยนับว่ามีเกียรติมากที่สุด
เย่เิหลงที่อยู่ข้างหลังทางด้านซ้ายของหลัวเลี่ยมองไปที่แผ่นหลังของเขา และคิดในใจว่า: คนคนนี้แม้ว่าจะดูค่อนข้างจริงใจ แต่กลับไม่ใช่เลยสักนิด เขารู้ดีว่าตอนไหนควรทำอะไร และตอนนี้นับว่าเป็่เวลาที่เหมาะสมแล้วที่เขาจะทำให้ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งได้มากที่สุด
ในที่สุดเย่เิหลงก็สรุปได้ว่า: หากมีใครคิดว่าชายคนนี้เป็คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ คนคนนั้นจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน
ท่ามกลางเสียงร้องะโที่สะท้อนราวกับคลื่นทะเลพัดเข้าฝั่ง หลัวเลี่ยก็ได้มาถึงเบื้องหน้าบันไดร้อยขั้นแล้ว
ความรู้สึกของหลัวเลี่ยในครั้งนี้แตกต่างไปจากการมาที่นี่ในครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง
ครั้งนี้เป็ครั้งที่สามแล้ว!
แม้ว่าสองครั้งก่อนหน้านี้จะจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ครั้งนี้เขาต้องไม่แพ้!
“ไปกันเถิด”
หลัวเลี่ยไม่ได้พูดปลุกใจอะไรมาก เขาทำเพียงยกขาและเดินขึ้นบันไดไป
ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงเดินตามหลังหลัวเลี่ยขึ้นบันไดไป แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ตัวตนของพวกนาง แต่หลัวเลี่ยรู้ว่าพวกนางนับว่าเป็วีรสตรีที่มากฝีมือในหมู่วีรสตรีด้วยกัน และไม่แน่ว่าพวกนางอาจสามารถขึ้นบันไดมาได้สูงกว่าอัจฉริยะพวกนั้นเสียอีก
ทั้งสามคนเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าวโดยไม่รีบร้อน
เสียงให้กำลังใจก็ค่อยๆ เงียบลง พวกเขาเฝ้ามองอย่างกระวนกระวายใจ
ในความคิดของผู้คนมากมายเหล่านี้ หลัวเลี่ยถือว่าเป็ความหวังเดียวของพวกเขา และพวกเขาก็กังวลอย่างมากว่าหลัวเลี่ยจะล้มเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงประหม่ามาก ฝ่ามือของบางคนเต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชื้น และบางคนกำลังจะหายใจไม่ออกเพราะตื่นเต้นมากเกินไป ดวงตาของพวกเขาต่างก็จ้องมองไปที่หลัวเลี่ย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้